หลัวเทียนเฉิงเงียบไปแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดไปไกลแล้ว”
ดวงตาเจินเมี่ยวค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น เพียงแต่กระทำเช่นนี้ก็เปลืองแรงไปไม่น้อย แต่เพื่อขาหมู นางยังคงทำพยายามต่อไป “ซื่อจื่อ เมื่อครู่ข้าเหมือนจะได้ยินผิดไป ท่านพูดอีกครั้งได้หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงทั้งขำทั้งโมโห “พูดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม เจ้าคลอดครั้งนี้อันตรายยิ่ง ทั้งยังต้องให้นมอีก หมอหลวงบอกว่าไม่ให้เจ้ากินของมัน หากอยากกินก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดีก่อนค่อยว่ากันอีกที”
“ให้นมหรือ” เจินเมี่ยวกลอกตาคราหนึ่งแล้วพลันนึกขึ้นได้ นางฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ได้กลายเป็นมารดาของเด็กน้อยสองคนไปแล้วมิใช่หรือ ดวงตานางทอประกายขึ้นมา “ซื่อจื่อรีบอุ้มลูกมาให้ข้าดูเร็วเข้า”
หลัวเทียนเฉิงมองไป๋เสาคราหนึ่ง
ไป๋เสาพลันเดินไปที่ห้องด้านข้าง ไม่นานแม่นมสองคนก็อุ้มทารกน้อยเดินเข้ามา
“รีบเอาพวกเขามาวางไว้ข้างๆ ข้าเร็ว”
แม่นมทั้งสองอุ้มทารกเข้าไปให้เจินเมี่ยวดู
ทารกทั้งสองต่างกำลังหลับ พวกเขาตาหน้าเหมือนกันยิ่ง คนที่แก้มยุ้ยสักหน่อยนั้นมีฟองสีขาวห้อยติดอยู่ที่มุมปากข้างหนึ่งด้วย
เจินเมี่ยวเห็นแล้วก็อดยิ้มออกมามิได้ นางยื่นมือไปจิ้มฟองนั้นจนแตก
เด็กน้อยขมวดคิ้วและตื่นขึ้นมา เขาอ้าปากร้องไห้เสียงดัง จนเจินเมี่ยวอึ้งไปเลยทีเดียว
“เหตุใดจึงร้องไห้เล่า”
แม่นมรีบอุ้มขึ้นปลอบ น่าเสียดายที่ทารกน้อยมิให้เกียรติเอาเสียเลย เขายังคงร้องไห้เสียดังต่อไป
เมื่อคนหนึ่งร้องไห้ย่อมไปรบกวนอีกคนให้ตื่นขึ้นมา
เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นคิดว่าคงแย่แน่ หากร้องไห้พร้อมกันคงทำให้คนตกใจไม่น้อย
คิดไม่ถึงว่าทารกอีกคนกลับเพียงอ้าปากขึ้นแต่มิได้ร้องไห้ ทว่ากลับส่ายหน้าไปมาดุจลูกสุนัข
แม่นมที่อุ้มเขาอยู่จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชายแค่หิวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
พูดพลางทำความเคารพเพื่อขอตัวไปให้นมที่ห้องด้านข้าง
เจินเมี่ยวเห็นแล้วก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากว่า “เอาเข้ามาให้ข้า ข้าจะให้นมเขาเอง”
“เอ่อ…” แม่นมหันไปมองหลัวเทียนเฉิงโดยไม่รู้ตัว
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ทำตามที่ต้าไหน่ไหน่บอก”
แม่นมจึงรีบอุ้มทารกน้อยไปวางในอ้อมแขนของเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวพยายามเปิดเสื้อตนออก ทารอกน้อยแม้หลับตา แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดกลับส่ายหน้าไปมาจนงับเข้ากับอาหารของเขาได้อย่างแม่นยำ
