เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเรื่อยๆ ขึ้นว่า “การแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องยังพิสูจน์ความใจกล้าของข้าได้ไม่พออีกหรือ” หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวคนอื่น การได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับติ้งอ๋องหลังจากโดนหลีอ๋องถอนหมั้น โดยที่นางไม่หาผ้าขาวไปแขวนคอตายให้รู้แล้วรู้รอด ซ้ำยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ สำหรับนางแล้วนั่นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่านางใจกล้าไม่น้อยได้แล้วมิใช่หรือ
“อ๊า…” มีเสียงเด็กร้องดังลอยมาจากที่ไม่ไกลนัก
องค์หญิงฉางเล่ออึ้งไปเล็กน้อยก่อนตะโกนขึ้นมาว่า “เสียงเจินหนิง! ชายาติ้งอ๋อง…”
ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่โบกมือเป็นสัญญาณสองครั้ง องครักษ์ลับสองคนก็ลอบออกจากการต่อสู้ตรงหน้าไปโดยไม่ให้ผู้ใดเห็น มุ่งหน้าไปยังจุดที่ได้ยินเสียงลอยมาอย่างรวดเร็ว
เยี่ยหลีเหลือบมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้แล้วถึงกับต้องขมวดคิ้ว แม้แต่นางยังได้ยินเสียงร้องขององค์หญิงเจินหนิง นางไม่เชื่อว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่ได้ยิน แต่สีหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟยยังคงดูราบเรียบเยือกเย็นเช่นเคย แม้แต่ฮองเฮายังขมวดคิ้วมองตามเสียงด้วย แต่มารดาบังเกิดเกล้าที่นั่งอยู่ข้างกายกลับทำเหมือนมิได้ยินเสียอย่างนั้น
ก่อนหน้านี้นางเพียงรู้สึกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นคนมีนิสัยเฉยชาไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่เมื่อได้มาเห็นเช่นนี้กลับอดรู้สึกปวดใจไม่ได้ แม้แต่บุตรสาวของตนเองอยู่ในอันตรายยังไม่แม้แต่จะสนใจสักนิด ในใจนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
ท่ามกลางการอารักขาอย่างแน่นหนา ฮองเฮาเอ่ยบางอย่างกับม่อจิ่งฉีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ม่อจิ่งฉีเงยหน้าหันมองมาทางพวกเขา เมื่อเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีนั่งอย่างสงบอยู่อีกด้านหนึ่ง แววตาก็อดครึ้มลงไม่ได้ เขาเอ่ยเสียงกังวานขึ้นว่า “ติ้งอ๋อง รบกวนเจ้านำตัวองค์หญิงรองของข้ากลับมาให้ที”
ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มเรียบๆ ยืดตัวขึ้นหันมายิ้มให้เยี่ยหลีก่อนกระโดดหายไปทางด้านล่าง ด้วยฐานะของม่อซิวเหยา การนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ลงมือเองนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากฮ่องเต้เอ่ยปากแล้วแต่เขายังไม่ลงมือนั่นคงดูไม่เข้าทีสักเท่าไร
ดูเหมือนฮองเฮาจะคาดไม่ถึงว่าม่อจิ่งฉีจะเอ่ยปากเรียกให้ม่อซิวเหยาออกไปช่วยด้วยตนเอง จึงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนขมวดคิ้วหันมองไปทางเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเป็นกังวล ยังมิต้องสนใจชายาติ้งอ๋อง บุตรสาวของตนอายุยังน้อย หากไม่มีติ้งอ๋องคอยปกป้อง นางจะวางใจได้อย่างไร นางเหลือบมองหลิ่วกุ้ยเฟยที่ยังคงสีหน้าสงบนิ่ง เป็นครั้งแรกที่ฮองเฮาพูดกับหลิ่วกุ้ยเฟยด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “เจินหนิงถูกนักฆ่าจับตัวไป หลิ่วกุ้ยเฟยไม่นึกเป็นห่วงเลยหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยดึงสายตาที่มองลงไปด้านล่างกลับมา ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในวังมีองครักษ์อยู่มากมายเช่นนั้น ย่อมสามารถช่วยเจินหนิงกลับมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ฮองเฮาต้องทรงเป็นห่วงแล้ว”
