ซีเหมินจินเหลียนมองไปรอบด้านและถามขึ้นว่า “ที่นี่คือที่ไหน?”
สีหน้าที่แสดงออกมาของสวี่อี้หรานนั้นค่อนข้างผิดแปลกไป เป็นอย่างนี้อยู่นานเขาถึงได้พูดว่า “ผมเองก็ไม่รู้”
“คุณไม่รู้ แล้วคุณขับรถมาถึงที่นี่ได้ยังไง?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างแปลกใจ
สวี่อี้หรานคิดแล้วคิดอีก ถึงได้พูดขึ้นว่า “ถ้าผมรู้ นั่นก็คงไม่เรียกว่าหลงทางแล้ว อีกอย่าง…”
“อีกอย่างอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะร้องหรืออย่างไรดี
“ถ้าผมบอกแล้วคุณก็ห้ามตีผมนะ!” สวี่อี้หรานพูด
“ฉันไม่ได้เป็นคนใช้ความรุนแรงสักหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูดขึ้น
“เอ่อ…ถ้าผมรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ผมก็คงขายคุณแล้ว” สวี่อี้หรานพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม
จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่า แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนชอบใช้ความรุนแรง แต่ตอนนี้เธอก็อยากจะกระชากคอแล้วฟาดเขาสักฉาก ท่าทางที่จริงจังของเขานี่มันหาเรื่องกันชัดๆ
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้จะเอายังไง? พวกเราคงไม่ได้จะอยู่ที่นี่ทั้งคืนหรอกใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนมองไปทั่ว บริเวณนี้ไม่ได้อยู่ในเขตชุมชน น่าจะเป็นแถวชนบท เขาขับรถยังไงถึงมาที่นี่ได้? เธอเพียงแค่นอนไปไม่กี่ตื่นเท่านั้น แต่เขาก็กลับก่อเรื่องใหญ่ซะแล้ว?
สถานที่แบบนี้หาที่พักนอนคงยาก!
“คืนนี้นอนที่นี่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” สวี่อี้หรานเผยท่าทางไร้ความกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นท่าทีของเขาแบบนี้ก็เหมือนเขาจะคิดว่าการหลงทางเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปเฉกเช่นกับการกินข้าว
ซีเหมินจินเหลียนลอบถอนหายใจออกมาบางเบา เธอไม่ใช่คุณหนูตระกูลสูงส่ง คืนนี้พักที่นี่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ปัญหาก็คือเขาต้องรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหนสิ?
คิดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า เธอคิดจะโทรหา…แต่ชั่วขณะที่มือกุมโทรศัพท์ไว้นั้น เธอก็กลับนิ่งอึ้งไป เวลานี้เธอจะโทรหาใครดีล่ะ หรือว่าโทรหาใครถึงจะช่วยเธอได้
“คุณลองโทรศัพท์ถามสิว่าที่นี่คือที่ไหน!” ซีเหมินจินเหลียนมองไปทางสวี่อี้หรานและพูดขึ้น
“ผมไม่มีเพื่อนที่หยางโจว!” สวี่อี้หรานบ่นพึมพำ
“โทรหาเพื่อนของคุณไง ไม่ต้องอยู่ที่หยางโจวก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“ผมมีเพื่อนแค่คนเดียว” สวี่อี้หรานยกนิ้วมือขึ้นหนึ่งนิ้วและพูดจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็โทรหาเขาสิ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด อย่างน้อยก็ดีกว่าที่ทั้งคู่จะนั่งนิ่งอยู่บนรถแบบนี้
“แต่ผมคิดว่า โทรหาเธอไปก็ไม่มีประโยชน์…” สวี่อี้หรานบ่นพึมพำ
“ทำไมล่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ “เพื่อนของคุณก็เป็นคนไม่รู้ทางเหรอ?”