ชั่วขณะนั้นเจินเมี่ยวรู้สึกดั่งใจทั้งดวงละลายกลายเป็นสายน้ำยามวสันต์ มันทั้งอ่อนโยน นุ่มนวล ทั้งที่น้ำนมรสหวานอยู่ในปากทารกน้อยแท้ๆ แต่ความรู้สึกหวานล้ำกลับไหลย้อนกลับไปสู่ใจของเจินเมี่ยว
ทารกอีกผู้หนึ่งกลับร้องไห้เสียงดังขึ้น
“เอาเขามากินนมด้วยเร็ว”
ทารกทั้งสองต่างกินนมอยู่ในอกเจินเมี่ยวอย่างตะกละตะกลาม หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วตาแทบถลนออกมา เขาพึมพำว่า “ให้เขากินนมเจ้าได้อย่างไร”
เจินเมี่ยวถลึงตาให้เขา “ข้าเป็นมารดาเขา ไม่กินนมข้า แล้วจะให้กินนมผู้ใดกัน”
“มีแม่นมมิใช่หรือ”
ตระกูลใหญ่ๆ มักจะจัดเตรียมแม่นมไว้เป็นเรื่องปกติ เดิมเจินเมี่ยวไม่ได้คิดอันใด แต่เมื่อเด็กน้อยทั้งสองพยายามปีนเข้ามากินนมในอกนางจนหน้าผากย่นยับประหนึ่งเฒ่าทารกทั้งคล้ายลูกลิง ดูขบขันและน่ารัก นางก็เกิดความรู้สึกตัดใจไม่ลง
ต่างเล่ากันว่าผู้ใดให้นมเด็กเขาย่อมรักใคร่ผู้นั้น หากภายหน้าทารกทั้งสองรักแม่นมมากกว่านางเล่าจะทำอย่างไร
“ซื่อจื่อ ข้าคิดดีแล้ว ต่อไปข้าจะให้นมพวกเขาวันละสองครั้ง หากไม่พอถึงจะให้แม่นมป้อน”
“ไม่ได้” หลัวเทียนเฉิงตอบปฏิเสธโดยไม่คิดสักนิด
“ไม่ได้จริงๆ หรือ” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากตน สายตาที่แฝงโทสะของนางจ้องเขานิ่ง
หลัวเทียนเฉิงต้องยอมแพ้ในทันที “ก็ได้ ตามใจเจ้าแล้วกัน”
เขาผ่านการสูญเสียมาแล้วครั้งหนึ่ง ขอเพียงครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งสิ้น เจี๋ยวเจี่ยวมีความสุขก็พอ แม้เขาจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่เด็กน้อยสองคนนั่นกำลังกินนมอย่างตะกละตะกลามอยู่ในอกภรรยาเขา
เจินเมี่ยวพลันยิ้มออกมา นางมองทารกสองคนด้วยแววตาอ่อนโยน “จอมตะกละตัวน้อย ตายังไม่ลืมด้วยซ้ำแต่กลับรู้ว่าจะหาของกินได้ที่ไหน ได้รับจุดดีของข้าไปแล้วเป็นแน่”
หลัวเทียนเฉิงเบ้มุมปากตน
นี่เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจจริงๆ หรือ
เจินเมี่ยวไม่รู้ว่าหลัวเทียนเฉิงกำลังพร่ำบ่นอยู่ในใจจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่า เด็กสองคนนี้ ผู้ใดเป็นพี่ ผู้ใดเป็นน้อง”
หลัวเทียนเฉิงถึงกับเงียไป แล้วหันไปถามแม่นมทันที
แม่นมผู้หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ ที่อยู่ด้านขวาของท่านคือพี่ชาย ส่วนคนซ้ายคือน้องชาย น้องชายจะอ้วนสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“มิน่าเล่าถึงมิชอบร้องไห้ ออกมาทีหลังเลยเก็บแรงไว้กินนมใช่หรือไม่” เจินเมี่ยวยิ่งมองยิ่งเอ็นดูทารกทั้งสอง
