เจินเมี่ยวหน้าซีด เหงื่อซึมออกมาไม่ขาดสาย “ข้า…ข้าปวดท้อง อาจ…เพราะกินองุ่นมากเกินไป…”
หญิงรับใช้ที่ตามติดอยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นกลับตะโกนขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ น้ำคร่ำท่านแตกแล้วเจ้าค่ะ!”
“น้ำคร่ำแตกหรือ” เจินเมี่ยวรู้สึกถึงความร้อนวูบที่ไหลผ่านขาตนไป หน้านางซีดยิ่ง “ข้า ข้ามิได้จะคลอดอีกครึ่งเดือนข้างหน้าหรือ”
“ฮือ ท่านหมอเคยบอกว่าท่านตั้งครรภ์แฝด อาจจะคลอดก่อนกำหนดก็ได้อย่างไรเจ้าค่ะ!”
โชคดีที่ในช่วงเวลาไม่ปกติเช่นนี้ เจินเมี่ยวมาเดินในสวน หญิงรับใช้ทั้งหลายก็ตามกันมาเป็นกระพรวน เมื่อหญิงรับใช้ร้องขึ้นเช่นนี้ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นทันที ชิงไต้ก้มตัวลงอุ้มเจินเมี่ยวแล้วเดินอย่างมั่นคงดุจบินได้ไปที่เรือนชิงเฟิง
“แม่นางชิงไต้ เราต้องพาต้าไหน่ไหน่ไปที่ห้องทำคลอด!” หญิงรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งตามหลังมา
เชวี่ยเอ๋อร์ที่คอยถือพัดฉังเอ๋อร์โบยบินไปดวงจันทร์โบกวีให้เจินเมี่ยวอยู่ก็ทิ้งมันลงพื้นทันที แล้ววิ่งตามไปทันที แม้เท้าเหยียบพัดก็ไม่แม้แต่จะไยดี
ไป๋เสาและคนอื่นๆ ก็วิ่งตามรวดเร็วดุจลมหอบหนึ่งผ่านร่างเจินปิงไป
เจินปิงได้ยินเพียงเสียลมที่ดังอยู่ในหู นางยืนอึ้งงันอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่จึงมีสติคืนมา แล้วรีบวิ่งตามไป
ข่าวการคลอดก่อนกำหนดของเจินเมี่ยวกระจายไปทั่วทุกมุมของจวนกั๋วกง คนกลุ่มหนึ่งต่างแห่กันมาที่เรือนชิงเฟิงทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยสั่งการเรื่องมากมายในคราวเดียว แล้วร้องเสียงสูงทิ้งท้ายว่า “ไปตามซื่อจื่อกลับมาเดี๋ยวนี้!”
วันนี้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ตลอด แต่กลับหาสาเหตุมิได้ เขาเป็นเช่นนี้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ลุกขึ้นคิดจะกลับจวนไปดูสักหน่อยอย่างมิอาจอดกลั้นได้แล้ว
คิดไม่ถึงว่ายังมิทันพ้นประตูศาลาว่าการก็ได้รับสัญญาณลับจากองค์ชายหกให้ไปพบกันที่เรือนหลังหนึ่ง
เขาจำต้องกำชับกับองครักษ์ลับว่า “หากที่จวนส่งคนมาหาให้รีบแจ้งข้าทันที”
เมื่อเสียงกระดิ่งทองดังขึ้น หญิงสาวนามซู่ซู่ก็ยกชาเข้ามา แล้วก้มหน้าถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง
องค์ชายหกมองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าออกไปก่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ” ซู่ซู่ก้มหน้าพลางถอยออกไป คนนั้นเดินไปไกลแล้วแต่คล้ายยังได้ยินเสียงกระดิ่งอันกังวานนั้นอยู่เลย
องค์ชายหกยิ้ม “ว่าไปแล้ว ซู่ซู่ก็เป็นคนงามที่หาได้ยากยิ่ง จยาหมิงมิใช่ตั้งครรภ์อยู่หรือ ข้ายกนางให้เจ้าดีหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงกระตุกมุมปากขึ้น “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ แต่ของของพระองค์ หม่อมฉันย่อมไม่สมควรครอบครอง”
