การประกาศของเว่ยเฮ่าหลานสร้างแรงกระเพื่อมขึ้นในเมืองหลินไห่
สภาปี้เซวียนยืนหยัดอยู่ในเมืองหลินไห่ในฐานะกลุ่มผู้ฝึกตนสตรีมายาวนานหลายพันปี ทุกคนล้วนแต่คุ้นชินกับที่นี่ และต่างยอมรับในชะตากรรมของพวกเขามาเป็นเวลานาน บัดนี้เมื่อพวกเขาได้ล่วงรู้ว่าสภาปี้เซวียนเปลี่ยนนโยบายของพวกเขา และจะเริ่มสรรหาศิษย์บุรุษเพศเข้ามา เหล่าบุรุษผู้ฝึกตนทั้งหมดในเขตเมืองหลินไห่จึงมีความสุขกันถ้วนหน้า ในทางกลับกัน สตรีผู้ฝึกตนแห่งสภาปี้เซวียนกลับรู้สึกสูญเสียบางอย่างไป เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังหมายถึงว่าพวกเขาไม่มีสิทธิพิเศษบางอย่างอี กต่อไปแล้ว
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก! ” ใครคนหนึ่งมาตามหาพวกเขาในช่วงเย็นของวันนั้นเอง
โม่เทียนเกอและเว่ยเฮ่าหลานกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินใครคนหนึ่งเรียกเว่ยเฮ่าหลาน ทั้งสองคนจึงจ้องมองกันและกัน
ทุกอย่างต้องถูกจัดวางหรือปลูกสร้างเสียใหม่ บริเวณที่เคยเป็นหอประชุมใหญ่แต่เดิมนั้น ตอนนี้ถูกปิดผนึกเป็นการชั่วคราว สถานที่ที่พวกเขาเคยเข้าไปอยู่นั้น ตอนนี้กลับเป็นห้องแสนธรรมดาเท่านั้น และยังไร้ซึ่งลูกศิษย์คอยป้องกันประตูด้วย
เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด เว่ยเฮ่าหลานจึงโบกสะบัดมือของนาง เพื่อสลายเกราะฉนวนกันเสียงที่อยู่รอบตัวพวกเขา “เข้ามาได้”
ผู้ที่ย่างกรายเข้ามาภายในห้องคือศิษย์พี่หยาง ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยต้องประลองกับหวาอี้หลิน สาวน้อยที่ทั้งดื้อรั้น โอหัง และทรงพลังอย่างมาก
หลังจากที่เริ่นอวี่เฟิงถูกสังหาร ซย่าชิงชิงนำร่างของผู้อาวุโสทั้งสองกลับมายังเจดีย์บรรลุเต๋าเพื่อประกอบพิธีบูชา จากนั้น ทุกคนต่างเข้าร่วมการก่อตั้งกลุ่มใหม่อีกครั้ง สิ่งแรกที่พวกเขาต้องจัดการคือการแก้ไขทะเบียนรายชื่อของศิษย์แห่งสภาปี้เซวียน
จากปากคำของลูกศิษย์ที่ยังเหลืออยู่ ในปีที่เริ่นอวี่เฟิงหายตัวไปอย่างกะทันหัน พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ประหลาดใจ บางคนเสียชีวิต บางคนหนีหายไป แต่คนส่วนใหญ่นั้นไม่มีเวลามากพอให้หนี หลายคนมีชีวิตรอดมาได้ เพียงเพราะว่าพวกเขาผ่านการทรมานทุกรูปแบบมาแล้วเป็นอันดับแรก
โชคยังดี เพราะเริ่นอวี่เฟิงถูกครอบงำด้วยพลังมรณะ เขาจึงค่อยๆ สูญเสียความปรารถนาเช่นมนุษย์ปุถุชนไปอย่างช้าๆ มิฉะนั้น เมื่อคำนึงถึงว่ากลุ่มของพวกเขาคือกลุ่มผู้ฝึกตนสตรีแล้ว หญิงสาวจำนวนมากอาจจะต้องตกอยู่ภายใต้ความอับอายก็เป็นได้ ถึงกระนั้น ผู้คนที่เขาสรรหามาล้วนแต่ได้รับการตอบรับ โดยหาได้คำนึงถึงภูมิหลังของพวกเขาไม่ ดังนั้น บางคนจึงยึดถือหลักประพฤติปฏิบัติอันไม่เหมาะสมอยู่ด้วย เมื่อนางได้ยินถึงเรื่องนี้เข้า เว่ยเฮ่าหลานจึงไม่ปรานีอีกต่อไป เหล่าพวกที่ถูกชี้แจงได้ว่าประพฤติมิชอบตามหลักศีลธรรม จะต้องถูกตัดศีรษะในทุกกรณีทั้งหมด โชคยังดีที่ไม่ได้มีคนเหล่านั้นมากเท่าไรนัก ท่ามกลางผู้ฝึกตนอิสระที่ถูกสรรหาจากเริ่นอวี่เฟิง มีเพียงไม่กี่คนที่สูญเสียมนุษยธรรมเฉกเช่นเขา ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ของสภาปี้เซวียนเพียงแต่ผ่านการทุกข์ทรมานมาบ้าง แต่โชคยังดีที่พวกเขารอดพ้นจากการถูกทำให้เสื่อมเสีย
เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจมอบความเมตตาปรานี และในขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ของสภาปี้เซวียนหรือไม่ ทุกคนต่างใจเย็นลงในท้ายที่สุด ตอนนี้พวกเขาสามารถก้าวต่อไปยังสิ่งต่อไปที่พวกเขาจะต้องรับมือ ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะเกี่ยวกับการก่อตั้งกลุ่มครั้งใหม่ขึ้น
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก” ศิษย์พี่หยางทักทายนาง แต่แทนที่จะเอ่ยวาจาต่อไปนั้น นางกลับเหลือบมองไปที่โม่เทียนเกอ
เว่ยเฮ่าหลานกล่าวว่า “ผู้อาวุโสชิงอี้และผู้อาวุโสชิงเมี่ยวได้ตัดสินใจเชื้อเชิญ…สหายนักพรตเยี่ยมาเป็นผู้อาวุโสรับเชิญแห่งสภาปี้เซวียนของเรามาเป็นเวลานานแล้ว จงพูดออกมาหากเจ้ามีเรื่องอันใดที่อยากพูด ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องเก็บซ่อนมันไว้”
มันเป็นคำขอของโม่เทียนเกอเช่นกัน พวกนางจึงไม่เปิดเผยชื่อจริงของนางออกไป ในเมื่อชื่อที่นางใช้ภายในสภาปี้เซวียนคือ ‘เยี่ยเสี่ยวเทียน’ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเปลี่ยนชื่อกลับไปกลับมา นอกจากนั้น นางยังไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับอาจารย์ของนาง นางควรจะเก็บเนื้อเก็บตัวสักพักหนึ่งจะเป็นการดีกว่า เว่ยเฮ่าหลานไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก นางจึงทำตามความประสงค์ของโม่เทียนเกอเท่านั้น
“…เจ้าค่ะ” ศิษย์พี่หยางผู้นั้นชำเลืองมองโม่เทียนเกอหลายต่อหลายครั้ง ก่อนที่นางจะเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านกล่าวว่าสภาปี้เซวียนของเราหาใช่กลุ่มผู้ฝึกตนสตรีอีกต่อไปตั้งแต่บัดนี้ไม่… นั่นหมายความว่า… การเสนอต่างๆ และเรื่องอื่นๆ จะถูกถอนออกไปใช่หรือไม่”
พวกเขาเพิ่งจะหลีกหนีหายนะมาได้ แต่เรื่องที่นางสนใจกลับเป็นเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ! เว่ยเฮ่าหลานอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไป ผู้อาวุโสทั้งสองได้ตัดสินใจก่อนพวกท่านจะจากไปเป็นเวลานานแล้ว”
“อ้อ เข้าใจแล้ว…” ศิษย์พี่หยางหัวเราะแห้ง จากนั้นจึงชำเลืองมองโม่เทียนเกออีกครั้ง “แล้ว… ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองได้จากไปแล้ว เราจำต้องเลือกผู้อาวุโสคนใหม่ใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เว่ยเฮ่าหลานตอบอย่างซื่อตรง “เราจะต้องเลือกผู้อาวุโสใหม่ชั่วคราวสองท่าน พวกเขาทั้งสองคนและข้าจะดูแลจัดการเรื่องสำคัญต่างๆ เอง สำหรับอนาคต เราจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกลุ่มเรา ตราบใดที่ศิษย์ผู้ใดก็ตามพัฒนาตนเองจนเข้าสู่ดินแดนแห่งการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ พวกเขาจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสโดยอัตโนมัติ”
เว่ยเฮ่าหลานยังคงกล่าวต่อไปอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่รอให้ศิษย์พี่หยางได้ถามอะไรอีก “ศิษย์น้องหยาง เรากำลังพยายามสร้างกลุ่มของเราขึ้นมาใหม่ ดังนั้นยังมีเรื่องราวอีกมากที่จำเป็นต้องจัดการ ข้าไม่มีเวลามาตอบคำถามทั้งหลายนี้ของเจ้า หากเจ้ารู้สึกเบื่อหน่าย ก็ไปช่วยศิษย์น้องซย่าชิงและศิษย์น้องถังจะได้ไหม”
“…ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” เจ้าสำนักสั่งการนางอย่างเถรตรงเช่นนี้ นางจะทำอย่างไรได้เล่า
เมื่อศิษย์พี่หยางจากไป เว่ยเฮ่าหลานผู้ซึ่งรู้สึกผิดหวังนั้น ก็โยนทะเบียนรายชื่ออันใหม่ในมือของนางลงบนโต๊ะด้วยความโกรธจัด จากนั้นนางจึงพูดอย่างเสียดสีขึ้นมาว่า “ข้าเคยพูดไปแล้ว การเรียกตัวลูกศิษย์กลับมาไม่ใช่เรื่องยาก แต่การช่วยพวกเขาให้สร้างความภาคภูมิใจในตัวเองกลับมานั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ถึงกระนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราต้องเพิ่มปัญหาอีกข้อลงไปในรายการเสียแล้ว การคาดหวังจะให้พวกเขาวางความเห็นแก่ตัวลงนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า! พวกนั้นคิดว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไรกัน ผู้อาวุโสทั้งสองเพิ่งจะเสียไป แต่ดูประเภทของมิตรสหายที่เราเพิ่งช่วยเหลือมาสิ! ”
โม่เทียนเกอกล่าวปลอบขวัญว่า “คนจำพวกนั้นปรากฏตัวอยู่ในทุกหนแห่ง เจ้าสำนักไม่จำเป็นต้องโกรธเคืองเกินไปเพราะพวกเขาหรอก ยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย”
เว่ยเฮ่าหลานพยักหน้า “เจ้าพูดถูก มันแค่ทำให้ข้ารู้สึกหัวเสียที่พวกเขาไม่อาจแยกแยะระหว่างสิ่งที่สำคัญกับสิ่งที่ไร้ซึ่งความสำคัญ มันทำให้ข้าโมโหจริงๆ ! ”
“เช่นนั้น ก็อย่าหวังพึ่งพวกเขามากแล้วกัน” โม่เทียนเกอกล่าวอย่างแผ่วเบา “อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสทั้งสองได้ตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว เราแค่ต้องปฏิบัติตามที่พวกเขาสั่งเสียไว้เท่านั้น”
การได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงผู้อาวุโสทั้งสองทำให้เว่ยเฮ่าหลานนิ่งเงียบไป ครู่ต่อมา นางหายใจเข้าเฮือกใหญ่ในที่สุด และรวบรวมสมาธิตั้งสติให้ดี “ภายในสองวัน เราจะฌาปนกิจผู้อาวุโสทั้งสองก่อน และนำอัฐิไปวางตั้งไว้บนแท่นบูชาเคียงข้างผู้ก่อตั้ง เมื่อเราจุดธูปสักการะผู้ก่อตั้งในอนาคต ผู้อาวุโสทั้งสองก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย”
โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด “นั่นคือสิ่งที่เราควรจะทำ เมื่อไร้ซึ่งผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว สภาปี้เซวียนคงไม่มีวันได้ก่อตั้งใหม่อีกครั้งเป็นแน่”
“นอกจากเรื่องนั้นแล้ว… ผู้อาวุโสเยี่ย” เว่ยเฮ่าหลานแก้ไขวิธีที่นางเรียกชื่อของโม่เทียนเกอให้ถูกต้องอีกครั้ง “ข้าได้บอกกับศิษย์น้องซย่าชิงและศิษย์น้องถังให้เลือกผู้คนที่พึ่งพาอาศัยได้ เพื่อมาสรรหาลูกศิษย์เรียบร้อยแล้ว แต่ข้าต้องการให้ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อข่มขู่พวกเขา ในกรณีที่จำเป็น”
โม่เทียนเกอพยักหน้า สภาปี้เซวียนจะไม่ได้รับแต่สตรีผู้ฝึกตนเข้ากลุ่มอีกต่อไป ในแรกเริ่มนั้น จะต้องมีกลุ่มคนชั่วช้าที่ปะปนเข้ามาในการสรรหาอย่างแน่นอน ดังนั้นการข่มขู่ให้พวกเขากลัวเป็นสิ่งจำเป็น
“ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น… ตอนนี้มันยังคงวุ่นวายเกินไป ข้าจะคุยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น ภายหลังจากที่ข้าได้คิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้อาวุโสเยี่ย ท่านได้ลงแรงมาอย่างหนัก ท่านควรจะพักผ่อนเสียก่อน ยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากที่เราต้องจัดการกันในภายหลัง”
“ตกลง” โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธคำแนะนำของนาง ตัวนางนั้นไม่เชี่ยวชาญเรื่องกลุ่มผู้ฝึกตนเท่าไรนัก ดังนั้น นางจึงไม่สามารถช่วยเหลือได้มากเท่าที่ควร และเพราะสาเหตุนั้น นางจึงควรกลับไปและปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของนาง โดยการเพิ่มพลังงานของนาง เพื่อที่นางจะได้ยับยั้งบรรดาผู้คนที่ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังเหล่านั้นได้
หลังจากออกจากห้องของเว่ยเฮ่าหลาน โม่เทียนเกอสุ่มเลือกห้องในบ้านพัก และร่ายม่านพลังป้องกัน จากนั้นจึงเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ซึ่งนางไม่ได้ก้าวเข้าสู่ที่แห่งนั้นมาเป็นเวลายาวนานโดยตรง
ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ต้นไผ่ยังคงส่งเสียงดังกรอบแกรบ สายลมยังคงพัดพาอย่างอ่อนโยน ทุกอย่างยังคงเหมือนเช่นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ในแรกเริ่ม นางไม่สามารถเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนได้ ภายหลังจากนั้น นางไม่มีโอกาสได้เข้าสู่ที่แห่งนี้
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ผ่านไปอย่างทั้งเรียบง่ายและซับซ้อน ภายในเจดีย์บรรลุเต๋า นอกจากการฝึกตนและการฟื้นฟูสภาพแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีก แม้กระนั้นเพื่อที่จะพิชิตเริ่นอวี่เฟิง พวกเขาทุกคนต่างคิดแผนการนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้พวกเขานั้นเหนื่อยล้าโรยราไปทั้งกายและใจ
