แม้ไม่ได้ถูกถลกหนังชั้นหนึ่งจริงๆ แต่ความเจ็บปวดไม่เป็นรองเช่นนี้ ร่างคนที่อยู่บนเตียงสะท้านรุนแรง สองมือที่วางอยู่บนเตียงไม้กระดานก็พลันกำแน่น
แต่เขายังคงหันเข้าด้านใน ไม่มีเสียงครางสักนิด
“จูจั้น ใยเจ้าต้องทำเช่นนี้เล่า?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
เมื่อคนพูดเดินจากเงามืดเข้ามาใต้แสงคบไฟ หลังร่างเขายังมีตาแก่รูปร่างหลังค่อมคนหนึ่งตามมา ในมือตาแก่คนนั้นยกถ้วยยาใบหนึ่ง
กลิ่นยาที่ถูกกลิ่นเน่าเหม็นกลบส่งออกมาจากตรงนี้
คำพูดนี้ออกจาปากเขา คนบนเตียงไม้กระดานก็หันหน้ามา
“พุทราน้อยลู่ ตัวต่ำช้าตัวนี้อย่างเจ้าก็คู่ควรเรียกชื่อข้ารึ?” จูจั้นเอ่ย “ดูท่าหลายปีมานี้ไม่ได้อัดเจ้า ความทรงจำเจ้าจะไม่ดีแล้ว”
องครักษ์เสื้อแพรสองด้านสีหน้าโกรธแค้นจะเข้าไป ลู่อวิ๋นฉียกมือห้าม ใต้คบเพลิงที่เต้นระริกใบหน้าของเขาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ยังคงนิ่งสนิทไม่มีสีหน้าสักนิด
“ท่านชาย ที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องสังหารหวงจื่อชิง” เขาเอ่ย “ต่อให้เขากล่าวโทษพวกเจ้าพ่อลูก ฮ่องเต้ก็ไม่แน่ว่าจะทรงเชื่อ”
จูจั้นเงยหน้ามองเขา พลางยิ้ม
“เจ้าสอบสวนคดีบีบให้สารภาพใส่ความเช่นนี้รึ?” เขาเอ่ย “แค่ระดับอย่างเจ้า หากไม่ใช่ขายหัวใจดีงามไป องครักษ์เสื้อแพรนี่ไหนเลยจะผลัดถึงเจ้าอวดศักดา”
คำพูดนี้ทำให้องครักษ์เสื้อแพรสองคนยิ่งโมโห แต่เห็นลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ส่งสัญญาณ นอกจากนี้แววตาหม่นวูบหนึ่ง ราวกับคิดถึงอะไรเพราะคำพูดของจูจั้น
คำพูดนี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่
ปกติคนที่เข้าคุกหลวงมาส่วนใหญ่ล้วนอ้าปากด่าใหญ่โตเช่นนี้ บ้างก็เอ่ยวาจาเสียดสี
หากลู่อวิ๋นฉีใส่ใจเพราะด่าไม่กี่ประโยค นั่นก็ไม่มีทางอยู่มาถึงตอนนี้แล้ว
หรือเพราะคนด่าคือจูจั้น?
ประการแรกคือฐานะบุตรชายเฉิงกั๋วกง ประการที่สองเล่ากันว่าตอนแรกลู่อวิ๋นฉีถูกจัดสรรไปจูงม้าให้บุตรชายเฉิงกั๋วกงที่มาเมืองหลวง
บางทีในอดีตมีความแค้นสั่งสม? หรือบางทีคิดถึงความต่ำต้อยยามเป็นบ่าวรับใช้ของผู้อื่นขึ้นมา?
ประสบการณ์วัยเด็กวัยเยาว์ของคนมักจะส่งผลกับอารมณ์ทั้งชีวิต สำหรับจุดนี้ในฐานะเหล่าองครักษ์เสื้อแพรผู้เชี่ยวชาญการสอบปากคำบีบให้สารภาพที่สุด รู้ชัดที่สุดไม่มีใครเกิน
พวกเขาก็ถนัดใช้จุดนี้มาจัดการกับคนที่ตกอยู่ในมือพวกเขายิ่งนัก
ลู่อวิ๋นฉีคงไม่ถึงกับง่ายดายขนาดนี้ก็ถูกทิ่มทะลุจุดอ่อนนี้แล้วกระมัง?