องค์ชายหกหัวเราะชอบใจ “จิ่นหมิง ที่แท้เรื่องที่เจ้าบอกว่ากลัวภรรยานั้นเป็นเรื่องจริงหรือ แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้จยาหมิงมิอาจปรนนิบัติเจ้า หากต้องการก็ใช้ไปก่อน นางกลับมาแล้วค่อยทิ้ง เจ้าจำเป็นต้องระแวดระวังถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“พระองค์เย้าหม่อมฉันเล่นอีกแล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
ผู้ใดเย้าเจ้าเล่นกัน องค์ชายหกบิดมุมปากยกขึ้น เมื่อเห็นเขาไม่สนใจจริงๆ จึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องสำคัญแทน “ระยะนี้ข้าว่าซิ่วอ๋องคงไม่อยู่นิ่งๆ แน่ ดูเขาจะไม่พอใจที่ข้ากับกุ้ยอ๋องได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนจึงขึ้นยืนขามาขัด จิ่นหมิง เจ้าเคยบอกว่าซิ่วอ๋องเป็นคนไม่รอบคอบ สักวันเราจะได้หลักฐานมาไว้ในมือ ไม่ทราบว่าเรื่องนั้นคืออันใดหรือ”
หนังตาหลัวเทียนเฉิงกระตุกขึ้นมา เขาข่มความวุ่นวายใจไว้แล้วเอ่ยออกมาว่า “ตัดแขนเสื้อ[1]!”
องค์ชายหกลุกขึ้นทันที เพราะลุกขึ้นเร็วเกินไป ชายแขนเสื้อจึงสะบัดไปชนถ้วยชาที่วางบนโต๊ะ ถ้วยชากลิ้งหล่นตกพื้นแตกกระจายเสียงดังเพล้ง
ซู่ซู่เดินเข้ามาทันที “ท่านอ๋อง…”
“ออกไป!” องค์ชายหกเอ่ยตำหนิด้วยใบหน้านิ่ง
ซู่ซู่ถอยออกไปเงียบๆ
สายตาองค์ชายหกจ้องหลัวเทียนเฉิงนิ่งทั้งกุมมือเขาไว้ด้วยความตื่นตกใจ “จิ่นหมิง เจ้าพูดจริงหรือ”
หลัวเทียนเฉิงดึงมือกลับแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “พระองค์ ทำเช่นนี้ หม่อมฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าคนส่งข่าวอาจจำผิดคน”
องค์ชายหกอึ้งไป แล้วพลันเข้าใจขึ้นมาจึงใช้ชกอกเขาคราหนึ่ง “เจ้านี่ เรื่องเช่นนี้เจ้ายังกล้าเอามาเย้าข้าหรือ!”
เขาข่มความอยากรู้ของตนไว้แล้วถามว่า “ข่าวนี้จริงหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มบาง “ข่าวของหม่อมฉันเคยผิดพลาดด้วยหรือ”
เดิมเรื่องซิ่วอ๋องเป็นชายตัดแขนเสื้อนั้นจะถูกเปิดเผยในอีกสองปีข้างหน้าซึ่งเป็นปีที่เจียงเหยียนเพิ่งสอบจอหงวนได้หนึ่งปีพอดี
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ทุกอย่างก็ง่าย มิน่าเล่าพี่สะใภ้สี่ของข้าถึงยังมิตั้งครรภ์เสียที”
ความจริงผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายจะมีเลี้ยงเด็กชายไว้สักคนก็มินับเป็นอันใด หลังจากนั่งบัลลังก์มังกรแล้ว หากชมชอบเช่นนี้จริงๆ แค่ทำเงียบๆ ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งวุ่นวาย แต่องค์ชายนั้นไม่เหมือนกัน ในบรรดาองค์ชายที่มากความสามารถเช่นเดียวกัน ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดโปงย่อมมิใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน
“ดูท่า เสด็จพี่สี่ของข้าคงมิได้ไม่ไยดีในราชบัลลังก์ อยากเป็นเพียงอ๋องเจ้าสำราญผู้หนึ่งอย่างเช่นที่แสดงออกแล้ว”
หากเขาไม่อยากเข้ามาสู่วังวนการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทจริงคงมิปิดเรื่อง ‘ตัดแขนเสื้อ’ เป็นความลับเช่นนี้แน่
“แต่หม่อมฉันคิดว่าอย่าเพิ่งเปิดโปงเรื่องของซิ่วอ๋องในเวลานี้เป็นการดีที่สุด”
“เอ๊ะ?”