และตอนนี้… นางก็เป็นอิสระในที่สุด…
โม่เทียนเกอลากกายอันแสนสะบักสะบอมของนางไปยังกระท่อมหลังเล็ก
ทันใดนั้น เกี๊ยวสีเหลืองทองตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากกระท่อมหลังเล็กนั่น เมื่อเห็นโม่เทียนเกอเข้า เกี๊ยวตัวนั้นก็กระโจนเข้าหานางในทันที
โม่เทียนเกอยื่นมือออกไปเพื่อรับมัน “ไม่เจอกันเสียนานนะ เฟยเฟย” นางกล่าวขณะที่กำลังลูบหัวของมันด้วยความเอ็นดู
เจ้านี่คือเฟยเฟยที่นางปล่อยไว้ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเป็นเวลายี่สิบปี ตั้งแต่ตอนที่มันทะลวงดินแดน ปัจจุบัน มันก้าวขึ้นมาสู่อันดับสองแล้ว และขนสีขาวบนร่างของมันก็ได้กลายเป็นสีเหลืองทองแล้วด้วย
เฟยเฟยขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบหน้ากันเป็นเวลาถึงยี่สิบปี แต่พวกเขาก็มีพันธสัญญาต่อกัน เฟยเฟยจึงไม่แสดงความรู้สึกแปลกแยกต่อนางออกมาเลยสักนิด
โม่เทียนเกอกลับมาถึงยังกระท่อมหลังเล็ก และวางเฟยเฟยลง “ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เจ้าไปเล่นของเจ้าเองก่อน ตกลงไหม”
ดูเหมือนว่าเฟยเฟยจะมีชีวิตจิตใจมากกว่าเมื่อก่อน มันเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่นางพูด ดวงตาสีดำขลับของมันจ้องมองนางเป็นเวลาสักพักหนึ่ง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนบ่านาง และวางอุ้งเท้าไว้บนศีรษะของนาง
พริบตานั้น กระแสไออุ่นสายหนึ่งไหลออกมาจากอุ้งเท้าของเฟยเฟย โม่เทียนเกอสัมผัสได้ถึงกระแสไออุ่นแผ่กระจายไปทั่วร่างของนางเท่านั้น ทุกๆ ส่วนของความอ่อนแรงเหนื่อยล้าที่นางรู้สึกภายในร่างของนางกลับหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที
เฟยเฟยสามารถทำให้ผู้คนลืมความกังวลของพวกเขาได้… นี่คือเรื่องจริงเป็นที่สุด
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ โม่เทียนเกอดึงสติกลับคืนมาได้ในที่สุด ความเหน็ดเหนื่อยที่นางรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางกายหรือทางใจ พลันสลายหายไปเรียบร้อยแล้ว เฟยเฟยร้อง และกระโดดจากบ่าของเธอเข้าไปสู่อ้อมกอดของเธอ จากนั้นก็ขดตัวของมันราวกับว่ามันต้องการคำชื่นชม
โม่เทียนเกอลูบศีรษะของมันด้วยรอยยิ้ม และกล่าวว่า “ขอบใจนะ”
การได้รับคำชื่นชมจากนางทำให้เฟยเฟยมีความสุขเหลือเกิน จนมันเริ่มกลิ้งไปมาในอ้อมกอดของนาง
ขณะที่ยังอุ้มเฟยเฟยเอาไว้ในอ้อมแขน โม่เทียนเกอหยิบกระเป๋าเอกภพออกมาจากภายในเสื้อคลุม และใจจดจ่ออยู่กับการพิจารณาไตร่ตรอง
นี่คือกระเป๋าเอกภพของเริ่นอวี่เฟิง ถึงแม้นางจะนำมันมา แต่พวกเขาต่างยุ่งวุ่นวายอย่างมากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา นางจึงลืมส่งกระเป๋านี้ให้กับเว่ยเฮ่าหลาน