ฮองเฮาโกรธจนพูดไม่ออก เพียงส่งเสียงเหอะเย็นๆ มิได้พูดอันใดอีก เพียงหันมองเยี่ยหลีและองค์หญิงฉางเล่อเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ด้วยนิสัยของฮ่องเต้ ไม่มีทางเห็นด้วยกับนางให้ส่งคนออกไปรับตัวองค์หญิงฉางเล่อกลับมาแน่นอน ถึงแม้คนที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้นจะเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของตนเองก็ตาม
พอม่อซิวเหยาไม่อยู่ นักฆ่าที่โจมตีเข้ามาทางนางจึงยิ่งดุดันขึ้น เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้นักฆ่าเหล่านี้ เห็นว่าม่อซิวเหยายังไม่ลงมือ จึงยังออมฝีมือไว้อยู่ ยามนี้เมื่อม่อซิวเหยาไม่อยู่ ย่อมอาศัยจังหวะนี้ในการจัดการกับศัตรูตรงหน้า
นักฆ่าคนหนึ่ง ถูกเหวี่ยงมาล้มลงตรงปลายเท้าเยี่ยหลี สีหน้าที่โหดเ**้ยม ทำให้องค์หญิงฉางเล่ออดกรีดร้องออกมาไม่ได้
เยี่ยหลีขมวดคิ้วลุกยืนขึ้น “องครักษ์ลับสอง ชิงหลวน นำคนสองคนอารักขาองค์หญิงฉางเล่อออกไป”
องครักษ์ลับสองหันมองเยี่ยหลีอย่างไม่เห็นด้วย องค์หญิงฉางเล่อจับเสื้อเยี่ยหลีไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถึงแม้นางจะอายุยังน้อย แต่ด้วยความที่นางเติบโตมาในวังหลวง ทำให้สัญชาตญาณดีกว่าคนทั่วไป การอยู่ข้างกายชายาติ้งอ๋อง ทำให้นางรู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก “ชายาติ้งอ๋องไปกับข้า…”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า เหลือบตามองเยียหลี่ว์เหยี่ยที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างสบายๆ หากเพียงนางเคลื่อนตัว เยียหลี่ว์เหยี่ยจะต้องดึงนักฆ่าเหล่านั้นให้มาทางนางอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นสู้ยืนอยู่กับที่เช่นเดิมรอรับการเปลี่ยนแปลงมิดีกว่าหรือ “องค์หญิงต้องว่าง่ายนะเพคะ อย่าให้เสด็จแม่ของท่านต้องทรงเป็นห่วง เข้าใจหรือไม่”
องค์หญิงฉางเล่อลังเลหันมองฮองเฮาที่มองมาทางตนด้วยความร้อนใจ ในที่สุดจึงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ระหว่างการต่อสู้ เยียหลี่ว์เหยี่ยหันมาเหลือบมองเยี่ยหลีที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนเลิกคิ้วคมขึ้นยิ้ม “พระชายาจิตใจไม่ธรรมดาจริงๆ เสียด้วย”
เยี่ยหลียืนพิงเสา ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากองค์ชายเยียหลี่ว์ไม่ดึงคนให้มาทางนี้ ข้าก็จะดีใจมาก อันที่จริงยามนี้ข้าตกใจจนแข้งขาอ่อนไปหมดแล้ว”
เมื่อถูกคนเปิดเผยจุดประสงค์ของตนเช่นนี้ เยียหลี่ว์เหยี่ยกลับไม่รู้สึกเขินอายเลยแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายารู้ตัวแล้วหรือ อันที่จริงข้าน้อยเพียงอยากรู้สึกเป็นวีรบุรุษที่ช่วยหญิงงามเท่านั้น เชื่อว่าพระชายาคงไม่ถือโทษโกรธข้าน้อยใช่หรือไม่”