“ต้าไหน่ไหน่ ฮูหยินผู้เฒ่ากับเวินไท่ไท่มาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ” ไป่หลิงเดินเข้ามารายงาน
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว”
สาวใช้สองคนเลิกม่านมุกขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเดินนำหน้าและมีเถียนเสวี่ยประคองอยู่ด้านข้าง นางเวิน นางหลี่ ถัดไปอีกคือนางซ่งและนางชี
พริบตาภายในห้องก็เต็มไปด้วยฮูหยินทั้งหลาย
หลังจากทำความเคารพแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็ออกไปทันที
เขายืนอยู่บนระเบียบทางเดิน หลังพิงกับเสาใหญ่สีแดง หน้าเงยขึ้นไปมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือกิ่งไม้ ในที่สุดใจของก็สงบลงได้เสียที
เขายืนอยู่เช่นนี้ครู่ใหญ่จึงก้าวเท้าเดินจากไป แต่ก็ต้องชะงักหยุด สายตาอันแหลมคมมองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วมุ่งหน้าไปทางนั้นแทน
ที่นั่นมีพุ่มเหม่ยเหรินเจียว [1] อยู่ ใบของมันสูงใหญ่ เขียวชอุ่ม ดอกสีแดงสดงดงามสะดุดตายิ่ง ด้านข้างมีเด็กสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ นางยังมิโตเต็มวัยเหมือนดอกไม้ที่บานยังไม่เต็มที่ซึ่งทัดอยู่ข้างหูนางนั่นแล
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้ว “น้องสาม?”
เห็นชัดว่าหลัวจือเจินกลัวหลัวเทียนเฉิง นางจึงห่อตัวโดยไม่รู้ตัวคล้ายอยากจะหลบไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้กระนั้น แต่ก็ฝืนตัวเองไว้แล้วเอ่ยเรียกพี่ใหญ่คำหนึ่งอย่างขลาดกลัว
“ค่ำเพียงนี้แล้ว เจ้ามายืนทำอันใดที่นี่คนเดียวเล่า”
“ข้ามาเยี่ยมพี่สะใภ้เจ้าค่ะ”
“แล้วเหตุใดจึงมิเข้าไปเล่า”
หลัวจือเจินบิดผ้าเช็ดหน้าตน “พี่สะใภ้หลับตลอด ข้าไม่รู้ว่าสะดวกหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ “นางตื่นแล้ว ท่านย่าก็อยู่ที่นั่น หากเจ้าอยากไปเยี่ยมก็เข้าไปเถิด แต่อย่าอยู่จนดึกเล่า ยามจะกลับให้เรียกสาวใช้สักคนไปส่งเจ้าด้วย”
หลัวจือฮุ่ยแต่งออกไปแล้วเมื่อต้นปี ในจวนแห่งนี้จึงมีเพียงหลัวจือเจินที่โตแล้วสักหน่อย หากนางสามารถอยู่เป็นเพื่อนเจี๋ยวเจี่ยวได้คงดีไม่น้อย
“ข้าเห็นว่าคนเข้าไปในห้องเยอะมาก คิดว่าจะรอพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมใหม่เจ้าค่ะ”
“งั้นข้าจะเรียกสาวใช้สักคนไปส่งเจ้าแล้วกัน”
หลัวจือเจินเม้มปาก “พี่ใหญ่ ท่านไปส่งข้าได้หรือไม่”
ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความลังเล
“ไปเถิด” หลัวเทียนเฉิงพลันเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ แต่ยังเอ่ยโดยไม่แสดงอารมณ์ใด