ระหว่างที่ตกตะลึงแววตาของลู่อวิ๋นฉีก็ฟื้นกลับมาปกติ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็พยายามเข้าหน่อย อย่าให้ท่านชายดูถูกได้” เขาเอ่ยนิ่งๆ พูดจบก็หมุนตัวก้าวเดินหายลับไปกับความมืด
องครักษ์เสื้อแพรสองคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที สำหรับพวกเขาแล้วการสอบปากคำนักโทษกลายเป็นงานอดิเรกไปแล้ว ก็เหมือนนักพนันเหล่านั้นเมื่อได้ยินเสียงลูกเต๋าดังก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ส่วนผู้ที่ถูกสอบปากคำเป็นใคร พวกเขาไม่สนใจสักนิด ขอเพียงถูกโยนเข้ามาในคุกหลวงแห่งนี้ ขอเพียงลู่อวิ๋นฉีสั่ง องค์ชายองค์หญิงก็เหมือนกัน
มองดูสองคนยื่นมือหิ้วจูจั้นบนเตียงไม้กระดานขึ้นมา ตาแก่หลังค่อมที่ตามลู่อวิ๋นฉีเข้ามาเงียบเชียบประหนึ่งเงามาตลอดก็ก้าวเข้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“อย่าเพิ่งรีบร้อน อย่าเพิ่งรีบร้อน” เสียงเขาสากแหบแห้ง “ท่านชายยังไม่ได้ทายาเลยนะ”
“ตาเฒ่าผี เจ้าจะต้องทายาอะไรอีก?” องครักษ์เสื้อแพรสองคนเอ่ย ท่าทางไม่พอใจที่ถูกขัดความสนุก
ตาแก่ที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าผีหัวเราะคึกคึกอย่างเปิดเผย ยกถ้วยยาในมือก้าวเข้ามาข้างหน้า มองดูจูจั้นที่อยู่บนไม้กระดาน แสงคบไฟส่องบาดแผลที่เขาถูกโบยตี
บนหน้าของตาเฒ่าผีก็ผุดความตื่นเต้นและยินดีขึ้นมาบ้าง ประหนึ่งมองเห็นเรือนร่างงามของหญิงงามอันดับหนึ่งของหอคณิกาทอดกายอยู่เบื้องหน้า
“วิธีลงโทษของเหล่าขันทีในวังนี่ยิ่งร้ายกาจขึ้นทุกทีแล้ว” เขาเอ่ย “ดูสิบาดแผลงดงามนัก”
เขาพูดพลางยื่นมือกดลงไป นวดสองทีท่ามกลางเลือดเนื้อปนเปประหนึ่งเด็กน้อยเล่นดินโคลน
ร่างกายของจูจั้นสั่นนิดหนึ่ง แต่ยังคงไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“บัดซบ” เขาเอ่ย ขมวดคิ้วมองตาเฒ่าผีผู้นี้ “น่าส่งเจ้าไปเจิ้นเป่ยจริงๆ ให้เจ้าเล่นให้พอ”
ตาเฒ่าผีหัวเราะหึหึแล้ว ยกมือขึ้นมา บนมือเต็มไปด้วยรอยเลือด
“ท่านชาย ท่านอย่าด่าข้า” เขาเอย “ข้าจะมารักษาแผลให้ท่าน ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ใช่คนเลวอย่างพวกเขาหรอก”
เขาพูดพลางก็หัวเราะคึกคึกอีกครั้ง เผยฟันหลอในปากออกมา
“ข้าเป็นหมอคนหนึ่ง”
“ข้าตรวจรักษาให้เฉพาะคนที่ถูกลงทัณฑ์ ไม่ให้พวกท่านทนการลงทัณฑ์ไม่ไหวตายไป”
เขาพูดชี้องครักษ์เสื้อแพรสองคนด้านข้าง
“พวกเขามีร้อยวิธีทำให้คนตายไป ส่วนข้ามีร้อยวิธีทำให้คนตายไม่ได้”
เขายิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น
“ได้ยินว่าคุณหนูจวินคนนั้นตัดสินเป็นตายปลุกตายกลับเป็นได้ ข้าคนนี้ก็นับว่าเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่?”