“ยามนี้พระองค์กับกุ้ยอ๋องต่างเป็นผู้สำเร็จราชการแทน ความจริงหากพูดถึงอำนาจแล้ว กุ้ยอ๋องยังชนะอยู่สองสามส่วน หากมีซิ่วอ๋องเข้ามาร่วมด้วย…กระถางสามขาย่อมช่วยลดแรงกดได้มากกว่า”
องค์ชายหกฟังแล้วก็ยิ้มออกมา “เจ้าพูดถูก อย่างไรเสียเราก็สามารถเปิดโปงความลับนี้ของซิ่วอ๋องเมื่อใดก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้หากเปิดโปงออกไปก่อนคงน่าเสียดายไม่น้อย”
เขายกชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง “ใช่แล้ว เรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูที่เจ้าพูดคราก่อนคิดว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังอีกแน่ ตอนนี้สืบไปถึงไหนแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงจ้องมือขององค์ชายหกแล้วเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
แย่แล้ว เขารู้สึกใจคอไม่ดีมาตั้งแต่เช้าคล้ายจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น หรือมันจะเกิดขึ้นที่นี่
เหตุใดเขาจึงไม่รู้เลยว่าเฉินอ๋องเองก็มีความชอบเช่นเดียวกับพี่ชาย!
“มองอันใดเล่า วันนี้เจ้าดูแปลกไป…” องค์ชายหกก้มลงมองถ้วยชาในมือตามสายตาของหลัวเทียนเฉิง
เขารู้สึกมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อกวาดตามองน้ำชาที่หกเต็มโต๊ะก็เข้าใจทันที
ถ้วยชาของเขาถูกชนคว่ำไปแล้วมิใช่หรือ!
องค์ชายหกก้มมองถ้วยชาในมือตนด้วยท่าทีแข็งทื่อ
“ถ้วยชานี้มาจากไหนกัน” เขาไม่เห็นจำได้ว่าซู่ซู่ยกชามาให้ใหม่
“หากบอกว่ามันเป็นของหม่อมฉันเล่า…”
“อ้วก…” องค์ชายหกหันหน้าไปอาเจียนออกมา
หลัวเทียนเฉิงจึงโล่งอกลงได้
รู้จักอาเจียนออกมาก็ดีแล้ว หากยังดื่มต่อไป เกรงว่าเขาคงต้องหวาดกลัวจนหนีกลับจวนแน่แล้ว
เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น
“ท่านอ๋อง ด้านนอกมีคนมาหาหลัวซื่อจื่อเจ้าค่ะ”
องค์ชายหกสบตากับหลัวเทียนเฉิง
หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วลุกขึ้น “เกรงว่าคงเกิดเรื่องที่จวนแล้ว หม่อมฉันคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
“เรื่องอันใดให้เขาเข้ามาก่อนเถิด หากไม่สำคัญก็รอก่อน ข้ายังมีเรื่องจะหารือกับเจ้าอีกสักหน่อย”
องครักษ์ลับรีบเข้ามาด้านใน เมื่อทำความเคารพแล้วก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “นายท่าน ต้าไหน่ไหน่จะคลอดแล้วขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงถึงกับอึ้งไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตื่นจากภวังค์คล้ายหุ่นกระบอกที่ถูกสาปกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แล้ววิ่งออกไปทันที