สองพี่น้องเดินตามกันไป เมื่อใกล้ถึงเรือนพักของหลัวจือเจิน นางก็หยุดฝีเท้าลงทันที
หลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ คราหนึ่ง “น้องสาม มีเรื่องอันใดใช่หรือไม่”
หลัวจือเจินพยักหน้าช้าๆ “พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ”
“รอเดี๋ยวก่อน” หลัวเทียนเฉิงพาหลัวเทียนเจินไปยังศาลาพักเท้าแห่งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “พูดมาเถิด”
ที่แห่งนี้ไม่มีอันใดขวางสายตา สามารถมองเห็นทั่วทิศ มีเพียงดอกไม้ต้นไม้พุ่มเตี้ย จึงมิกลัวว่าจะมีคนแอบฟัง
หลัวจือเจินโล่งอกยิ่ง นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ความจริงข้าไปตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าได้ยินว่าพี่สะใภ้ยังมิคลอดตั้งแต่เมื่อคืน ข้าเป็นห่วงจึงไปแต่เช้าตรู่ ทว่ากลัวท่านอาและท่านย่าขบขันจึงหลบอยู่แถวนั้นมิได้เข้าไป พอพี่สะใภ้คลอดแล้วทุกคนไปพักผ่อน ข้าจึงเดินอ้อมจากด้านหลังไปที่เรือน ขณะเดินผ่านห้องหนึ่งในเรือนปีกข้างกลับบังเอิญได้ยินเสียงคนคุยกัน พวกเขาเอ่ยถึงท่านกับพี่สะใภ้ ข้าจึงอดหยุดฟังมิได้”
“เจ้าได้ยินอันใด” หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง
เขารู้ว่าหากเป็นเรื่องธรรมดา หลัวจือเจินย่อมไม่มีทางหาโอกาสมาคุยกับเขาเช่นนี้
หลัวจือเจินกัดริมฝีปากตนก่อนเอ่ยว่า “ข้าได้ยินฮูหยินสกุลหลี่บอกให้พี่เจินปิงเอาอกเอาใจท่านย่า เพื่อที่จะ…”
เอ่ยถึงตรงนี้ความโกรธก็ประทุขึ้นบนหน้านาง “นางคิดว่าหากพี่สะใภ้ใหญ่เป็นอันใดไปก็จะให้พี่เจินปิงแต่งเข้าเป็นภรรยาใหม่ท่าน!”
“หา? นางพูดเช่นนั้นจริงหรือ” ใจหลัวเทียนเฉิงแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ยังคงอดกลั้นไว้มิเผยอันใดออกมาต่อหน้าหลัวจือเจิน น้ำเสียงนั่นเย็นเยียบไร้ความอ่อนโยนใดๆ ทั้งสิ้น
หลัวจือเจินรีบพยักหน้า “นางพูดเช่นนี้จริงๆ แต่พี่เจินปิงปฏิเสธ แม้ข้าฟังแล้วจะโมโหยิ่งแต่คิดว่าฮูหยินสกุลหลี่ก็เป็นเพียงคนบ้าที่ฝันกลางวันเท่านั้นจึงมิได้สนใจ แต่เมื่อกลับมาคิดดูเห็นว่านางมักมาที่จวนเราอยู่บ่อยครั้งจนเป็นแขกประจำไปแล้ว หากภายหลังนางทำเรื่องที่เป็นภัยต่อพี่สะใภ้จะทำฉันใดเล่า สุดท้ายจึงอดมาบอกแก่พี่ใหญ่มิได้ พี่ใหญ่ไม่รังเกียจว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องก็พอแล้ว”
“ไม่เลย น้องสาม เจ้าทำดีมาก ดึกแล้ว พี่ใหญ่จะไปส่งเจ้ากลับเรือนก่อน”
เมื่อส่งหลัวจือเจินเสร็จแล้ว หลัวเทียนเฉิงก็กลับเรือนชิงเฟิงด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ครั้นเห็นเจินเมี่ยวจึงเผยรอยยิ้มออกมาทันใดคล้ายมิเคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
