“เพราะแม่ทัพเหยาหรือ”
เซียวอู๋ซังตกตะลึงไป “ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าตั้งแต่ท่านกับแม่ทัพเหยาร่วมมือกันขับไล่ศัตรูจนล่าถอยไปหลายครั้ง ก็มีหลายคนรู้สึกว่าท่านทั้งสองช่างเหมาะสมกันดั่งสวรรค์สรรค์สร้าง”
เขาหันไปมองหลัวเทียนเฉิงด้วยสายตาไม่อยากเชื่อคราหนึ่งแล้วถามว่า “เจ้าพวกนั้นปากไร้หูรูดยิ่ง มีหรือจะไม่เคยเอ่ยถึงเลยสักครึ่งคำ”
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าจะเคยพูดถึงเหมือนกัน”
“แล้วท่านยังจะทำพลาดเช่นนี้อีก นี่มิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ”
ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา “ข้าลืม”
เซียวอู๋ซังตบบ่าเขาด้วยความเห็นใจ “ข้ารู้ว่าก่อนหน้านี้ท่านยุ่งมาก จึงมิได้เอาคำพูดล้อเล่นของผู้อื่นมาใส่ใจ แต่ข้าจะบอกให้…สตรีกับบุรุษเช่นเรานั้นต่างกัน พวกนางคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องพวกนี้ที่สุดเลย”
“ไม่ใช่…” หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นด้วยท่าทีประหม่า “ข้าลืม…ว่าแม่ทัพเหยาเป็นสตรี…”
เซียวอู๋ซังเกือบทำไก่ย่างตกแม่น้ำด้วยซ้ำ เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “แม่ทัพหลัว ความคิดนี้ แม่ทัพเหยาทราบหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงมองเขาอย่างแปลกใจคราหนึ่ง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อีกอย่าง แม่ทัพเหยาจะรู้หรือไม่มันก็มิเกี่ยวอันใดกับข้า”
“ดียิ่ง” เซียวอู๋ซังตบหลังหลัวเทียนเฉิงโดยแรงคราหนึ่ง “แม่ทัพหลัว ท่านสามารถมีชีวิตอย่างปลอดภัยมาได้ถึงตอนนี้นั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
“ขอบใจแม่ทัพเซียวมาก วันหลังข้าจะขอเลี้ยงสุราท่านเอง” หลัวเทียนเฉิงแสดงความเคารพแล้วหมุนกายจากไป
ตอนที่เขาเดินเข้าไปในห้อง เจินเมี่ยวกำลังถือบัวรดน้ำ รดน้ำใส่อ่างใบหนึ่งที่วางอยู่ในมุมอับแสง
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าทำอันใดหรือ” หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปเอ่ยเอาใจ
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมองเขา มือก็ยังรดน้ำอยู่ “รดน้ำ”
หลัวเทียนเฉิงก้มลงมองด้วยความแปลกใจ
อ่างรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ภายในมีเมล็ดพันธุ์เบียดกันแน่นไปหมดนั้นมีต้นอ่อนงอกขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
“คืออันใดหรือ”
เจินเมี่ยววางบัวรดน้ำไว้ด้านข้างแล้วหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดมือ นางมิได้ปั้นปึ่งใส่เขาเช่นทุกวัน แต่กลับเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ถั่วลันเตา”
