“ว่าไปแล้ว เจ้าสี่ก็ช่วยไว้มากเหลือเกิน” นางหลี่ยิ้มพลางพูดกับนายท่านรองสกุลเจินว่า “วันหลังข้าคงต้องไปขอบคุณหน้าสักหน่อยแล้ว”
นายท่านรองสกุลเจินถอนหายใจแผ่วเบา “เจ้าสี่มิได้ช่วยแค่เรื่องนี้เท่านั้นหรอก”
“ท่านพี่?” นางหลี่รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง
นายท่านรองจึงหลีกเลี่ยงไปเอ่ยว่า “เราจดจำความหวังดีของเจ้าสี่ไว้ในใจก็พอแล้ว เวลานี้จวนกั๋วกงกำลังวุ่นวาย อย่าเพิ่งไปจะดีกว่า”
นางหลี่คิดแล้วก็เห็นด้วยจึงพยักหน้าตาม เมื่อคิดถึงเรื่องการหมั้นหมายของเจินปิง นางจึงเม้มริมฝีปากยิ้มออกมาด้วยความดีใจหาใดเปรียบ “ท่านพี่ เดิมทีข้าไม่ชอบที่ปิงเอ๋อร์ต้องแต่งออกไปอยู่นอกเมือง แต่มาคิดดูแล้ว ขอเพียงเป็นคนดีมีมารยาท เท่านั้นก็ดีหาใดเปรียบแล้ว”
นายท่านรองยิ้มขื่นอยู่ในใจแต่สีหน้ากลับเรียบเฉยยิ่ง “สองวันนี้ข้าจะไปชิงหยางสักหน่อย”
“ไปชิงหยาง?”
“อืม แม้จะตกลงกันไว้ดีแล้ว แต่อย่างไรข้าก็ยังมิได้รู้จักคุณชายตระกูลเจียงมากนัก อย่างไรต้องไปเยี่ยมเขาสักหน่อยท่าจะดีกว่า”
นางหลี่หยักมุกปากขึ้นเอ่ยพึมพำว่า “อย่างไรก็ตกลงกันดีแล้ว หากท่านไป มิเป็นการทำเรื่องเกินจำเป็นหรอกหรือ คงมิใช่เพราะท่านเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ดีพอจึงคิดจะยกเลิกการหมั้นหมายนี้กระมัง”
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร” นายท่านรองเลิกคิ้วขึ้นย้อนถามอย่างน้อยนักจะได้เห็น
นางหลี่ถึงกับอึ้งไป ครู่หนึ่งจึงมีสติคืนมาแล้วเอ่ยตัดพ้อว่า “ท่านพี่คงพูดเล่นแล้ว หากยกเลิกการหมั้นหมายนี้ ปิงเอ๋อร์ของเราย่อมต้องเสียหายอย่างแน่นอน”
นายท่านรองถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แล้วเอ่ยอย่างแฝงความหมายล้ำลึกว่า “เสียหายแค่ชั่วระยะหนึ่งดีกว่าเสียหายไปชั่วชีวิต”
“ท่านพี่?” นางหลี่ฟังแล้วก็ยิ่งมึนงง
นายท่านรองจึงเอ่ยเฉไฉเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบาว่า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ข้าก็มีเรื่องที่ต้องไปทำด้วยพอดี ฮูหยินมิจำเป็นต้องคิดมากแล้ว”
นางหลี่จ้องนายท่านรอง เมื่อเห็นท่าทีผ่อนคลายคล้ายไม่มีเรื่องใดมารบกวนจิตใจเขาได้ ก็พยักหน้ารับทั้งที่ยังแคลงใจอยู่
การสอบชุนเหวยจะจัดสอบทั้งหมดสามครั้ง คุณชายรองสกุลหลัวหมดสติระหว่างการสอบครั้งที่หนึ่ง หัวข้อสนทนาที่คนในเมืองหลวงให้ความสนใจกันมากช่วงสองสามวันนี้คือเรื่องการสอบ นอกจากนี้ก็คือคุณชายรองสกุลหลัวที่เกี่ยวข้องกับการสอบครั้งนี้นั่นเอง
ปีที่แล้วมีบัณฑิตไม่น้อยที่ร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนสอบไม่ผ่านการสอบระดับเมือง เมื่อนึกถึงท่าทีภาคภูมิใจเมื่อคราแรกของคุณชายรองสกุลหลัวแล้วก็อดรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ มิได้ บัณฑิตฐานะยากจนจำนวนหนึ่งยังเอ่ยสำทับอีกว่า “พระโพธิสัตว์มีตาแท้ๆ จึงมิยอมให้คนที่ไม่เหมาะสมเป็นบัณฑิตผู้รู้เข้าไปปะปนอยู่ในกลุ่มบัณฑิตผู้เพียบพร้อมได้”