เวลานี้เองกลับมีคนผู้หนึ่งในจวนเจี้ยนอานปั๋วที่นอนไม่หลับ
“คุณหนู ร้อนหรือเจ้าคะ บ่าวจะไปเอากระถางน้ำแข็งมาวางเพิ่มอีกเจ้าค่ะ”
เจินปิงลุกขึ้นนั่ง “ไม่ต้อง ข้าออกไปเดินรับลมสักหน่อยแล้วกัน”
นางผลักประตูออกไป สาวใช้ที่เดิมตามด้านหลังคอยถือโคมไฟให้ นายบ่ายค่อยๆ เดินไปด้านหน้า เมื่อเห็นม้านั่งหิน เจินปิงก็นั่งลง
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังคิดในใจว่าคุณหนูคล้ายมีเรื่องกลุ้มใจยิ่ง แม้ปกติจะนิ่งขรึมแต่มิได้ดูกังวลทำอันใดไม่ถูกเช่นวันนี้
เจินปิงมีเรื่องกลุ้มใจจริงๆ
นางนั่งรถม้าที่จ้างไว้ออกจากจวนเจิ้นกั๋วกง ผู้ใดจะคาดคิดว่าคนขับรถม้านั้นเป็นมือใหม่ ขณะกำลังเลี้ยวรถม้าจึงเหยียบก้อนหินเข้าจนเกือบชนกับคนที่ขี่ม้ามา คนขับรถม้าหักหลบอย่างรวดเร็วทำให้นางกระเด็นออกมาจากรถม้า โชคดีที่คนขี่ม้ามาผู้นั้นควบม้าให้วิ่งไปรับนางไว้จึงรอดชีวิตมาได้
คิดถึงคนผู้นั้นแล้วหน้าเจินปิงก็เห่อร้อนขึ้นมา
คนผู้นั้นช่างใจกล้านัก กลางวันแสกๆ ยังกล้าอุ้มนาง แม้ตอนนั้นคนที่เห็นจะมีไม่มากแต่ชื่อเสียงก็คงต้องเสียหายอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งยังเอ่ยปากเชิญนางไปนั่งที่โรงน้ำชาและนางก็รับปากไปประหนึ่งภูตบอกเทพสั่ง
แต่คำพูดหลังจากนั้นของเขากลับยิ่งทำให้นางตกตะลึงอ้าปากค้าง
เขาถามว่า “แม่นาง เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ข้าทำทันคิดถี่ถ้วนทำให้แม่นางต้องเสียชื่อเสียง ข้าจึงอยากถามให้ชัดเจนว่าหากบุรุษมิเอ่ยเรื่องแต่งงาน เจ้าจะคิดฆ่าตัวตายหรือไม่ จะยังออกเรือนหรือไม่”
ตอนนั้นนางได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอึ้งงัน
เห็นชัดว่าบุรุษโล่งใจอย่างยิ่ง
เมื่อนางมีสติคืนมาและกำลังโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ เขากลับเอ่ยเล่าถึงฐานะอันกระอักกระอ่วนของตนออกมา สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “เรื่องของข้าก็เป็นเช่นนี้ แม่นางกลับไปใคร่ครวญสักสองวัน หากไม่ถือสาก็ให้ส่งของชิ้นนี้ไปที่จวนหย่วนเวยโหว ข้าจะให้คนมาสู่ขอ แต่หากสองวันให้หลังข้ามิเห็นของสิ่งนี้แสดงว่าแม่นางไม่ต้องการให้ข้ารับผิดชอบ เรื่องนี้ถือว่าจบไป”
ใต้แสงจันทร์อันนวลผ่อง เจินปิงลูบไล้มุมปากตนคราหนึ่ง มุมปากนั้นกำลังหยักโค้งขึ้น
นางคิดในใจว่าจะถือสาได้อย่างไร ไม่ว่าเป็นบุตรภรรยาเอกหรืออนุ ร่ำรวยหรือจน เขากับนางก็ต่างเป็นคนดี มิเคยทำผิดอันใดทั้งสิ้น
ไม่แน่ว่าภายหน้านางอาจจะมีความสุขเช่นเดียวกับพี่สี่ก็ได้
[1] เหม่ยเหรินเจียว ในภาษาไทยคือดอกพุทธรักษา