ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมาก็เห็นว่า ถ้าหากขับรถไปเองก็น่าจะสะดวกไม่น้อย อย่างน้อยออกไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องเรียกรถ แต่ปัญหาก็คือทักษะในการขับรถของเธอไม่ได้ดีนัก อีกทั้งยังไม่รู้จักถนนหนทางอีก
“ฉันไม่รู้จักทางหรอก” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “อีกอย่างฉันก็ขับรถไม่แข็งด้วย”
“จินเหลียน คุณจะไปทำอะไรที่หยางโจวหรือครับ” หลินเสวียนหลานถามหยั่งเชิงขึ้น
“ไปเที่ยวค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนไม่อยากบอกเขาว่าเธอไม่หยางโจวทำไม เพราะว่าคุณปู่ของเขากับคุณเฉาที่เมืองหยางโจวมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
“อ้อ…” หลินเสวียนหลานไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะถามกลับ “คุณยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ส่วนมากจ่านป๋ายจะเป็นคนจัดเตรียมอาหารเช้าให้กับเธอ หลายวันมานี้ที่เขาไม่อยู่บ้าน เธอตื่นนอนแล้วยังขี้เกียจลุกขึ้นออกไปไหน แน่นอนว่าทำให้ไม่ได้กินข้าวเช้าไปโดยปริยาย ส่วนตอนกลางวันก็หุงข้าวกินเอง ทำเมนูซุปไข่ง่ายๆ เมนูหนึ่ง พอถึงตอนกลางคืนถ้าหากไม่ออกไปไหน เธอก็กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปค่อนข้างมาก
“คุณซีเหมิน ถ้าตอเช้าคุณไม่กินอาหารเช้าจะปวดท้องเอาได้นะครับ นี่ก็ไม่ใช่วิธีดูแลตัวเองที่ดีเลย นอกจากนี้การที่ไม่กินข้าวเช้า อาจจะทำให้คุณกินข้าวเที่ยงมากขึ้น หากได้รับพลังงานมากเกินไปและไม่ได้รับการเผาผลาญที่ดีก็จะทำให้คุณอ้วน และมันจะเป็นอุปสรรคของความสวยของคุณ!” สวี่อี้หรานพูดขึ้นอย่างจริงจัง “คุณน่าจะเชิญเชฟมาทำกับข้าวให้นะ”
หลินเสวียนหลานไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแต่รีบเดินตรงเข้าไปในครัว
“คุณซีเหมิน พวกเราก็กินข้าวเช้ากันก่อนแล้วค่อยไปเมืองหยางโจวกัน ผมก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว!” สวี่อี้หรานเข้าใกล้เธอพร้อมยิ้มทักทาย
“ถ้าหากจะขับรถไปก็ไปตอนบ่ายแล้วกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ถึงจะขับช้า แต่ตอนพลบค่ำก็น่าจะถึง พอดีกับหาที่พักค้างแรม ว่าแต่คุณขับรถเป็นเหรอ?”
“ขับเป็นสิ ขนาดรถแทรกเตอร์ผมยังขับเป็นเลย” สวี่อี้หรานพูดขึ้น
“คุณรู้ทางเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอีกครั้ง
“ซื้อเครื่องติดตั้งจีพีเอสก็ได้แล้ว!” หลินเสวียนหลานออกมาจากในครัวพร้อมกับน้ำเต้าหู้ที่เพิ่งทำร้อนๆ ก่อนส่งมาให้ซีเหมินจินเหลียน “ถ้าคุณจะไป ผมไปส่งคุณก็ได้ เพราะยังไงช่วงนี้ที่บริษัทก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร”
“ผมรู้ทาง!” สวี่อี้หรานพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม
พอได้ยินสวี่อี้หรานพูดอย่างนั้น หลินเสวียนหลานก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาหันกลับเข้าไปทอดไข่ในครัว ในใจสงสัยไม่หยุด ซีเหมินจินเหลียนไปทำอะไรที่หยางโจว หรือว่าเป็นเรื่องที่คุณปู่พูด? เขาควรจะแจ้งให้คุณปู่ทราบสักหน่อยดีหรือเปล่า?