ทิ้งไว้เพียงองค์ชายหกอึ้งงันไปเช่นกัน ครู่ใหญ่เขาจึงกลับจวนตนไปเช่นกัน
“ท่านอ๋องเหนื่อยมากใช่หรือไม่ หม่อมฉันสั่งให้คนทำน้ำแกงสายบัวไว้ เก็บมาจากใต้น้ำแข็งเลยทีเดียว ให้ยกมาให้หรือไม่” เจินจิ้งเห็นองค์ชายหกเข้ามาในห้องก็อดเลิกคิ้วขึ้นมิได้
หลังจากจ้าวเฟยชุ่ยแต่งเข้ามา นางต้องทนทรมานไม่น้อย มิต้องพูดอื่นใด แค่ทุกวันที่ต้องไปน้อมทักทายก็มักจะถูกกลั่นแกล้งเสมอ โชคดีที่ท้องของนางเก่งกาจ หลังจากมีเจินเจิน ไม่นานนางก็มีบุตรชายคนแรกให้ท่านอ๋อง ยามนี้ครึ่งปีแล้ว
ตอนนี้นางมีทั้งบุตรชายและบุตรสาว ต่อให้ท่านอ๋องจะมิอาจแสดงความโปรดปรานต่อนางอย่างออกหน้าออกตาตามธรรมเนียมที่มี แต่บ่าวไพร่ในจวนต่างฉลาดทั้งสิ้น นอกจากยามอยู่ต่อหน้าพระชายาแล้ว ชีวิตของนางก็ดีอย่างที่มิจำเป็นต้องเอ่ยถึงเลย
จ้าวเฟยชุ่ยมีอำนาจบารมีแล้วอย่างไร จนถึงตอนนี้ยังไม่มีแม้บุตร ไม่คิดก็ยังรู้ว่าสุดท้ายแล้วนางก็มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น!
“ไม่ดีกว่า” องค์ชายหกสะบัดมือ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “จิ้งเหนียง เหตุใดสตรีจึงคลอดก่อนกำหนดเล่า”
“ไหนเลยจะบอกได้ แต่แปดเก้าส่วนในสิบส่วนจะเป็นเพราะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง”
“เช่นนั้นจะมิอันตรายหรอกหรือ”
เมื่อเห็นสายตาแปลกใจของเจินจิ้ง องค์ชายหกจึงยิ้ม “ข้าแค่ถามไปเช่นนั้นเอง”
เวลานี้กลับมีเสียงร้องไห้ดังขึ้น เจินจิ้งหน้าเปลี่ยนสีไปทันที นางรีบเอ่ยว่า “ผิงเกอร้องไห้แล้ว หม่อมฉันขอไปดูก่อน”
นางรีบเดินเข้าไปในห้องด้านข้าง หลังจากนั้นเสียงตำหนิก็ดังตามมา “เจินเจิน เหตุใดเจ้าจึงหยิกแก้มผิงเกอ!”
ตอนที่องค์ชายหกเดินเข้ามาก็เห็นเจินจิ้งตีเจินเจินไปแล้วครั้งหนึ่ง
เจินเจินคล้ายหวาดกลัวเจินจิ้งจึงมิกล้าร้องไห้ เมื่อเห็นองค์ชายหกก็หันไปมองเขาน้ำตาคลอ
องค์ชายหกโมโหดั่งไฟสุมทรวง เขาเดินเข้าไปอุ้มเจินเจิน แล้วมองเจินจิ้งด้วยสายตาเย็นชา
“ท่านอ๋อง…” เจินจิ้งยิ้มขัดเขิน “เจินเจินช่างดื้อเหลือเกิน นางชอบหยิกแก้มผิงเกอ ผิงเกอยังเด็กนัก ผิวบอบบาง…”
“พอแล้ว!” ริมฝีปากบางขององค์ชายหกเม้มเข้าหากัน “ผิงเกอเป็นเด็กผู้ชาย จะทะนุถนอมไปเพียงนั้นเพื่ออันใด เจินเจินยังไม่ถึงสามปี เหตุใดเจ้าผู้เป็นมารดาถึงทำเพียงนี้ หากเจ้าทนดูไม่ได้ก็ให้เจินเจินไปอยู่กับหรุ่ยเอ๋อร์ ให้พวกนางพี่น้องเล่นเป็นเพื่อนกัน!”