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของนาง ขณะที่นางกำลังมองดูกระเป๋าเอกภพใบนั้น โม่เทียนเกอก็สอดมือเข้าและเริ่มควานหาบางสิ่งบางอย่าง ในที่สุด นางก็หยิบแผ่นศิลาอันหนักอึ้งจากภายในกระเป๋าเอกภพออกมา มันคือแผ่นศิลาที่เริ่นอวี่เฟิงเอามาจากวัดโบราณที่เกี่ยวข้องกับการบูชายัญแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดที่มีการบันทึกวิชาลับเทพมังกรอันแสนเลื่องชื่อเอาไว้
พื้นผิวของแผ่นศิลานี้ดูธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ภาพวาดด้านบนสุดของมันก็เรียบง่ายมากๆ เช่นกัน ที่ปลายด้านบนสุดนั้นมีภาพวาดของโครงกระดูกมังกรและมนุษย์คนหนึ่งที่ดูเหมือนกำลังร่ายเวทบางอย่างอยู่ ที่ด้านใต้และด้านข้างของมันมีร่างของมนุษย์จำนวนมากปรากฏอยู่ในท่าทางที่แตกต่างกัน บนร่างของมนุษย์เหล่านั้นมีลวดลายบางอย่างวาดเอาไว้ ซึ่งดูคล้ายกับเป็นวิธีการในการเปิดใช้งานพลังวิญญาณ นอกจากนั้น ยังมีคำที่แสนเรียบง่ายถูกสลักเอาไว้อยู่ที่ด้านข้างด้วย แต่คำโบราณเหล่านั้นล้วนแต่สูญไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจว่าพวกมันมีความหมายเช่นไร
ช่างน่าประหลาดนัก ไม่มีสิ่งใดที่ดูผิดปกติเลยสักนิด
นางช่วยไม่ได้ที่จะลูบแผ่นศิลานั้น กระนั้นก็ตาม วินาทีที่มือของนางสัมผัสเข้ากับลวดลายบนแผ่นศิลาแผ่นนั้น ทันใดนั้น นางก็รู้สึกชาไปทั่วทั้งร่างกาย และพริบตาต่อจากนั้น ความคิดอันแสนประหลาดทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดมาสู่นางผ่านแผ่นศิลาแผ่นนั้น
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ปรากฏขึ้นภายในหัวของนาง…
มังกรลอยล่องอยู่กลางท้องนภา สงคราม ซากศพ… และท้ายที่สุดคือ ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่เหนือโครงกระดูกของมังกร ดูเหมือนว่าเขากำลังดูดซับพลังลมปราณเทพมังกรอยู่ ช่างน่าแปลกที่พลังที่ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างของเขานั้นคือพลังมรณะ ในทางกลับกัน พลังลมปราณเทพมังกรกลับเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และพละกำลังของมันก็แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ …
“แฮ่ๆ” ทันใดนั้น เสียงร้องพลันดังขึ้นในหูของนาง เฟยเฟยกระโดดและกัดเข้าที่นิ้วของนาง
ความเจ็บปวดจากปลายนิ้วนางดึงจิตใจของโม่เทียนเกอให้กลับมา หยดเหงื่ออันเย็นยะเยือกผุดท่วมไปทั่วร่างนางในทันที แน่นอนแล้วว่าต้องมีบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับวิชาลับเทพมังกรอันเลื่องลือนี้! มันไม่ใช่ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับภาพวาดหรือวิธีที่ผู้คนทำความเข้าใจกับมัน หากแต่ว่าตัวของมันคือวิชานอกรีตชนิดหนึ่ง! แผ่นศิลานี้ครอบครองพลังงานอันน่าทึ่งเอาไว้ วินาทีที่ผู้คนเข้ามาสัมผัสกับมัน จิตใจของพวกเขาจะถูกตรึงเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ถ้าหากไม่ใช่เฟยเฟยที่ปลุกนางจากการหลงผิดได้ทัน ผลลัพธ์ที่ตามมาคงจะน่ากลัวเกินกว่าที่จะคาดเดาได้!