นางยิ้มตาหยีเผยลักยิ้มหวานคู่หนึ่ง “ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ต้นอ่อนนี้ก็จะโตขึ้น เมื่อนั้นข้าจะย้ายไปไว้ในที่แดดส่องถึง หากมันโตจนมีเมล็ดสีเขียวมันวาว ข้าก็จะตัดออกมา แล้วเอาไปผัดใส่น้ำมันกับกระเทียมสักหน่อย คงหอมอร่อยยิ่ง”
วาจานี้ทำให้หลัวเทียนเฉิงอดกลืนน้ำลายมิได้
ควรทราบว่าชิงเป่ยในยามนี้แทบจะมิได้เห็นผักสีเขียวใดเลย แม้แต่ผักกาดขาว หูหลัวปัว[1]ก็ตายไปเกือบหมดแล้วเพราะความเหน็บหนาว
เมื่อคิดถึงถั่วลันเตาผัดกับกระเทียมแล้วก็รู้สึกลุ่มหลงมึนเมายิ่ง
“เจี๋ยวเจี่ยว…” เขาเลียริมฝีปากตนอย่างน่าสงสาร
เจินเมี่ยวยังคงยิ้มแย้ม “ที่น่าเสียดายคือมันคงตัดได้แค่สองสามต้นเท่านั้น ถึงเวลาข้ากับพวกไป๋เสาคงได้เปลี่ยนรสชาติกันบ้าง”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกย่ำแย่ไปทั้งกาย เขาดึงมือเจินเมี่ยวมากุมไว้ “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าโกรธอีกเลย”
เจินเมี่ยวค่อยๆ ดึงมือออกช้าๆ แล้วแค่นยิ้ม “ซื่อจื่อผิดอันใดหรือ”
หลัวเทียนเฉิงเบียดเข้าหานางอย่างไม่ยอมถอดใจ “ข้ารู้แล้วว่าทำผิด เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าให้อภัยข้าเถิด”
เจินเมี่ยวเบี่ยงตัวหลบแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “เช่นนั้นก็พูดมาว่าท่านทำผิดที่ตรงใด”
“ข้า…” วาจาวิ่งมาอยู่ที่ริมฝีปากแล้วแต่หลัวเทียนเฉิงกลับชะงักไป สุดท้ายจึงเอ่ยด้วยใบหูแดงก่ำว่า “ข้าไม่ควรจะลืมว่าแม่ทัพเหยาเป็นสตรี!”
เจินเมี่ยวได้ยินแล้วก็ต้องเบิกตาอ้าปากค้าง นางมองท่าทีเศร้าสร้อยของหลัวเทียนเฉิง พลันรู้สึกหมดแรงด้วยคิดได้ว่าหลายวันที่ผ่านมาตนคล้ายปั้นปึ่งให้คนตาบอดดูมิปาน
“คุณหนูเหยาเก่งกาจมากความสามารถเพียงนั้น ท่านมิเห็นนางอยู่ในสายตาเลยจริงๆ หรือ”
หลัวเทียนเฉิงถูกถามเช่นนี้ก็พูดไม่ออก
“ท่านพูดสิ!” เจินเมี่ยวยื่นมือไปหยิกเขาคราหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงคิดว่าตนรู้ดีว่าควรจะเอ่ยคำหวานเช่นใดออกมาให้เจี๋ยวเจี่ยวเบิกบานใจ เขาสามารถพูดจนแม่ทัพเหยาไร้ตัวตนไปเลยด้วยซ้ำ แต่การพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับใจต่อนางนั้น เขาไม่อยากทำเลยสักนิด การพูดให้คนผู้หนึ่งดูต่ำต้อยก็เช่นกัน มันไม่เกี่ยวว่าชอบหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของมโนธรรมในใจต่างหาก
อาจเพราะยามที่บุรุษต้องเผชิญหน้ากับสตรีที่เขารักก็มักกลายเป็นคนพูดไม่เก่ง อึกๆ อักๆ สุดท้ายจึงได้แต่เงียบงัน
