ข่าวที่เยี่ยเม่ยถูกพิษต้องพักฟื้นแพร่ออกไปนอกเมืองในไม่ช้า
ราชาต้ามั่วรู้ข่าวก็หารือกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ “เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ เรื่องนี้เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“ข้าคิดว่า ไม่ควรทิ้งโอกาสนี้ไป!” เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ตอบ จากนั้นคุกเข่าลงเอ่ยว่า “ท่านข่าน ข้าได้รับข่าวมาว่า จิ่วหุนออกจากเมืองไปแล้ว ไม่เพียงเท่านี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองก็ออกจากชายแดนแล้วเช่นกัน ในเมื่อเป่ยเฉินอี้ร่วมมือกับเรา เขาย่อมไม่สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว! ขอเพียงพวกเราจัดทัพออกศึก ต้องตีชายแดนแตกได้ในทันที!”
ครั้นราชาต้ามั่วได้ฟัง ก็พยักหน้าทันที “เจ้าพูดไม่ผิด! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอมอบหมายเรื่องนี้ให้กับเจ้า ต้องตีชายแดนเป่ยเฉินแตกให้ได้!”
“ขอรับ! ท่านข่านโปรดวางใจ ข้าจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้!” สิ้นเสียง เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ก็ออกไปจากกระโจมราชาต้ามั่ว
……
ในกระโจมจิวมั่วเหอ
เขาขมวดคิ้ว จ้องมองคนตรงหน้า เอ่ยถามว่า “เจ้าบอกว่าเยี่ยเม่ยถูกพิษแล้ว? จิ่วหุนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่อยู่ แนวป้องกันชายแดนว่างเปล่าแล้ว?”
“ถูกต้อง!” บ่าวตอบกลับมาในบัดดล
สีหน้าจิวมั่วเหอเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองอีก “ทางท่านข่านมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง”
“ท่านข่านตามตัวเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่เข้าพบแล้ว ดูท่าเตรียมคว้าโอกาสนี้เปิดศึกโจมตีแน่!” บ่าวรายงานทันที
ในขณะที่จิวมั่วเหอหน้าคล้ำง้ำงอ
ลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านนอก จิวมั่วเหอยื่นมือออกไป ลูกดอกนั้นตกลงในมือเขา บนนั้นมีกระดาษใบหนึ่ง เขาคลี่ออกดู
บนกระดาษมีตัวอักษรหกตัว “ใช้แผนซ้อนแผน—เยี่ยเม่ย”
จิวมั่วเหอค่อยระบายลมหายใจออกมาคำหนึ่ง เขารู้ทันความคิดของเยี่ยเม่ย จิวมั่วเหอหัวเราะเสียงเย็น “คิดไม่ถึงจริงๆ โอกาสที่ข้าจะใส่ร้ายเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ เยี่ยเม่ยช่วยเตรียมการไว้ให้ข้าแล้ว!”
เขาเอ่ยพลางมองทหารที่คุกเข่าอยู่กลางกระโจม เอ่ยปากว่า “เจ้าออกไปจับตาดู เมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่นำทัพออกศึก รีบกลับมารายงานข้าทันที!”