องครักษ์สามเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจับตัวนักฆ่าที่ถือมีดอยู่ในมือผลักออกไปทางเขาทันที ประกายมีดพุ่งตรงไปยังเยียหลี่ว์เหยี่ย เยียหลี่ว์เหยี่ยได้ยินเสียงลมพุ่งเข้ามา ก็หมุนตัวเตะนักฆ่าจนเสียหลักลอยออกไปทันที
“ท่านนี้…ระวังด้วย”
องครักษ์ลับสามยกมือขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนเอ่ยขอโทษอย่างไร้ความจริงใจว่า “พลั้งมือไปชั่วครู่ องค์ชายได้โปรดอภัยด้วย”
เยียหลี่ว์เหยี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้างกายพระชายามีผู้มากฝีมืออยู่จำนวนมากจริงๆ ข้าย่อมไม่ถือโทษเป็นแน่”
“เยียหลี่ว์เหยี่ย! ไปตายเสียเถิด!” ดูเหมือนการต่อสู้อย่างไม่จริงจังเช่นนั้น จะทำลายความเคารพในตนเองของนักฆ่าเข้าให้เสียแล้ว หลังจากสิ้นเสียงตะโกนนั้น ก็มีกลุ่มคนในชุดดำพุ่งเข้าใส่เยียหลี่ว์เหยี่ยอย่างไม่คิดชีวิตทันที การโจมตีอย่างดุดันทำให้เขาอดตกใจไม่ได้
เยียหลี่ว์เหยี่ยเองก็ดูจะต่อสู้อย่างจริงจังขึ้นมาก เยี่ยหลียืนพิงเสามองความวุ่นวายโดยรอบ นางนึกดูถูกม่อจิ่งฉีที่มีองครักษ์คอยห้อมล้อมอารักขาอยู่ ในขณะที่ขุนนางทั้งหลายถูกพวกนักฆ่าโจมตีอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น ตัวเขาที่เป็นประมุข กลับให้องครักษ์กว่าครึ่งคอยอยู่อารักขาตนเอง และไม่ยอมให้พวกเขาแบ่งออกไปรับมือนักฆ่าเหล่านั้น ผู้ใดว่าว่าม่อจิ่งฉีเก่งด้านการซื้อใจคน ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ดูเหมือนเขาจะลืมทุกอย่างไปจนสิ้น แม้ยามนี้จะไม่ถึงกับเป็นช่วงชี้เป็นชี้ตายก็เถิด
มีเสียงฟุบๆ ดังขึ้น พร้อมกับชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งที่พุ่งตัวขึ้นมาด้านบน เยี่ยหลีอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ ในวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา นักฆ่าเหล่านี้มีความสามารถเพียงใดกัน ถึงได้ลอบเขามาในวังกันได้จำนวนมากเช่นนี้ แล้วยังองครักษ์ในวังหลวงอีก นี่ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งเค่อแล้ว องครักษ์ยังมากันไม่ถึงอีก!
เยี่ยหลีรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปด้านนอกหอโดยมิให้ผู้ใดเห็น ในอากาศมีกลิ่นแปลกประหลาดลอยเข้ามา เยี่ยหลีหรี่ตาลง ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า “รีบไปเร็ว! พวกมันจะวางเพลิงหอนี้!”
ยังไม่ทันพูดจบดี องครักษ์ลับสองก็พาองค์หญิงฉางเล่อกระโดดออกไป ชิงหลวนที่ยืนอยู่ด้านหลังหันมาพยักหน้าให้เยี่ยหลีก่อนกระโดดตามลงไป องครักษ์ลับสามเมื่อจัดการนักฆ่าจนล้มลงไปแล้ว ก็หันมาคว้าตัวเยี่ยหลีกระโดดออกจากหอดูดาวตามลงไปด้วย
มีลูกธนูกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา พวกเขาที่เพิ่งกระโดดลงถึงพื้นและหาจุดที่หลบซ่อนได้ หันไปอีกทีบนชั้นสองของหอดูดาวก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นเสียแล้ว ในลูกธนูเหล่านั้นคงจะเป็นธนูไฟ และที่เยี่ยหลีได้กลิ่นคงเป็นน้ำมันที่เป็นเชื้อเพลิง อีกทั้งยามนี้เป็นช่วงต้นเดือนหก หอดูดาวทำจากไม้ทั้งหลัง ยิ่งเมื่อมีน้ำมันเป็นตัวช่วย ไฟจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผู้คนโดยมากต่างกระจุกตัวกันอยู่บนชั้นสาม เมื่อเกิดไฟลุกขึ้นเช่นนี้ ด้านบนหอดูดาวที่โกลาหลอยู่แล้ว จึงมีเสียงร้องให้ช่วยดังไม่ขาดสายเพิ่มขึ้นไปอีก
“องครักษ์ลับสาม ไปช่วยเร็วเข้า!”