“เพราะว่าเขาก็หลงทางเหมือนกัน…” สวี่อี้หรานมองไปที่ซีเหมินจินเหลียนอย่างเกรงกลัว เธอคงไม่โกรธจนทุบตีเขาหรอกนะ? ได้ยินว่าผู้หญิงในเมืองชอบใช้ความรุนแรง
ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็ได้สติกลับมา เพื่อนที่เขาพูดถึง ที่แท้ก็คือเธอสินะ ความจริงถ้าโทรศัพท์หาเธอจริงๆ มันก็ไม่มีประโยชน์สักนิด
โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นสายจากจ่านป๋าย เฮ้อ…ถ้าจ่านป๋ายอยู่ด้วยก็คงจะดี อย่างน้อยก็คงไม่หลงทาง ในใจได้แต่คิดและรีบกดปุ่มรับสาย
“จินเหลียน สวัสดีครับ!” จ่านป๋ายพูดด้วยน้ำเสียงรื่นหูผ่านมาทางโทรศัพท์
“ทางคุณคงจะเช้าแล้วใช่ไหม?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ครับ ประมาณนั้น…” จ่านป๋ายยิ้ม “คุณถึงหยางโจวแล้วใช่ไหม? นอนพักที่โรงแรมไหน”
“เปล่าค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเฝื่อน หยางโจวเหรอ ตอนนี้เธอยังหลงทางอยู่เลย
“เกิดอะไรขึ้น?” จ่านป๋ายตกใจ รีบถามขึ้นอย่างร้อนรน “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่…หลงทางน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ “หมอมองโกลคนนั้น เหมือนจะมาผิดทาง”
“ถ้างั้นตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ทำยังไงดีล่ะ?” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างร้อนรน ในเมื่อเธอหลงทางแล้วจะไม่เป็นอะไรได้อย่างไร?
“ฉันปลอดภัยดี ไม่เป็นอะไร แค่หลงทางเท่านั้นเอง เดี๋ยวค่อยหาคนแล้วถามทางเอาก็ได้ คุณวางใจเถอะ!” ซีเหมินจินเหลียนรีบพูด
“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน” จ่านป๋ายกระวนกระวายถามขึ้นอีกครั้ง
“ฉันเองก็ไม่รู้” ซีเหมินจินเหลียนตอบไปตามตรง
“ให้หมอมองโกลคนนั้นมาคุยกับผมหน่อย” จ่านป๋ายรีบพูดขึ้น
“เขายิ่งไม่รู้มากกว่าฉันอีก” ซีเหมินจินเหลียนปฏิเสธคำขอร้อง สวี่อี้หรานก็เลอะเลือนเกินไป คาดหวังในตัวของเขาก็ไม่สู้หวังพึ่งตัวเองดีกว่า ควรจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่าหมอมองโกลคนนี้พึ่งพาไม่ได้
“คุณให้เขามาพูดเถอะ ผมก็แค่จะถามเขาไม่กี่ประโยค” จ่านป๋ายถอนหายใจอย่างลุ่มลึก บอกกับตัวเองอยู่เงียบๆ ว่า ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไร ซีเหมินจินเหลียนก็แค่หลงทางเท่านั้น
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มๆ ก่อนจะส่งโทรศัพท์ไปให้สวี่อี้หรานพร้อมพูดว่า “เขาจะพูดกับคุณ…”
“หมอมองโกล คุณฟังนะ…” จ่านป๋ายพูดแหกปาก
“ผมไม่ใช่หมอสัตว์…” สวี่อี้หรานยังคงยืนกรานคัดค้าน ซีเหมินจินเหลียนชอบเรียกเขาว่าหมอ สัตวแพทย์ก็ไม่เป็นไร แต่คนอื่นจะมาเรียกแบบนี้ไม่ได้ เขาเป็นหมอนะ!
“หุบปาก!” จ่านป๋ายก่นด่า “รอบๆ ตัวของคุณพอจะมีสถานที่อะไรที่สะดุดตาบ้างไหม”
“อ้อ?” สวี่อี้หรานรีบยื่นหน้าออกไปดูนอกหน้าต่าง สีหน้าจริงจังพูดขึ้นว่า “ข้างหน้าผมไม่ไกลออกไปมีทุ่งข้าวสาลีผืนกว้างใหญ่ ข้าวเติบโตได้ดีในพื้นดินที่มีเสาไฟฟ้าแรงสูง…”
ซีเหมินจินเหลียนอยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ยังคงแอบฟังเขาคุยโทรศัพท์ว่าจ่านป๋ายจะด่าอะไร
“ไม่มีอย่างอื่นแล้วเหรอ?” จ่านป๋ายคิดว่าโชคดีที่ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงยับยั้งอารมณ์โกรธที่มีอยู่ในตัวไม่ไหว แล้วตะบันหน้าเขาสักฉาด “คุณออกไปดูรอบๆ ว่ามีสถานที่อะไรเป็นจุดสังเกตบ้าง อย่ามัวพูดแต่เรื่องท้องดินที่นาไร้สาระอะไรนี่”
“โอ้ โอเค คุณก็อย่าดุขนาดนั้นได้ไหมล่ะ…” สวี่อี้หรานบ่นเขา “ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลงทางสักหน่อย…”
เขาพูดจบก็กำลังจะเปิดประตูเดินออกไปดู ในเวลานี้เองโทรศัพท์บนตัวเขาก็ดังขึ้นมา สวี่อี้หรานหยิบขึ้นมาดูแล้วส่งไปให้ซีเหมินจินเหลียนให้เธอช่วยรับสายให้เขา จากนั้นก็เปิดประตูรถลงไปสำรวจดูสถานที่แถวนี้
ซีเหมินจินเหลียนกดปุ่มรับสาย ในโทรศัพท์ได้ยินเสียงของผู้ชายวัยกลางคนที่เมื่อวานโทรมาหาเขา “อี้หราน!”