เมื่อความคิดของนางมาถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอกอดเฟยเฟย และรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง “โชคดีที่เจ้าช่วยข้าไว้ได้! ขอบใจเจ้ามากจริงๆ เฟยเฟย! ”
เฟยเฟยโค้งศีรษะของมันและจ้องมองไปที่นาง ครู่ต่อมา มันก็กระโดดลงไป และเตะแผ่นศิลานั้นไปให้ไกลด้วยขาหลังอันแสนสั้นของมัน จากนั้นก็ส่ายศีรษะมองไปที่นาง
“ห้ามสัมผัสเจ้าสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอเดาความหมายของมันผ่านการหยั่งรู้ศักดิ์สิทธิ์ของนาง
เฟยเฟยแผดเสียงร้อง ‘แฮ่ๆ ’ หลายครั้งอีกครั้ง จากนั้นเดินตรงไปที่นาง และวางอุ้งเท้าของมันลงบนมือของนาง
พลังอันน่าอัศจรรย์นั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง และปลอบประโลมโม่เทียนเกอให้ใจเย็นลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“เอาละ ข้าเข้าใจแล้ว” การดำรงอยู่ของพันธสัญญาก่อให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ดังนั้น โม่เทียนเกอจึงเชื่อเฟยเฟยโดยไม่ลังเลใดๆ
นางเลิกสนใจในแผ่นศิลาแผ่นนั้น ซึ่งถูกเตะกระเด็นไปยังด้านข้างสักแห่งหนึ่งอีก และนางดำเนินการตรวจค้นกระเป๋าเอกภพของเริ่นอวี่เฟิงต่อไป ยังมีบางสิ่งบางอย่างจำนวนมากอยู่ภายใน
ศิลาวิญญาณ วัตถุดิบต่างๆ เครื่องมือเวท… ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับสิ่งของเหล่านั้น ยกเว้นแต่ว่าจำนวนของศิลาวิญญาณที่เขามีนั้นมากกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้ วัตถุดิบทั้งหลายค่อนข้างดีทีเดียว แต่อุปกรณ์เวทมนตร์อยู่ในระดับทั่วๆ ไป
อ้อ ใช่! เริ่นอวี่เฟิงผู้ได้ฝึกฝนวิชาชั่วร้ายนั่น ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เวทมนตร์อีกต่อไป พลังมรณะของเขาคืออาวุธที่ดีที่สุด
สำหรับวัตถุดิบและศิลาวิญญาณเหล่านี้ เขาน่าจะได้พวกมันมาจากการปล้นเมืองหลินไห่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาใช่หรือไม่ นางไม่อาจด่วนสรุปเรื่องนี้โดยอ้างอิงจากศิลาวิญญาณเพียงเท่านั้น แต่ในบรรดาวัตถุดิบเหล่านี้ มีแกนปีศาจและสินค้าลักษณะพิเศษแห่งทะเลตะวันออกเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นการคาดเดาของนางจึงน่าจะถูกต้อง
เมื่อขบคิดพิจารณาเรื่องนี้ ในที่สุดโม่เทียนเกอก็ตัดสินใจคืนกระเป๋าเอกภพใบนี้ให้กับเว่ยเฮ่าหลาน นางไม่ได้สนใจในวัตถุดิบเหล่านี้ และนางเองก็ไม่ได้ขาดแคลนศิลาวิญญาณด้วย กระนั้นก็ตาม สำหรับสภาปี้เซวียน ซึ่งยังไม่ได้รับการก่อตั้งใหม่นั้น สิ่งของเหล่านี้จะช่วยเหลือพวกเขาในยามที่จำเป็นได้