ตอนที่หลัวเทียนเฉิงกลับมาก็มืดค่ำจนต้องแขวนโคมไฟแล้ว
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปหาเขา “ยังไม่กินข้าวกระมัง”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “ยกกับข้าวร้อนๆ สักอย่างสองอย่างเข้ามาก็พอ”
“ท่านรอประเดี๋ยว” เจินเมี่ยวพูดจบก็หมุนกายออกไป ไม่นานจึงยกถาดใบหนึ่งเข้ามา ในนั้นมีข้าวถ้วยใหญ่ และกับข้าวประเภทผักอีกสองสามจาน
หลัวเทียนเฉิงมองแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
นางเถียนจากไปได้ครึ่งปีกว่าแล้ว แต่แม้เรือนชิงเฟิงจะมีห้องครัวเล็กก็มิอาจทำเนื้อหมูเนื้อปลากินได้อย่างเปิดเผย
เขาหิวมากยิ่งจึงล้างมือแล้วเริ่มลงมือกินข้าว เพิ่งกินไปได้เพียงไม่กี่คำก็เห็นเนื้อตุ๋นไร้มันก้อนหนึ่งโผล่ขึ้นมา
หลัวเทียนเฉิงเงยหน้าขึ้นมองเจินเมี่ยว จินเมี่ยวจึงยิ้มตาหยีให้เขา
เขากินไปอีกสองสามคำก็เห็นเนื้อปลาที่ทอดเป็นสีเหลืองทองอีกชิ้นหนึ่ง ตามด้วยเนื้อชนิดต่างๆ ประหนึ่ง**บสมบัติกระนั้น ไม่นานข้าวถ้วยใหญ่ก็พร่องจนเกือบจะเห็นก้นถ้วย น่องไก่ชิ้นหนึ่งจึงปรากฏขึ้นมา
หลัวเทียนเฉิงกินอย่างอิ่มหนำสำราญ สุดท้ายจึงเช็ดปากแล้วยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ามิจำเป็นต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้ เราอยู่ในเรือนเรา อยากกินสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น”
เจินเมี่ยวยิ้มแล้วตอบว่า “การกินเนื้ออย่างโจ่งแจ้ง ไหนเลยจะอร่อยเท่าการแอบกินเล่า”
ครั้นหลัวเทียนเฉิงนึกถึงความรู้สึกเบิกบานใจเมื่อเขี่ยไปเจอเนื้อชิ้นแรก และความแปลกใจระคนเฝ้ารอ ด้วยไม่ทราบว่าในข้าวยังมีอาหารเลิศรสใดซ่อนอยู่อีก ก็อดยิ้มออกมามิได้ มันช่างเป็นการกินข้าวที่อร่อยกว่าทุกครั้งจริงๆ เขายื่นมือไปบีบจมูกเจินเมี่ยว “เจ้าพูดถูก รอให้ข้ากลับมาแล้ว เราก็กินข้าวเช่นนี้กันอีกเถิด”
เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันที
“เป็นอันใดไป”
“กระบี่ไร้ตา ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน” เจินเมี่ยวขยับเข้าไปซบไหล่หลัวเทียนเฉิง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา “ซื่อจื่อ เมื่อเข้าสู่สนามรบ ยามต้องพุ่งเข้าใส่ศัตรู ท่านต้องรั้งอยู่ด้านหลังรู้หรือไม่!”
“หา?” หลัวเทียนเฉิงคิดว่าตนฟังผิดไป
นางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาประหนึ่งถูกต้องเต็มประดาเช่นนี้ มันดีแล้วจริงๆ หรือ
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าคิดเช่นนี้มิได้ ข้าเป็นแม่ทัพ ทำได้เพียงสละตนนำทัพอยู่ด้านหน้าเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมทัพได้”
เจินเมี่ยวนิ่งเงียบ
ยุคสมัยนี้แม้แต่บาดแผลเล็กๆ ยังทำให้เกิดการติดเชื้อจนตายได้ นับประสาอันใดกับสนามรบที่เต็มไปด้วยโลหิตดุจห่าฝน หากบอกว่าไม่ห่วง…คงเป็นคำโป้ปดแล้ว
“เจี๋ยวเจี่ยวเจ้าวางใจได้ ข้าจะดูแลตัวเองอย่างดี” หลัวเทียนเฉิงจับมือนางมากุมไว้แน่น
เจินเมี่ยวหยิบเอาจี้เหรียญเงินออกมาแล้วใส่ไว้ที่คอเขาด้วยตัวนางเอง
“เหรียญเงินนี้ผ่านการทำพิธีจากวัดต้าฝูมาแล้ว หวังว่ามันจะช่วยคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย”
“แน่นอน เจ้ามิต้องเป็นห่วงจริงๆ ข้าเป็นคนที่เหมาะสมในการไปรบครั้งนี้ที่สุด ข้าเลือกองครักษ์ลับไว้สองคน ต่อไปยามเจ้าออกนอกจวนก็จะคอยคุ้มครองเจ้า ส่วนท่านปู่ ท่านย่าคงต้องให้เจ้าช่วยดูแลมากขึ้นอีกหน่อยแล้ว”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วอึกอักอยู่พักหนึ่ง น้ำเสียงก็ออกจะแปลกแปร่งพิกล “เจี๋ยวเจี่ยว ท่านย่าอายุมากแล้ว ของบางอย่างมิควรกิน โดยเฉพาะขนมบัวลอยอันใดเทือกนั้น เจ้าช่วยระวังหน่อยแล้วกัน”
เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิงอยู่นาน จึงพยักหน้ารับคราหนึ่ง
สวรรค์ ที่แท้ท่านย่าเกิดเรื่องเพราะบัวลอยหรอกหรือ!