“ขอรับ!” นายทหารรับคำ ก็ออกไปตรวจสอบ
……
ชายแดน
จู่ๆ เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วก็ได้รับคำสั่งลับจากเยี่ยเม่ย หลังพวกเขารู้แผนการของเยี่ยเม่ย ก็ปรบมือด้วยยินดี
แต่ว่าก่อนจากไป เยี่ยเม่ยกลับกำชับอีกประโยคหนึ่ง “เรื่องนี้พวกเจ้าต้องแอบทำ อย่าให้แม่ทัพคนอื่นรับรู้เด็ดขาด ทั้งไม่อาจให้เป่ยเฉินอี้เห็นร่องรอยอะไรทั้งนั้นด้วย”
“ขอรับ!” หลังจากคนทั้งสองรับปากก็รีบจากไป
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดเรื่องนี้ถึงให้พวกเขารู้ได้แค่สองคน ไม่อาจบอกแม่ทัพคนอื่นได้ แม้กระทั่งอี้อ๋องก็ต้องปิดบัง
หลังจากออกมาจากห้องเยี่ยเม่ยแล้ว
เซียวเยว่ชิงถามอย่างระวังว่า “เจ้าว่าแม่นางเยี่ยเม่ยป้องกันอี้อ๋องเช่นนี้เพราะเหตุใด อี้อ๋องถือเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนักเป่ยเฉินเรา เขาไม่น่าทำเรื่องให้พวกเราเสียหาย…”
“ใครจะรู้ได้!” หลูเซียงฮั่วส่ายหน้า วิเคราะห์ออกมาทันควัน “บางทีอาจเป็นเรื่องอำนาจละมั้ง…”
เซียวเยว่ชิงได้ฟัง ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล “ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยก็เป็นผู้นำทัพ พวกเราต้องเชื่อฟังนาง ในเมื่อนางไม่ให้พวกเราพูดก็ต้องไม่พูด!”
“เห็นด้วย!” หลูเซียงฮั่วพยักหน้า
……
หลังจากพวกเขาจากไป ซือหม่าหรุ่ยถามเยี่ยเม่ยขึ้นว่า “พวกเขาสองคนนี้เชื่อถือได้อย่างนั้นหรือ พวกเขาจะไม่บอกเป่ยเฉินอี้ใช่หรือไม่”
“ไม่!” เยี่ยเม่ยส่ายหน้า “คนอื่นข้ามองว่าไม่เท่าไร แต่ว่าสองคนนี้ ขอเพียงเป็นเรื่องการศึก มักก้าวออกมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ในสายตาทอประกายเต็มไปด้วยความภักดี ทั้งสองคนเป็นคนที่มีใจทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ใช่คนของเป่ยเฉินอี้ ตอนนี้พวกเขาเชื่อใจข้า ต้องไม่บอกกับเป่ยเฉินอี้แน่!”
ซือหม่าหรุ่ยโคลงหัว “อย่างนั้นก็ได้!”
หลังจากเอ่ยจบ ซือหม่าหรุ่ยมองกับข้าวบนโต๊ะ “เจ้ากินข้าวก่อนเถอะ!”
“อืม!” เยี่ยเม่ยหยิบตะเกียบ
ไม่รู้เพราะอะไร สุดท้ายนางกลับไม่คีบอาหาร ถือตะเกียบค้างไว้ไม่ขยับเป็นเวลานาน
ซือหม่าหรุ่ยเห็นท่าทางของนาง ถอนหายใจ ถามว่า “เจ้ายังคิดหาเหตุที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจากไปอย่างนั้นหรือ”
เยี่ยเม่ยอึ้งไป เดิมคิดจะปากแข็งสักหน่อย แต่เห็นแววตาเข้าอกเข้าใจของซือหม่าหรุ่ย นางก็ทนปากแข็งไม่ได้
วางตะเกียบในมือลง มองอีกฝ่าย “เขาไปแล้ว ตามหลักข้าควรดีใจที่ตัดขาดกับเขาได้สักที แต่ในใจข้า ทำไมถึงไม่ดีใจเอาเสียเลย!”
ขณะเยี่ยเม่ยเอ่ย กระบอกตาของนางแดงขึ้นมาเล็กน้อย
ซือหม่าหรุ่ยถอนหายใจ ตบบ่าเยี่ยเม่ย “เรื่องประเภทนี้ ไม่ว่าเกิดกับใครก็ยากจะดีใจได้ เยี่ยเม่ย เจ้าคิดว่าเจ้าลืมเขาได้หรือเปล่า”
เยี่ยเม่ยครุ่นคิด
ในที่สุดนางก็หัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง ส่ายหน้า “ไม่ได้! เจ้ารู้ไหม ยามข้าเกลี้ยกล่อมให้เขาจากไป ไม่ว่าคำพูดแรงแค่ไหนก็เอ่ยออกมาจนหมด แต่ให้ตายเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือ ยิ่งเขาไม่อาจปล่อยมือได้ ข้ายิ่งเจ็บปวดหัวใจ วันนี้เขาจากไปแล้ว ข้าเบาใจได้เปราะหนึ่ง ทว่าข้ายังทรมานในทุกๆ วินาที คล้ายกับมีคนใช้มีดกรีดใจของข้า!”