แล้วในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาว่า “อาจพูดได้ว่าข้าเห็นนางอยู่ในสายตาจริง แต่การเห็นนางอยู่ในสายตานั้นเพราะนางเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถยิ่ง มิได้เกี่ยวกับการที่นางเป็นสตรีเลย ในสายตาข้าผู้ที่ต่อสู้กับศัตรูด้วยกันนั้นคือสหายร่วมรบ ต่างทำเพื่อบ้านเมืองด้วยกันทั้งสิ้น ต่อให้เป็นทหารที่ธรรมดาที่สุด แต่หากเขามีความกล้าหาญ ข้าก็ให้ความสำคัญไม่ต่างกัน”
ยามอยู่ในหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน เขาอาจจะเข้มงวดเย็นชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ยามอยู่ในศาลาว่าการอาจจะเฉยชาสงวนท่าทีกับสหายร่วมงาน แต่เมื่ออยู่ในสนามรบ นอกเสียจากกฎอันมิอาจขัดได้ของกองทัพแล้ว เขากลับผ่อนปรนให้กับเหล่าทหารที่อาจจะตายได้ทุกเมื่อเหล่านี้อยู่มาก
เจินเมี่ยวเม้มปากไม่พูดจา
เจ้าคนเหม็นโฉ่นี้ช่างน่าโมโหนัก เขาเอ่ยเช่นนี้กลับทำให้นางรู้สึกว่าตนเป็นคนไร้เหตุผลสิ้นดี
“เจี๋ยวเจี่ยว เลิกโกรธข้าได้หรือไม่ รอให้สงครามที่นี่สงบลง เราก็จะกลับเมืองหลวงด้วยกัน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่เกี่ยวอันใดกับใครแล้ว ข้าเคยบอกเจ้าว่าชีวิตนี้จะมีเพียงเจ้า เจ้าดูเอาเถิดว่าข้าโกหกหรือไม่”
เขาดึงนางเข้ามาซบในอก กดศีรษะของนางไว้ตรงบริเวณหัวใจตน
หัวใจของเขาเต้นอย่างมีพลัง มันเต้นเป็นจังหวะอันหนักแน่นคล้ายวาจาที่เขาเอ่ยในยามนี้ไม่มีผิด
“อีกอย่างแม่ทัพเหยาก็มิได้คิดอันใดฉันชู้สาวกับข้าเลย สตรีโง่งม…เจ้ายังจะมามัวหึงเรื่องเช่นนี้อีกหรือ”
“หืม?” เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นแล้วเลิกคิ้ว
“มีคราหนึ่งที่ไปดื่มสุราร่วมกัน มีคนเย้านางเล่น นางจึงเอ่ยออกมาว่าตนมีคนในดวงใจแล้ว”
แต่องครักษ์ของคุณหนูเหยาพูดออกมาเองแท้ๆ
เจินเมี่ยวเกือบจะเอ่ยถามความสงสัยนี้ออกไปแล้ว แต่นางกลับกลืนมันลงท้องไปเสียก่อน
หากคุณหนูเหยามีคนในดวงใจจริงๆ ก็คงเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นนางคงดูใจแคบเกินไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรซื่อจื่อก็มิได้กล่าวว่านางเสียหน่อย แค็กๆ ใจแคบแล้วอย่างไร
แต่เมื่อคิดดูอย่างละเอียดแล้ว วาจาที่คุณหนูเหยาเอ่ยเมื่อยามถูกคนเย้าแหย่นั้น คงมิอาจสู้วาจาขององครักษ์คนสนิทที่รู้ใจนางเป็นอย่างดีได้แน่
หากคุณหนูเหยาแอบชมชอบซื่อจื่อของนางมาตลอด แต่ซื่อจื่อกลับไม่รู้เลย เช่นนั้นเหตุใดนางต้องพูดเรื่องนี้ออกมาด้วยเล่า
สิ่งที่นางต้องการคือการที่ซื่อจื่อมิหวั่นไหวไปกับผู้อื่นต่างหาก นางมิสนดอกว่าใครจะคิดเช่นไร
ตกดึกคืนนั้นหลัวเทียนเฉิงก็มิต้องไปนอนที่ห้องอื่นอีกแล้ว
คนทั้งสองนอนอยู่บนเตียงคั่งด้วยกัน เสียงลมจากภายนอกพัดเข้ามากระทบบานหน้าต่างฉลุลายไม่หยุด