“ท่านอ๋อง!” เจินจิ้งมีสีหน้าตกใจขึ้นมา
องค์ชายหกมองนางด้วยสายตาเย็นชาแล้วอุ้มเจินเจินเดินออกไป
เจินจิ้งรีบตามไปทันที “ท่านอ๋อง หม่อมฉันใจร้อนเกินไปจึงได้ตีเจินเจิน หม่อมฉันเป็นมารดาแท้ๆ ของนาง มีหรือจะไม่รักนาง”
องค์ชายหกจึงหยุดฝีเท้า แล้วกวาดตามองเจินจิ้งอย่างสงบคราหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “ห้ามมีครั้งต่อไปอีก”
เจินจิ้งพลันตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ชั่วขณะนั้นนางรู้สึกว่า สายตาที่องค์ชายหกมองนางเย็นชาเสียจนไม่มีความรู้สึกใดๆ เลย แต่พริบตาก็เห็นเขาเอ่ยกับเจินเจินด้วยท่าทีอ่อนโยนคล้ายเรื่องทั้งหมดเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น
เมื่อเจินจิ้งสงบสติลงได้
นางคงคิดมากไป ท่านอ๋องก็มีอุปนิสัยเช่นนี้เองมิใช่หรือ ท่าทีที่เขามีต่อจ้าวเฟยชุ่ยต่างหากที่เรียกว่าเย็นชา
“เดี๋ยวหม่อมฉันจะให้คนมาจัดโต๊ะดีหรือไม่”
องค์ชายหกพยักหน้า
เจินจิ้งจึงโล่งอกลงได้ นางเดินไปห้องด้านข้างเรียกให้คนมาจัดโต๊ะ เมื่อหันไปอีกคราก็เห็นองค์ชายหกยื่นมือไปบีบจมูกเจินเจิน เจินเจินผลักมือเขาออกแล้วหัวเราะคิกคัก
ดวงตาดำโตดุจลูกองุ่นของผิงเกอมองไปด้วยความสงสัย
นางพลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นในใจแต่กลับมิกล้าไปขบคิดอย่างละเอียด ได้แต่สลัดศีรษะตนแล้วเดินออกไป
กลัวเทียนเฉิงเร่งรุดกลับจวนอย่างคนบ้า เมื่อถึงก็พุ่งตรงไปที่ห้องคลอดทันที
“ท่านย่า เจี๋ยวเจี่ยวเป็นอย่างไรบ้าง”
“เพิ่งน้ำคร่ำแตกไม่นานนี้เอง ดีที่หมอตำแยกับหมอหญิงต่างก็อยู่ด้านในแล้ว ส่วนท่านหมออีกคนก็รออยู่ห้องด้านข้าง รออีกสักหน่อยแล้วกัน”
การรอสักหน่อยครั้งนี้ล่วงเลยไปถึงรุ่งเช้าของวันถัดมา มีเพียงกระโถนเลือดที่ถูกยกออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงร้องเจ็บปวดภายในห้องค่อยๆ อ่อนแรงลง แต่กลับมิได้ยินเสียงทารกเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าลืมตาขึ้นแต่เช้าก็มาที่ห้องคลอดทันที เมื่อเห็นหลัววเทียนเฉิงยังคงยืนอยู่หน้าประตูก็อดถามมิได้ว่า “ต้าหลัง เจ้ามิได้นอนทั้งคืนเลยหรือ”
หลัวเทียนเฉิงมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยอารมณ์หวาดหวั่น “ท่านย่า เหตุใดยังไม่คลอดอีก เจี๋ยวเจี่ยวจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
[1] ตัดแขนเสื้อ ในภาษาจีนคือ 断袖 (ต้วนซิ่ว) เป็นสำนวนที่ใช้เรียกชายรักชาย