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ย รู้สึกปวดใจ ทว่าไม่รู้จะช่วยอีกฝ่ายอย่างไร
สุดท้ายเยี่ยเม่ยพรูลมหายใจออกมาคำหนึ่ง “ข้าเคยถามเขาว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ทำไมยังไม่ยอมปล่อยมืออีก เหตุใดต้องทรมานตนเช่นนี้ ตอนนี้ข้าก็อยากถามตัวเองเช่นกัน ทั้งๆ ที่รู้ความจริงทั้งหมด คนที่ต้องการตัดความสัมพันธ์กับเขาก็คือข้า แต่เมื่อเขาจากไปแล้ว ข้าไม่อยากอาหาร ข้าทรมานไปเพื่อะไรกัน”
“เยี่ยเม่ย…” ซือหม่าหรุ่ยคิดเกลี้ยกล่อมนาง
เยี่ยเม่ยโบกมือ บอกว่าไม่ต้อง สายตาค่อยๆ คมกริบขึ้นมา “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องกินข้าว! ข้าต้องมีชีวิตต่อไปให้ดี ถึงทำสิ่งที่ข้าสมควรทำได้ ต่อให้ทรมานแค่ไหน สิ่งที่ต้องกินก็ยังต้องกิน! ข้ามีหน้าที่ ข้ามีชะตาชีวิตของข้า!”
ขณะที่นางเอ่ยคำพูดนี้ ก็หยิบถ้วยขึ้นมาพุ้ยข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย
ซือหม่าหรุ่ยเห็นท่าทางนางเป็นเช่นนี้ ในวินาทีแรกก็ไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรออกไปดี ได้แต่นั่งมองนางด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เยี่ยเม่ยกินข้าวทีละคำๆ ในที่สุดน้ำตาสุดกลั้นไหว ไหลพรูออกมา
ทว่านางกลับไม่วางถ้วยในมือลง นางเกรงว่าเมื่อวางลงก็คงกินข้าวไม่ลงอีกแล้ว นางย้ายตะเกียบในมือขวาไปไว้ในมือข้างซ้าย
มือซ้ายถือถ้วยข้าวและตะเกียบไว้ มือขวาปาดน้ำตาบนใบหน้าออกแรงๆ
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามองซือหม่าหรุ่ย พลันเอ่ยทั้งร้องไห้ว่า “อาหรุ่ย เจ้าว่า…เขาไปแล้ว หลังจากนั้น…จะลืมข้าหรือไม่”
นางไม่กลัวเขาแค้นนาง ทั้งไม่กลัวว่าจะกลายเป็นคนแปลกหน้า ยิ่งไม่กลัวว่าจะได้พบกันบนสนามรบ ทว่านางกลัวว่าเขาจะลืมนาง ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยความทรงจำ
ซือหม่าหรุ่ยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยเม่ย สุดกลั้นน้ำตาได้อีก นางเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีทาง เขาไม่มีทางลืมเจ้าได้! การรักใครสักคน ไม่มีทางลืมเลือนได้ง่ายๆ มิเช่นนั้น หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าคงไม่ออกตามหาเซียวชิน”
แต่เมื่อฟังคำพูดของซือหม่าหรุ่ยจบ ในใจเยี่ยเม่ยกลับยิ่งเสียใจ น้ำตาไหลพรากลงมา “แต่ว่า…แต่ว่าข้ามีคุณสมบัติอะไรไม่ให้เขาลืมข้า อย่างไรเสียระหว่างตระกูลของข้ากับเขา ข้าทอดทิ้งเขาไป แม้กระทั่งโอกาสให้เลือก ข้ายังไม่มอบให้เขาเลย…”