“สวัสดีค่ะคุณสวี่” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้นพร้อมฝืนหัวเราะน้อยๆ
ชายวัยกลางคนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจึงถามขึ้นว่า “คุณเป็นใคร?”
“ฉันคือเพื่อนของหมอมอง…เอ่อ สวี่อี้หรานค่ะ พวกเรากำลังเดินทางไปหยางโจวด้วยกัน แต่ว่าตอนนี้เกิดหลงทางเข้า” ซีเหมินจินเหลียนกัดลิ้นตัวเอง เกือบจะพูดว่าหมอมองโกลออกไปแล้ว ดีที่กลับคำได้ “เพื่อนของฉันกำลังคุยสายกับเขาเพื่อหาตำแหน่งของพวกเราอยู่ค่ะ”
“ไม่น่าล่ะ ผมก็ว่านานแล้วทำไมถึงยังไม่ถึงหยางโจวอีก ที่แท้ก็เกิดเรื่องขึ้นนี่เอง! เด็กคนนี้…ผมบอกว่าให้คนขับรถมารับเขา เขาก็ไม่ฟัง บอกว่าจะพาผู้หญิงไปด้วย ไหนจะพูดว่าทั้งชีวิตของเขาไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนนั่งรถเบนซ์นี้อีก เฮ้อ…” ชายวัยกลางคนพูด
ซีเหมินจินเหลียนอึดอัดใจ สวี่อี้หรานที่น่าตายนั่น พูดบ้าบออะไรของเขากัน? ที่แท้ภายนอกของชายคนนี้ที่ดูใสซื่อ แต่ในใจก็มีปีศาจร้ายแฝงอยู่ในนั้น!
“คุณมีใบขับขี่ไหม?” ชายวัยกลางคนถามขึ้น
“มีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรีบร้อนตอบ
“คุณขับรถไปที่ไหนก็ได้ เมื่อถึงในเมืองแล้วก็หาคนขับรถแท็กซี่สักคน ให้เขานำทางพวกคุณไปที่หยางโจวก็พอ หลังจากนั้นก็ให้เงินเขาไปสองเท่า แค่นี้ก็มีแต่คนพร้อมจะนำทางพวกคุณไปแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด “อี้หรานไม่มีใบขับขี่ ถ้าหากในเมืองมีตำรวจมาตั้งด่านตรวจจะลำบาก”
“เขา…ไม่มีใบขับขี่เหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง เขาไม่มีใบขับขี่แล้วกล้ามาขับรถบนทางด่วนไปหยางโจวเนี่ยนะ? จะกล้าไปถึงไหนกัน
“ผมเคยทำใบขับขี่ให้เขา แต่เขาบอกว่า…เขาขี่จักรยาน ไม่ต้องใช้ใบขับขี่…” น้ำเสียงของชายวัยกลางคนสื่อให้เห็นถึงความลำบากใจไร้หนทาง ไม่นานถึงพูดขึ้น “หรือไม่พวกคุณก็หาที่อยู่สักที่ จากนั้นผมค่อยส่งคนไปรับพวกคุณเป็นอย่างไร?”