ในสายตาพวกเขา คุณชายรองสกุลหลัวที่ถูกคนข่มเหงย่อมไม่เหมาะเป็นบัณฑิตผู้รู้ที่คนให้ความนับถือ ไร้ซึ่งคุณสมบัติในการไปเป็นบัณฑิตชั้นสูง
ควรต้องทราบว่ายามนี้ต้าโจวมีคำพูดประโยคหนึ่ง ‘หากมิใช่บัณฑิตชั้นสูงย่อมมิอาจเข้าสำนักฮั่นหลิน หากมิได้มาจากสำนักฮั่นหลินก็มิอาจเข้าราชสำนัก หากคุณชายรองสกุลหลัวที่ชื่อเสียงมีมลทินเช่นนี้สอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูงคงยากที่จะทำให้คนยอมรับได้’
ราษฎรทั่วไปเองก็วิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน “บัณฑิตที่ถูกถลกกางเกงในหอสุราเทียนเค่อวันนั้นหมดสติขณะสอบหรือ เฮ้อ ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
“น่าเสียดายอันใดกัน รู้หรือไม่ว่าผู้อื่นเป็นถึงคุณชายจวนกั๋วกง ในจวนมีภูเขาทอง มหาสมุทรเงิน ไข่มุกมากมายนับไม่ถ้วน แม้จะพลาดการสอบครั้งนี้ก็ไม่กลัดกลุ้มหรอก คาดว่าคนที่เคราะห์ร้ายน่าจะเป็นคุณชายที่ล่วงเกินเขามากกว่ากระมัง”
“ได้ยินว่าคุณชายท่านนั้นมาจากตระกูลใหญ่โตเช่นกัน เรื่องของตระกูลใหญ่ตระกูลโต ผู้ใดจะทราบได้เล่า”
ภายในเรือนชิงเฟิง เจินเมี่ยวกำลังเอ่ยกับหลัวเทียนเฉิงเรื่องบุรุษอีกคนที่ทำผิดเช่นเดียวกัน
“บังเอิญจริงๆ ข้าให้อาหู่ไปสอบถามมา จึงทราบว่าคนผู้นั้นเป็นบุตรของถงจื่อแห่งจวนจิ่งเทียน มิน่าเล่าข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้าเขายิ่ง ท่านจำเขาได้หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงมองนางคราหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความประชดประชันเล็กน้อย “เหตุใดจึงจะจำไม่ได้เล่า…ศาลารับลมริมแม่น้ำในเทศกาลชีซี”
ครั้นเจินเมี่ยวได้ฟังก็เกิดความเขินอายขึ้นมา ตามด้วยความตกใจ “ตอนนั้นท่านอยู่ด้วยหรือ”
เช่นนี้ตอนนั้นที่นางถูกเจ้าเติงถูจื่อล่วงเกิน เขาก็เห็นทุกอย่างหมดแล้วกระนั้นหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจินเมี่ยวกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย สตรีอ่อนแอที่ยังมิทันออกเรือนถูกคนล่วงเกิน แต่เจ้าคนผู้นี้กลับซ่อนตัวคอยแอบมองโดยไม่ทำอันใดงั้นหรือ
หลัวเทียนเฉิงหันหน้าไปแล้วเลิกคิ้วขึ้นมองนาง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ ข้าเห็นเจ้าเตะเขาจนล้ม ทั้งเอาตะกร้าผลไม้ฟาดหน้าเขา แล้วเดินหนีไปโดยไม่หันมามองเขาสักนิด”
เขากระแอมไอเสียงหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังยิ้มอยู่นั้น “เดิมคิดจะเข้าไปช่วยเจ้า แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าแย่งสิ่งที่ข้าควรทำไปทำเองหมดแล้ว จึงได้แต่คอยมองดูเงียบๆ เท่านั้น”
เจินเมี่ยว “…”
“อืม ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่หน้าร้านเป่าหวา เจ้าบังเอิญพบกับคุณชายจูผู้นั้นกับสาวน้อยที่เขาเกี้ยวพาอยู่ แล้วใส่ร้ายว่าเขาลวนลามแม่นางผู้นั้น สุดท้ายเขาจึงถูกชาวบ้านทุบตีจนหน้าปูดบวมเป็นหัวสุกรเลยทีเดียว”
เจินเมี่ยวพลันตกใจยกใหญ่ “มิน่าเล่าวันนั้นข้าจึงรู้สึกคุ้นหน้าเขานัก!”