“พระชายา พวกเราไม่ได้นำคนมาด้วยมานักนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว
เยี่ยหลีเพียงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ไปช่วยคนก่อนค่อยว่ากัน”
วันนี้คนที่ได้ขึ้นไปยังหอดูดาวด้านบนต่างเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของราชสำนัก อย่าว่าแต่การบาดเจ็บล้มตายกันกว่าครึ่งเลย แค่เพียงบาดเจ็บไม่กี่คนก็คงวุ่นวายไม่น้อย
องครักษ์ลับสามจึงได้แต่โบกมือให้องครักษ์ที่ติดตามมาขึ้นไปช่วยคนด้านบน
ไม่นานม่อจิ่งฉีและพระสนมทุกคนต่างก็ได้รับการช่วยเหลือลงมาด้านล่างอย่างปลอดภัย องครักษ์ที่เดิมล้อมรอบม่อจิ่งฉีอยู่โดยยังมิได้ใช้วิทยายุทธ ก็รีบออกไปรับมือนักฆ่าที่ด้านนอกทันที ท่ามกลางความมืด มิมีผู้ใดรู้ว่ามีนักฆ่าอยู่จำนวนเท่าใด พระสนมและองค์หญิงองค์ชายที่พอมีฐานะสูงส่งยังไม่เท่าไร เพราะยังมีคนคอยคุ้มกันข้างกาย แต่พระสนมที่ลำดับขั้นไม่สูงนัก เกรงว่าต่อให้ตายไปก็คงมิมีผู้ใดสนใจ
ฮองเฮาลงมาถึงพื้นที่ได้ ก็รีบมองซ้ายมองขวาด้วยความร้อนรนทันที เมื่อหาเยี่ยหลีเจอก็รีบเดินไปหาอย่างไม่สนใจอันใดทันที “ชายาติ้งอ๋อง…ฉางเล่อ…”
เยี่ยหลีเอ่ยตอบว่า “ฮองเฮามิต้องกังวลไป มีคนพาองค์หญิงฉางเล่อไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วเพคะ”
ฮองเฮาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ขอบใจเจ้า…”
“ระวัง!” เยี่ยหลีดึงฮองเฮาไว้ ก่อนดันนางไปทางองครักษ์ที่เดินตามเข้ามา แล้วเอียงตัวหลบคมมีดที่พุ่งตรงเข้ามา นางวาดมือเข้าใส่นักฆ่าอย่างรวดเร็ว นักฆ่าที่ก่อนหน้านี้เห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้า กลับรู้สึกเย็นวาบที่หน้าอก ก้มลงมองก็เห็นมีเลือดสดๆ พุ่งออกมาจากหน้าออกของตน
เยี่ยหลีหันไปพูดกับองครักษ์ว่า “พาฮองเฮาไปยังที่ที่ปลอดภัย”
ชุดลายหงส์ปักด้วยด้ายสีทองของฮองเฮาเป็นที่สะดุดตาเกินไป เพียงลงมาถึงพื้น ก็เรียกธนูสองดอกให้ยิงมาทางพระองค์ทันที เมื่อสั่งการองครักษ์เรียบร้อยแล้ว เพียงพริบตาเยี่ยหลีก็กลืนเข้าสู่ความมืดอีกครั้งทันที ดวงตาของนางจับจ้องไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความเยือกเย็น
“พระชายาออกอาวุธได้รวดเร็วนัก ข้าขอนับถือ” น้ำเสียงเจือแววล้อเลียนดังขึ้นข้างกาย
เยี่ยหลีหรี่ตาลง หมายจะฟันศอกใส่คนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายนาง แต่ผู้มาใหม่ก็ดูจะมิใช่คนที่ให้นางเล่นงานได้ง่ายๆ เช่นกัน เขายกมือหมายจะจับแขนนางไว้ เยี่ยหลีกระตุกมุมปากขึ้นยิ้มเย็น ก่อนหันหน้าไปพร้อมชักกริชออกจากแขนเสื้อ วาดตวัดไปทางอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ผู้มาใหม่พ่นลมหายใจออกมาทีหนึ่ง ก่อนเอียงตัวหลบ แต่พริบตาเดียวเยี่ยหลีก็ยกขาถีบเข้ามาทันที นางรับรู้อย่างชัดเจนว่า คนที่ยืนเผชิญหน้ากับนางอยู่นี้คือเยียหลี่ว์เหยี่ยที่ไม่รู้หายไปท่ามกลางความวุ่นวายตั้งแต่เมื่อใด