วันที่เขาออกเดินทาง หิมะก็โปรยปรายลงมา แต่ผู้คนที่ไปส่งกลับมากยิ่ง ราษฎรในเมืองหลวงต่างมารวมตัวกัน พวกเขามองแม่ทัพหนุ่มที่สวมชุดเกราะบนหลังอาชาขาว พลางเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์
“แม่ทัพอายุน้อยถึงเพียงนี้ เจ้าว่าจะไหวหรือไม่”
“ถุยๆ ต้าโจวไม่มีคนแล้วหรือไร!”
เมื่อสตรีแน่งน้อยที่อุปนิสัยตรงไปตรงมาบางส่วนได้ยินเข้าก็แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ในสมัยโบราณล้วนมีแต่เด็กหนุ่มทั้งนั้นที่เป็นผู้กล้า นับประสาอันใดกับ…”
เอ่ยถึงตรงนี้นางก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “คนหนุ่มแน่นเช่นนี้เล่า!”
ฮูหยินน้อยผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจึงเอ่ยเสริมว่า “ใช่ ข้าจะบอกให้ว่าคนผู้นั้นเป็นถึงหัวหน้าผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน เก่งกาจยิ่งนัก”
คนทั้งหลายต่างเบ้มุมปากขึ้นพร้อมกัน นี่เป็นโลกที่มองคนเพียงใบหน้าแท้ๆ!
เจินเมี่ยวยืนมองอยู่ริมหน้าต่างในห้องรับรองแขกพิเศษบนชั้นสองของหอสุราเทียนเค่อ นางเห็นหลัวเทียนเฉิงขี่ม้าขยับใกล้เข้ามา แต่บางคราก็ดูห่างไกลออกไป จึงปลดถุงเงินตรงเอวตนโยนออกไปอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้
หลัวเทียนเฉิงได้ยินเสียงบางอย่างลอยแหวกอากาศอยู่เหนือศีรษะ จึงยื่นมือออกไปคว้าไว้ เมื่อเห็นถุงเงินอันแสนคุ้นตาก็อดกระชากบังเ**ยนให้ม้าหยุดมิได้ เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองยังทิศที่เจินเมี่ยวอยู่แล้วยิ้มออกมา
เขาสวมชุดเกราะทั้งร่าง ใบหน้าหยกดุจหิมะขาวบนยอดเขาสูงที่อากาศเหน็บหนาวมานับพันปี ตลอดทาง ไม่ว่าผู้คนจะวิพากษ์วิจารณ์เช่นไรล้วนไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้เพียงเล็กน้อย ยังคงสุขุมเยือกเย็นมิคล้ายคนที่อยู่ในวัยเดียวกันเลย แต่ชั่วขณะที่รอยยิ้มแย้มบานก็คล้ายธารน้ำแข็งละลาย หิมะเลือนหาย วสันต์มาเยือน มันช่างเจิดจ้าจนสะกดสายตาคนทั้งหลายเอาไว้
สตรีแน่งน้อยทั้งหลายที่รุมล้อมอยู่ถึงกับสูดปาก แล้วกรีดร้องพลางโยนสิ่งของทุกอย่างที่มีใส่ร่างเขา
เดิมเจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงนั้นจ้องตากันด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงเห็นเพียงถุงหอม ผ้าเช็ดหน้า ยังมีรองเท้าปักลายอีกหลายคู่ลอยผ่านสายตาไป
เจินเมี่ยวโกรธจนต้องขยำผ้าเช็ดหน้า ช่างหน้าไม่อายนัก ถึงกับทำตัวเป็นบุปผาล่อภมรผีเสื้อ รอให้กลับมาก่อนเถิดจะต้องได้เห็นดีกันแน่!