จะมิให้คุ้นตาได้อย่างไร ที่แท้นางเคยเห็นเขามีใบหน้าปูดบวมเป็นหัวสุกรถึงสองครั้งแล้ว
นางยิ้มออกมาอย่างขวยเขิน “นี่คงเป็นวาสนาที่คนเล่าลือกันกระมัง”
“วาสนา?” หลัวเทียนเฉิงเลิกคิ้ว น้ำเสียงแฝงด้วยอันตรายบางอย่าง
เจินเมี่ยวจึงรีบแก้คำทันที “เวรกรรม เป็นเวรกรรมต่างหาก”
หลัวเทียนเฉิงเชิดหน้าขึ้นแล้วแค่นเสียงฮึออกมาคราหนึ่ง “ไม่ว่าจะเป็นวาสนาอันใดก็ตาม ล้วนมีได้กับข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ห้ามเกิดกับผู้อื่นเด็ดขาด!”
น้ำเสียงนั้น ท่าทีเช่นนั้นทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกเขาขี้งอนกว่าแมวขาวที่นางเลี้ยงไว้เสียอีก
นางจึงยื่นมือไปวางที่บ่าของเขาแล้วบีบนวดเพื่อให้เขาสงบลง “ซื่อจื่อพูดถูกต้องที่สุดเลย”
หลัวเทียนเฉิงหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม แล้วเอ่ยชมว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ฝีมือการนวดของเจ้านั้นนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อยแล้ว”
เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “วิธีการนวดเช่นนี้เป็นวิธีที่อาหลวนสอนให้มู่จือก่อนนางจากไป ข้ารู้สึกว่ามันได้ผลดียิ่ง จึงเรียนมานวดให้ท่านลองดู”
“อาหลวนกลับไปเยี่ยนเจียงแล้ว ตอนนี้ยังเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่โต เจ้ามิจำเป็นต้องคิดถึงนางจนเกินไป”
อีกอย่างนางก็เป็นญาติผู้น้องของจวินเฮ่าผู้นั้นด้วย ฮึ!
“แต่…” หลัวเทียนเฉิงลืมตาขึ้น แล้วมองเจินเมี่ยวด้วยแววตาร้อนรุ่ม “เคล็ดลับอีกอย่างที่อาหลวนสอนเจ้า เจ้าหัดทำแล้วหรือไม่”
เจินเมี่ยวอึ้งงันขึ้นก่อน เมื่อสติคืนมาจึงหยิกเข้าที่บ่าเขาโดยแรงคราหนึ่ง “ให้มันน้อยหน่อยเถิด!”
หลัวเทียนเฉิงพลันพลิกกายขึ้นคร่อมร่างนางไว้แล้วขยับเข้าไป เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ได้ ข้าคงต้องลองดูสักหน่อยแล้ว”
เจินเมี่ยวยื่นมือออกไปผลักอกเขาไว้ด้วยลมหายใจติดขัดเล็กน้อย “อย่าเพิ่ง ข้ายังถามท่านไม่จบเลย”
“ว่ามา” อีกฝ่ายนั้นเสียงพร่าต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด
“มัน มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือ”
จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า คุณชายจูทะเลาะกับคุณชายรองสกุลหลัวแล้วดึงกางเกงเขาลงทำให้คนเห็นปานที่บั้นท้ายเขาจนเรื่องเมื่อปีที่แล้วถูกยกมาพูดอีก ทำให้ชื่อเสียงอันสกปรกโสมมบนศีรษะของคุณชายสามสกุลหลัวถูกชะล้างออกไป
หลัวเทียนเฉิงจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่ง พลางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “บังเอิญกับจำเป็น บางคราก็มีเพียงแค่เส้นบางๆ กั้นอยู่เท่านั้น แล้วเหตุใดต้องไปใส่ใจด้วยเล่า แค่จำไว้ว่าคนเราทำอันใด สวรรค์ต่างเฝ้ามองอยู่ก็พอแล้ว”
เจินเมี่ยวสบตากับเขา เมื่อเห็นแววตาอันเจิดจ้ากระจ่างใสไร้สิ่งเจือปนนั้นขยับเข้ามาใกล้ นางพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว แล้วหลับตาลงช้าๆ จึงสัมผัสได้ถึงจุมพิตแผ่วเบาดุจแมลงปอบินโฉบผิวหน้าที่หน้าผากตน ตามด้วยผ้าม่านสีขาวนวลที่เลื่อนปิดลง ขังให้คนทั้งสองอยู่ในสวรรค์น้อยๆ ที่แสนเล็กแคบทว่าสะอาดบริสุทธิ์ยิ่ง