หน้าต่างที่ปิดทับกระดาษแผ่นหนาภายในห้องนี้ก็ส่งเสียงฮูๆ ไม่หยุด ทำให้คนเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและยิ่งปรารถนาความอบอุ่นข้างกายมากขึ้นไปอีก
หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกไปเกี่ยวมือเจินเมี่ยวไว้ เจินเมี่ยวสะบัดออก แต่เมื่อเห็นว่าสลัดอย่างไรก็ไม่หลุดจึงปล่อยเลยตามเลย
คนทั้งสองจับมือกัน นอนเบียดกันฟังเสียงต่างๆ นอกหน้าต่างอยู่บนเตียงคั่งหลังใหญ่ ภายในห้องยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นไปอีก มีเพียงเสียงลมหายใจที่ดังสอดประสานกันอยู่เท่านั้น
“เจี๋ยวเจี่ยว เล่าให้ข้าฟังทีว่าตั้งแต่ข้าจากเมืองหลวงมามีเรื่องใดเกิดขึ้นบ้าง”
“ก็ไม่มีเรื่องพิเศษอันใด” เจินเมี่ยวจึงเริ่มเล่าให้เขาฟัง
ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แต่หลัวเทียนเฉิงกลับฟังอย่างสนอกสนใจ
เจินเมี่ยวเริ่มจะถ่างตาไว้ไม่ไหวแล้ว เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงกลับปล่อยมือนางแล้วค่อยๆ เลื่อนมันขึ้นมาด้านบน ความเสียวซ่านเล็กๆ เกิดขึ้นตามบริเวณที่เขากวาดมือผ่านไป
ลมหายใจของคนทั้งสองค่อยๆ หอบถี่กระชั้นขึ้น แต่เขากลับเพียงกระชับกอดและจุมพิตนางเท่านั้นมิได้ทำอันใดที่มากไปกว่านี้
เจินเมี่ยวอดลืมตาขึ้นมองมิได้ ในแววตาเต็มไปด้วยคำถาม
หลัวเทียนเฉิงจึงขยับเข้าไปชิดริมหูนางแล้วกระซิบเสียงแผ่วว่า “รอให้พ้นเดือนห้าก่อน ยาเหล่านั้นข้ามิได้นำมาด้วย”
หลังจากเรื่องนั้นเสร็จสิ้นสตรีต้องดื่มน้ำแกงคุมกำเนิด ทว่ามันย่อมส่งผลต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย เขาเคยหาคนทำยาที่ใช้สำหรับบุรุษไว้แล้ว แต่เพราะคิดว่ามารบคงมิได้ใช้จึงเก็บไว้ในจวน แม้ยามนี้เขาจะต้องการมากเพียงใด เขาก็จะไม่ยอมให้ความสุขเพียงชั่วคราวมาทำร้ายเจี๋ยวเจี่ยวให้ผู้คนหัวเราะเยาะนางในภายหลังได้
“ท่านไม่ต้องการหรือ” เมื่อรู้สึกว่าบริเวณนั้นของเขาทิ่มท่อนขาของนางจนเจ็บไปหมด เจินเมี่ยวจึงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเขา
หลัวเทียนเฉิงกลับสูดปากตนแล้วยิ้มขมขื่นออกมา “เจี๋ยวเจี่ยว อย่าดื้อ”
เจินเมี่ยวกลับยื่นมือเข้าไปกอบกุมบริเวณนั้นไว้
หลัวเทียนเฉิงแทบจะแค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาทันที เขาอยากจะผลักนางออกแต่กลับตัดใจมิได้ หากไม่ผลักนางออกก็ไม่รู้ว่าตนที่ทนมานานถึงเพียงนี้จะอดใจไว้ได้ถึงเมื่อใด
เจินเมี่ยวค่อยๆ หน้าแดงระเรื่อขึ้น แต่ถูกความมืดซ่อนกลบไว้จนมิด
“ข้าได้ยินว่า…ทำเช่นนี้ก็ได้เช่นกัน ข้าจะลองดูสักครั้ง…”
นอกเรือนนั้นลมยิ่งโหมพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เมฆหมอกบนฟ้าบดบังจันทราสิ้น ภายในห้องจึงมืดสนิทยิ่งกว่าเดิม มีเพียงความละมุนละไมสายหนึ่งที่ยังคงดำเนินต่อไป