ประโยคนี้เอ่ยออกจากปาก ไม่รอจูจั้นเอ่ยอะไร องครักษ์เสื้อแพรสองคนด้านข้างหน้าทะมึนตวาด
“ตาเฒ่าผี ทำงานของเจ้าไป พูดให้น้อยๆ หน่อย” พวกเขาตวาดเอ่ย “คุณหนูจวินเป็นคนที่เจ้าเอ่ยถึงได้รึ”
ตาเฒ่าผีคนนั้นเห็นชัดว่าก็รู้สึกตัวว่าเสียกิริยาเช่นกัน บนใบหน้าที่เดิมทีดีอกดีใจผุดความวิตกกับความหวาดผวาอยู่บ้าง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เขาพึมพำประโยคหนึ่ง “ข้านี่ก็ไม่ใช่ไม่เคารพ เคารพเลื่อมใสคุณหนูจวินมาก”
พูดพลางยื่นมือควักในถ้วยยากำหนึ่ง ป้ายยาดำปิ๊ดปี๋หลงบนบาดแผลของจูจั้นประหนึ่งฉาบกำแพง
การกระทำนี้ รวมถึงยานี่ทำให้ร่างกายของจูจั้นสั่นระริก มือของเขาคว้าสองข้างของแผ่นกระดานเตียงแน่น กัดฟันแน่น เสียงครางยังคงไม่พุ่งออกจากปาก
“ใช้ยาของข้า พวกเขาก็จะลงโทษเจ้าได้แล้ว ใช้ได้ตามใจ ไม่กลัวเจ้าทนไม่ไหวตาย”
เสียงของตาเฒ่าผีกระซิบจ้ออยู่ในห้องขังคับแคบ คบไฟทอดเงาร่างหลังค่อมของเขาลงบนกำแพง ประหนึ่งต้นไม้แก่กิ่งเฉาส่ายไหวกลางสายลม
…
คุณหนูจวินลุกขึ้นนั่งบนเตียง ท้องฟ้าด้านนอกสว่างสลัวๆ เห็นชัดมากว่ายังไม่ถึงเวลาปกติที่นางตื่น
คงเพราะนางฝัน
เพื่อรับประกันว่าตนเองจะนอนหลับ หลายครั้งก่อนนอนนางจะใช้วิธีการบางอย่าง
วิธีการเหล่านี้ทำให้นางหลับสบายได้ นอกจากนี้จะไม่ฝัน
การฝันเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจคนสับสนที่สุด
แต่ครั้งนี้นางยังคงฝัน
ฝันสั้นนักแล้วก็เรียบง่ายนัก ไม่น่ากลัวแล้วก็ไม่เศร้าใจ
นางฝันถึงเฉิงกั๋วกง เฉิงกั๋วกงยังคงนั่งอยู่ในห้องหนังสือของบิดา ยื่นมือมาหานาง
ที่วางอยู่กลางฝ่ามือคือผลไม้เชื่อมเม็ดหนึ่ง
“เจ้าชอบกินหรือ?” เขายิ้มอ่อนโยนทีหนึ่ง ใบหน้าทั้งดวงเจิดจ้าประหนึ่งแสงตะวัน “เอาไปกินสิ”
นางไม่ทันรับผลไม้เชื่อม คนก็ตกใจตื่น
มองดูภาพทิวทัศน์สีเขียวเข้มปลายฤดูใบไม้ผลินอกหน้าต่าง คุณหนูจวินพรูลมหายใจทีหนึ่ง ลุกขึ้นลงจากเตียง
“เจ้าจะออกไปข้างนอก? จะไปไหน? พักนี้ไม่มีคนมาหาหมอ”
หลังทานอาหารเช้า ได้ยินคำพูดของคุณหนูจวิน ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วเอ่ย
เวลานี้วุ่นวายเช่นนี้ ยังไงอย่าออกไปดีกว่า
“ข้าไม่ได้ไปหาคนตรวจโรค ข้าไปหาจางเป่าถัง” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าอยากรู้ว่าพวกเขาวางแผนจะช่วยจูจั้นอย่างไร”
……………………………………….