พริบตาก็มาถึงวันประกาศผลสอบ บ่าวไพร่ในจวนกั๋วกงต่างไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้เลย แต่เจินเมี่ยวกลับสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ นางกำชับให้สาวใช้น้อยออกจากจวนไปสอบถามข่าวคราวมา
ไม่นานเชวี่ยเอ๋อร์ก็กลับมารายงานด้วยสีหน้าเบิกบาน “ต้าไหน่ไหน่ คุณชายเจี่ยงสอบได้อันดับหนึ่งคือฮุ่ยหยวนเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” เจินเมี่ยวมีสีหน้าตกใจระคนยินดี “พี่เจี่ยงสอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับเมืองคือเจี่ยหยวน หากการสอบต่อหน้าพระที่นั่งยังสอบได้อันดับหนึ่งอีก เช่นนั้นก็กับสอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามรอบซึ่งพบเห็นได้น้อยมากในรอบร้อยปี!”
เมื่อนางสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงรีบถามว่า “แล้วพี่ใหญ่ข้าเล่า”
รอยยิ้มของเชวี่ยเอ๋อร์พลันสะดุดไป เสียงที่เอ่ยก็แผ่วลง “ไม่เห็นชื่อของคุณชายใหญ่เจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าคนที่ไปดูรายชื่อผู้สอบผ่านอาจจะดูคลาดเคลื่อนไปก็ได้เจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากเมื่อรู้ว่าเจินฮ่วนสอบไม่ผ่าน แต่ก็ปรับอารมณ์ให้กลับมาปกติได้อย่างรวดเร็ว นางจึงเอ่ยกำชับกับไป๋เสาว่า “เตรียมของขวัญแสดงความยินดีให้เรียบร้อยแล้วส่งไปที่จวนปั๋ว”
การสอบชุนเหวยนั้นมิได้ง่ายอย่างที่ทุกคนคิด มีคนมากมายที่สอบกระทั่งหนวดเคราขาวก็ยังสอบมิได้ ยามนี้เจินฮ่วนเพิ่งยี่สิบปีเท่านั้น การสอบไม่ผ่านกลับเป็นเรื่องธรรมดา บุคคลที่สอบผ่านการสอบระดับเมืองหลวงทั้งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบเช่นเจี่ยงเฉินและบุตรชายคนเล็กของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่นั้นนับเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น
ครั้นคุณชายรองสกุลหลัวที่ขังตนเองอยู่ในห้องไม่พูดจาได้ยินข่าวว่าเจี่ยงเฉินสอบได้อันดับหนึ่ง ก็หยิบหมอนขึ้นมาขว้างลงพื้นโดยแรง
นางเถียนที่มาเยี่ยมคุณชายรองเสมอในระยะสองสามวันนี้จึงรีบเข้าไปห้ามเขาไว้ “เจ้ารอง เหตุใดต้องทุกข์ใจเพียงนั้น เจ้าแค่ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รออีกสามปีค่อยสอบใหม่ก็ได้ เจ้าอายุยังน้อยนัก”
คุณชายรองมองนางเถียนคราหนึ่ง แล้วแค่นยิ้มออกมา “ไม่มีทางๆ ท่านแม่ ท่านไม่เข้าใจ เกิดเรื่องเช่นนี้แล้ว ต่อไปลูกจะมีหน้าไปเข้าร่วมการสอบอีกได้อย่างไร!”
นางเถียนรีบกอดปลอบใจเขาทันที “แล้วอย่างไร ผู้ใดจะไปจำเรื่องที่ผ่านไปถึงสามปีได้กันเล่า”
คุณชายรองผลักนางเถียนออก แล้วยิ้มเศร้าสร้อย “ยามปกติคงจำไม่ได้ แต่เมื่อถึงยามสอบ ขอเพียงข้าปรากฏตัวขึ้น คนก็จะจำได้ขึ้นมาทันที แม้ข้าจะเข้าร่วมสอบจริงๆ กรรมการตัดสินคงไม่มีทางให้คะแนนสูงๆ กับข้าแน่!”