หลังจากที่เจินเมี่ยวสงบจิตใจลงแล้ว กลับมีเหตุให้ได้พบกับคุณหนูเหยา
ทหารของชิงเป่ยสังหารทหารที่ขนส่งเสบียงไปจำนวนหนึ่ง ทั้งยังเผาสิ่งของที่ไม่สามารถนำไปด้วยได้จนเกลี้ยง หลัวเทียนเฉิงจึงนำกองกำลังเข้าไปล้อมไว้ แต่คุณหนูเหยานั้นบาดเจ็บกลับมาหลังจากที่ได้ประมือกับทหารชิงเป่ยอีกกลุ่มหนึ่ง
นอกจากนางแล้วยังมีองครักษ์ประจำตัวนางอีกสองสามคนที่ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน
หลัวเทียนเฉิงยังไม่กลับมา เจี่ยงต้าหย่งแม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรได้ฟังผู้ใต้บังคับบัญชาตนมารายงานก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ไปเชิญจยาหมิงเซี่ยนจู่มา”
เขาเป็นแม่ทัพที่ผ่านสงครามมานับร้อยครั้ง ออกรบมานับสิบปี ทว่าตั้งแต่เกิดการรบกับกองทัพชิงเป่ย เขากลับถูกแม่ทัพที่อายุน้อยกว่าบุตรชายเขาคอยกดศีรษะเอาไว้ จึงอดกลั้นโทสะนี้ไว้ในใจมานานแล้ว
จยาหมิงเซี่ยนจู่ผู้นี้เป็นฮูหยินของแม่ทัพหลัว เป็นสตรีงดงามอ้อนแอ้น แต่ใครให้นางเป็นผู้แทนพระองค์ของหวงโฮ่วเล่า เมื่อมีทหารบาดเจ็บทั้งยังเป็นสตรีอีกด้วย นางก็ต้องไปปลอบใจถามไถ่ซึ่งเป็นหน้าที่โดยมิอาจผลักไสให้ใครได้
เขาอยากจะดูสักหน่อยว่าหากจยาหมิงเซี่ยนจู่เห็นทหารที่เพิ่งออกจาสนามรบ บางคนไร้ขา บางคนไร้แขนแล้วจะตกใจจนเป็นลมไปหรือไม่
หากนางทำตัวไม่เหมาะสม มิเพียงแต่เกียรติการเป็นผู้แทนพระองค์ต้องเสื่อมเสียจนยากจะไปพบหน้าพระบรมวงศานุวงศ์ได้เท่านั้น หลัวเทียนเฉิงเองนั่นแลที่จะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ลองคิดดูว่าหากเหล่าทหารที่ยอมทุ่มเทสละชีวิตตนเห็นฮูหยินแม่ทัพที่มีหน้าที่ไปเยี่ยมเป็นขวัญกำลังใจตกใจจนหมดสติ พวกเขาจะรู้สึกเช่นไรเล่า
แน่นอนว่ามันคงมิร้ายแรงจนทำให้เหล่าทหารเอาใจออกหากจากหลัวเทียนเฉิง แต่ก็มีเรื่องอีกมากมายนักที่มักพังทลายลงเพียงเพราะเหตุผลอันน้อยนิด
เจี่ยงต้าหย่งส่งรองแม่ทัพที่ตนไว้ใจไปเชิญเจินเมี่ยวไปยังที่ที่เหล่าทหารพักรักษาตัวอยู่
อาจเพราะมาเร็วเกินไป จึงพบเข้ากับภาพเหตุการณ์ที่ทหารทั้งหลายกำลังรับการรักษาอยู่ เวลานั้นมีทั้งเลือดที่ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งน่าสยดสยองและเสียงร้องโหยหวนของเหล่าทหาร แม้แต่ทหารเก่าแก่ที่เห็นจนชินแล้วยังอดหดหู่มิได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีสูงศักดิ์แสนบอบบางผู้หนึ่งเลย
รองแม่ทัพมองเจินเมี่ยวคราหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจินเมี่ยวหน้าซีดเผือดดั่งคาด
นางเอ่ยกับหมอที่กำลังรักษาทหารบาดเจ็บผู้หนึ่งด้วยความร้อนใจว่า “เจ้าพันแผลให้เขาแน่นเกินไปแล้ว เช่นนี้อาจทำให้เนื้อตายได้”
——