“คุณสวี่ ฉันว่าคุณคุยกับลูกคุณเองเถอะค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนเห็นอี้หรานกำลังเดินเข้ามาทางนี้จึงเรียกให้เขามา
“ไม่ต้องหรอก พูดกับเขาไปก็ไม่เข้าใจ นับถือเพื่อนของคุณจริงๆ ตอนนี้เขาก็รู้แล้วใช่ไหมว่าพวกคุณอยู่ตรงไหน?” ชายวัยกลางคนถาม
ซีเหมินจินเหลียนยิ่งอึดอัดใจ จ่านป๋ายรู้ว่าเธอไม่คล่องเรื่องแผนที่ถนนหนทางเลยเรียกหาสวี่อี้หราน ตอนนี้ดูแล้วว่าคนคนนี้…เหอะๆ ก็พึ่งพาอะไรไม่ได้
“คุณซีเหมิน เพื่อนของคุณดุจัง พวกคุณพูดกันเองเถอะ ผมคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง!” สวี่อี้หรานส่งโทรศัพท์ยื่นกลับมาให้เธอ
ซีเหมินจินเหลียนก็รีบนำโทรศัพท์ของเขาส่งไปให้และให้พ่อลูกคุยกันเอง
“จินเหลียน หมอมองโกลคนนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย บนรถของพวกคุณมีจีพีเอสไหมครับ” จ่านป๋ายถาม
“ถ้ามี พวกเราคงไม่ลำบากแบบนี้หรอก” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเฝื่อน “เสี่ยวป๋าย คุณไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวพวกเราก็หาวิธีได้เอง ฉันก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่มีอะไรหรอก พอถึงหยางโจวแล้วฉันจะโทรหาคุณ” เมื่อสักครู่ความคิดของพ่อหมอมองโกลคนนั้นไม่เลวเลย หาบ้านคนและให้คนขับรถนำทางไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ขอแค่ให้เงินไปมากหน่อยก็ได้แล้ว
…
เลี่ยวก่วงเฝ้าสังเกตพวกเขาอยู่ตั้งนานก็ไม่เข้าใจ พวกเขาสองคนจะขับรถมาทำอะไรที่นี่? หรือว่าอยากมาสัมผัสชีวิตชนบท? แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่นะ?
เฮ้อ…ชีวิตคนมีเงิน ก็เข้าใจยากจริงๆ
แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปถามอยู่ดี กำชับให้ลูกน้องอายุราวๆ ยี่สิบขับรถเข้าไปอย่างระมัดระวัง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาว่าเขาสะกดรอยตาม อาชีพตำรวจอาชญากรรมของเขาคงจบเห่แน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากจะเข้าไปดูอยู่ดี
“คุณสองคนมีอะไรให้ช่วยไหมครับ” เลี่ยวก่วงสองมือกอดอก มองไปทางรถเบนซ์แล้วยิ้มออกมา “โอ้…คุณซีเหมินนี่เอง? เกิดอะไรขึ้นครับ หรือว่าอยากมาสัมผัสชีวิตชนบท?” แน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกตัวบอกพวกเขาก่อนว่าเขาตามมา เพราะฉะนั้นแกล้งทำเป็นเจอโดยบังเอิญจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
“สวัสดีครับคุณ!” สวี่อี้หรานถาม “ไม่ทราบว่าหยางโจวไปทางไหนหรือครับ”
หยางโจว? ที่แท้พวกเขาก็จะไปหยางโจวหรอกเหรอ แต่พวกเขาก็มาผิดทางแล้ว อีกทั้งยังผิดอย่างไม่น่าให้อภัยด้วย…
“พวกคุณมาผิดทางแล้วล่ะครับ” เลี่ยวก่วงส่ายศีรษะพูด
“ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลงทาง” สวี่อี้หรานบ่นพึมพำ
“ผมขับรถให้พวกคุณแล้วกัน!” เลี่ยวก่วงถอนหายใจออกมา ถึงเขาจะบอกทางที่ถูกให้ แต่คิดว่าสวี่อี้หรานก็คงไปผิดทางอยู่ดี ดูจากการที่เขาขับรถแล้ว อ้อมประเทศไปทั่วก็ยังไม่รู้ว่าจะถึงเมืองหยางโจวหรือเปล่า
สวี่อี้หรานคิดไปมาอยู่หลายครั้งถึงพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม “พวกเราจะเชื่อใจคุณได้อย่างไร ถ้าพวกคุณเป็นคนเลวล่ะจะทำอย่างไร?”
ซีเหมินจินเหลียนไม่พูดอะไร เวลานี้อดไม่ได้ที่จะฝืนกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้ออกมา ให้ตายเถอะ! คนคนนี้ก็จะตลกเกินไปแล้ว