คนที่ชื่อเสียงเสื่อมเสียเช่นนี้แล้ว เขาต้องเก่งกาจกว่าผู้อื่นอย่างมากจึงสามารถได้คะแนนเท่ากับผู้อื่น ทว่าทุกการสอบครั้งสำคัญนั้นล้วนคัดเลือกเพียงหนึ่งเดียวในจำนวนคนมีความสามารถมากมายที่มายืนเบียดเสียดกันบนสะพานไม้แห่งนี้ แล้วเขาจะเอาอันใดไปโดดเด่นเก่งกาจกว่าผู้อื่นเล่า
“ฮูหยิน…” สาวใช้ผู้หนึ่งเดินซอยเท้าเข้ามา นางมองคุณชายรองคราหนึ่งแล้วกลับไม่ยอมเอ่ยวาจาออกมา
“มีอันใด” นางเถียนเลิกคิ้วถาม
“คุณชายสามกลับมาแล้วไปน้อมทักทายท่านที่เรือนซินหยวน แต่มิเห็นท่านจึงกลับเรือนไปดูซานไหน่ไหน่ก่อน คุณชายให้บ่าวมาเรียนท่านว่าอีกประเดี๋ยวค่อยกลับมาน้อมทักทายท่านเจ้าค่ะ”
นางเถียนยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใด คุณชายรองกลับพลิกตัวลงจากเตียงแล้วเดินออกไปด้านนอกทันที
“เจ้ารอง จะไปที่ใดหรือ” นางเถียนรีบตามไปทันที แต่น่าเสียดายที่คุณชายรองเดินรุดไปดุจบินได้โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ไม่นานก็ทิ้งห่างจากนางเถียนไปไกลแล้ว
ตอนที่คุณชายสามไปที่เรือนฮั่นต้าน เจินเมี่ยวก็อยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงอึ้งไปเล็กน้อย ทั้งรู้สึกสึกยินดีทั้งรู้สึกประหม่า แต่ก็รีบเอ่ยทักทายและทำความเคารพทันที “พี่สะใภ้ก็อยู่ด้วยหรอกหรือ”
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ได้ยินท่านย่าบอกว่าน้องสะใภ้สามมีอาการแพ้รุนแรงยิ่ง ข้าจึงทำอาหารมาให้นางลองทานดู”
“ทำให้พี่สะใภ้ต้องเป็นห่วงแล้ว” คุณชายสามชำเลืองมองเถียนเสวี่ยคาหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้านางดูดีไม่น้อยจึงวางใจลง ตอนที่ทราบว่าตนจะเป็นพ่อคนแล้วเขาก็ตื่นเต้นไม่น้อยเลย
“เอาล่ะ ยากนักที่น้องสามจะได้กลับมา ข้าไม่รบกวนแล้ว” เจินเมี่ยวลุกขึ้น แล้วเอ่ยห้ามคุณชายสามและเถียนเสวี่ยมิให้ไปส่งตน “ใกล้เพียงเท่านี้ ทั้งข้าก็มาออกบ่อย มิจำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก”
นางโบกมือแล้วเดินออกไปด้านนอก แต่ประตูก็พลันถูกเตะออกทันใด คนผู้หนึ่งพุ่งเข้าชนจนนางเซถลาไปเล็กน้อย
คุณชายสามรีบพุ่งเข้าไปประคองเจินเมี่ยวไว้ทันที “พี่สะใภ้ เป็นอันใดหรือไม่”
เขาถลึงตาจ้องคนที่พุ่งเข้ามาด้วยโทสะ แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “คุณชายรองสกุลหลัว เจ้าเป็นบ้าอันใดกัน” ภายใต้ความโกรธกรุ่นนี้เขาไม่ยอมเรียกแม้กระทั่งคำว่าพี่รอง
คุณชายรองจ้องคุณชายสามนิ่ง ผู้ใดไม่รู้คงคิดว่าเขามีความแค้นสังหารบิดา แย่งชิงภรรยากับคุณชายรองเป็นแน่
“คุณชายสามสกุลหลัว ที่ข้าเป็นเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าทั้งสิ้น!” คุณชายรองพุ่งเข้ามาต่อยตีคุณชายสามอย่างไม่ลืมหูลืมตา
หากคืนนั้นคุณชายสามไม่ไปอาละวาดเขา แล้วจะมีข่าวลือเช่นนั้นออกมาในภายหลังได้อย่างไร!