แต่เมื่อเห็นปลาเค็มอีกสองตัวถูกโยนใส่เขาก็หายโมโหไปทันใด นางมองเขาควบม้าหนีไปด้วยสภาพทุลักทุเลแล้วก็อดหัวเราะเสียงดังออกมามิได้
นางตัดสินใจแล้วว่าหากเขากลับมาจะต้องทำปลาเค็มสักจานให้เขากิน
ขบวนทัพค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป ราษฎรต่างค่อยๆ สลายตัวเช่นกัน แต่ยังมีบางส่วนที่เดินตามไป บนถนนจึงว่างเปล่าเหลือเพียงถุงหอมและผ้าเช็ดมือเพื่อเป็นการยืนยันถึงความคึกคักที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
“ไปเถิด” เจินเมี่ยวถอนหายใจแล้วเดินออกไปด้านนอก
นางเดินไปตามทางเดินแต่กลับพบเข้ากับคนผู้หนึ่งที่เปิดประตูห้องอีกห้องออกมาพอดี
“เสด็จพี่หก?” เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
องค์ชายหกยิ้มพลางเอ่ยว่า “จยาหมิง ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่”
มิรอให้นางถามเขาก็เอ่ยอธิบายว่า “มิเช่นนั้นหลัวซื่อจื่อคงมิหยุดให้คนโยนของใส่แน่”
เจินเมี่ยวหัวเราะ
“อยากจะเข้ามาดื่มชาร้อนด้วยกันสักถ้วยหรือไม่”
“คงไม่แล้วเพคะ หม่อมฉันออกมานานแล้วควรต้องกลับเสียที”
เจินเมี่ยวย่อกายถวายพระพรต่อองค์ชายหก ครั้นเดินผ่านประตูห้องนั้นก็รู้สึกว่าด้านในช่างคึกคักนัก แต่กลับเก็บความแปลกใจตนไว้แล้วรีบเดินลงบันไดไป
หลังจากหลัวเทียนเฉิงไปแล้ว เจินเมี่ยวก็พลันรู้สึกว่าเหมันต์ปีนี้ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง นางจึงวาดภาพทิวทัศน์ยามเหมันต์นับวันรอไปเรื่อยๆ
วันที่สิบสี่เดือนสิบสอง หิมะตกติดต่อกันอย่างหนักอยู่หลายวัน พระอาทิตย์สาดแสงให้ความอบอุ่นอยู่เหนือพรมหิมะที่ลาดยาวไร้ขอบเขต และเป็นวันที่เถียนเสวี่ยคลอดบุตรสาวพอดี
ฮูหยินผู้เฒ่ากลายเป็นคนที่ได้อยู่ดูหน้าลูกหลานรุ่นที่สี่ แต่กลับมิได้เสียใจอันใดที่มิใช่บุตรชาย ตรงกันข้ามเมื่อเห็นเด็กน้อยที่ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็ตัวอ้วนกลมเสียแล้วกลับเบิกบานจนยิ้มไม่หุบ จึงตั้งชื่อให้ว่าหลัวชิง คนในจวนจึงเรียกว่าชิงเจี่ย
วันเทศกาลโคมไฟเป็นวันที่ชิงเจี่ยอายุครบหนึ่งเดือนพอดี เพราะบ้านเมืองยังมีการรบกันอยู่ ทั้งนางเถียนก็เพิ่งจากไปได้ไม่นานจึงมิอาจจัดงานใหญ่โตได้ ในจวนจัดเพียงโต๊ะอาหารสองโต๊ะเท่านั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่า “เหตุใดปีนี้จึงไม่มีบัวลอยเล่า”
นางซ่งอดมองไปที่เจินเมี่ยวมิได้
เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างขออภัยว่า “เดิมหลานสะใภ้คิดว่าจะทำบัวลอยด้วยตนเอง แต่เพราะมัวยุ่งกับการจัดแจงของที่จะส่งไปให้ซื่อจื่อจึงทำมิทันเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมา “ช่างเถิด แค่เทศกาลหนึ่งเท่านั้น มีปีใดบ้างมิกินบัวลอย มิใช่สิ่งของหายากอันใดเสียหน่อย”
“ข้าจำได้ว่าท่านย่าชอบกินมิใช่หรือ” คุณชายสามเอ่ยขึ้น
เถียนเสวี่ยลอบเตะขาคุณชายสามคราหนึ่ง
แววตาหลัวจือเจินพลันส่องประกายวูบขึ้น
ยามเย็นนางจึงถือตะกร้าใบหนึ่งไปที่เรือนอี๋อาน
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบบอกให้นางนั่งทันที “หนทางลื่นยิ่ง เจินเจี่ยมีอันใดหรือไม่”
หลัวจือเจินอายุใกล้สิบปีแล้ว แต่นางดูสงบเสงี่ยมกว่าเด็กน้อยในวัยเดียวกัน จึงคล้ายกลายเป็นสาวน้อยผู้หนึ่งแล้วกระนั้น
“ข้าทำบัวลอยมาให้ท่านย่ากินเจ้าค่ะ”