เยียหลี่ว์เหยี่ยยกมือขึ้นกั้นไว้ ก่อนรีบปล่อยออกอย่างรวดเร็วด้วยเพราะกริชในมือของเยี่ยหลีที่พุ่งเข้ามา เยียหลี่ว์เหยี่ยหมุนตัวหลบก่อนได้แต่เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ชายาติ้งอ๋อง ศัตรูตัวฉกาจอยู่ตรงหน้า พวกเรายังจะเปิดศึกภายในกันเองอีกหรือ”
สตรีที่มีวิชาการต่อสู้นั้น เขาพบเห็นมามากแล้ว สตรีของเป่ยหรงไม่ว่าจะอายุน้อยหรืออายุมาก ต่างก็พอมีวิชาติดตัวกันบ้าง แต่สตรีที่ออกอาวุธได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยพบเป็นคนแรก แม้นนำไปเทียบกับนักฆ่าที่ได้รับการฝึกมาโดยเฉพาะก็ยังไม่น้อยหน้ากว่ากันสักเท่าไร
ในที่สุดเยียหลี่ว์เหยี่ยก็รู้ว่านี่อาจมิใช่ช่วงเวลาที่ดีในการยั่วโมโหนาง หากพวกเขาต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ และมีคนถือโอกาสหาประโยชน์จากเรื่องนี้ คงกลายเป็นคิดขโมยไก่แต่กลับต้องเสียข้าวสารเป็นแน่
เยี่ยหลีกระโดดไกลออกไป มองเขาด้วยสายตาเยือกเย็นพร้อมเอ่ยว่า “ศึกภายในหรือ องค์ชายเยียหลี่ว์ใช้คำผิดแล้ว เชื่อว่าคงเพราะไม่เคยชินกับภาษาของต้าฉู่เป็นแน่”
เยียหลี่ว์เหยี่ยยกมือขึ้นลูบจมูกก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อย่างน้อยยามนี้พวกเราก็เป็นฝ่ายเดียวกันมิใช่หรือ ข้าน้อยเพียงคิดอยากคุ้มครองพระชายาเท่านั้น ยามนี้ดูท่าคงจะไม่จำเป็นแล้ว”
เยี่ยหลีมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม “คุ้มครองคงจะไม่ต้อง องค์ชายเยียหลี่ว์อยู่ใหห่างข้าไว้หน่อยจะดีกว่า ระวังจะบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว”
เยียหลี่ว์เหยี่ยเห็นเยี่ยหลีที่ใช้กริชในมือตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอของผู้ที่ลอยเข้ามาจะทำร้ายอย่างแม่นยำ แล้วก็อดเย็นวาบขึ้นที่ลำคอตนเองไม่ได้ นี่คือชายาติ้งอ๋องแห่งต้าฉู่หรือ ช่างโหดเ**้ยมเช่นเดียวกับติ้งอ๋องที่เขาว่ากันจริงๆ เพียงแต่…หญิงสาวเช่นนี้มิใช่หรือ ที่น่าสนใจ…
“อารักขา!” ในที่สุดทหารจากกองทัพอวี้หลินที่คอยอารักขาในวังก็มาถึง เมื่อมีทหารจำนวนมากจากกองทัพอวี้หลินเข้ามา นักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ในความมืดก็เสียความได้เปรียบไปทันที เยี่ยหลีหันมองสถานการณ์ที่เริ่มพลิกผัน ก่อนหมุนตัวเดินลึกเข้าไปในวังหลวงโดยไม่ลังเลทันที
เยียหลี่ว์เหยี่ยยกมือลูบคาง จ้องมองนางไม่วางตา ก่อนเดินตามไปอย่างนึกสนุก