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ ตอนบ่ายเราออกเดินทางกัน” ซีเหมินจินเหลียนพูด
สวี่อี้หรานพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตอนบ่ายผมจะมารับคุณนะ”
“นั่นดอกกุหลาบอะไรคะ” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่แจกันดอกไม้ที่ข้างในปักด้วยดอกกุหลาบ เมื่อมองดูก็คล้ายสีม่วง แต่ความจริงก็ไม่คล้าย สีดูออกไปทางสีดำ แต่อ่อนกว่าดำหน่อย แต่ไม่ใช่สีม่วงอย่างแน่นอน
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” สวี่อี้หรานปัดมือพูด “วันนี้ตอนเช้าเห็นมันบานออกสวยดีเลยตัดเอามาให้คุณ นี่เป็นดอกไม้ที่ได้มาจากการทาบกิ่งในช่วงนี้ เป็นไง คุณชอบไหม”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มออกมา เธอไม่สนว่าเขาจะทำการทาบกิ่งอย่างไร เธอมีอะไรมาเสียบแจกันดอกไม้ก็ถือว่าดีแล้ว ที่เหลือไม่สำคัญ เดิมทีเธอเพียงแค่สงสัยว่าดอกกุหลาบสีแบบนี้ เธอก็ไม่เคยเห็นร้านดอกไม้ที่ไหนขายมาก่อน ที่แท้ก็เป็นสมบัติส่วนตัวของตระกูล
“ดอกไม้บ้านคุณขายหรือเปล่า” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย ถ้าหากคนคนนี้ขายดอกไม้สมุนไพรเกรงว่าคงต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นแน่ๆ
“ไม่ขายหรอก ถ้าผมเอาดอกไม้ไปขาย พ่อผมคงเอาเรื่องผมแน่!” สวี่อี้หรานคิดเล็กน้อยถึงได้พูดขึ้น
ซีเหมินจินเหลียนยิ้มและไม่ได้ถามอะไรอีก เมื่อเห็นหลินเสวียนหลานถือจานไข่ดาวเข้ามาจึงพูดขึ้นว่า “คุณอย่าเดินไปเดินมาเลยค่ะ มากินข้าวด้วยกันเถอะ”
“ผมกินข้าวเช้ามาแล้วครับ พอคุณกินเสร็จผมช่วยคุณล้างจานเอง” หลินเสวียนหลานพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันทำเอง!” ซีเหมินจินเหลียนรีบพูด แม้ว่าที่บ้านของเธอจะไม่เหมาะในการจ้างแม่บ้านมา แต่เธอก็ไม่สามารถให้หลินเสวียนหลานมาทำได้ เขาเป็นถึงคุณชายมาจากตระกูลใหญ่ ให้เขาทำอะไรแบบนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี
“คุณมาหาฉันมีธุระอะไรหรือคะ” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไร หลินเสวียนหลานก็จะไม่ค่อยเข้ามาหาเธอก่อน
“ช่วงนี้ผมออกแบบหยกมาหลายสไตล์เลย ก็เลยเอามาให้คุณดูน่ะ!” หลินเสวียนหลานพูดจบก็หยิบแฟลชไดรท์ส่งมาให้ซีเหมินจินเลียน
“อ้อ?” ซีเหมินจินเหลียนยังไม่ทันได้พูดอะไร สวี่อี้หรานก็แย่งมันมาพร้อมพูดขึ้น “ผมขอดูหน่อย” พอพูดจบก็ถามซีเหมินจินเหลียนว่าคอมพิวเตอร์อยู่ไหน
ซีเหมินจินเหลียนมองหลินเสวียนหลานที่ส่งแฟลชไดรท์มาให้ ในใจก็เต้นแรงน้อยๆ ถ้าหากเป็นแค่แผ่นกระดาษ เขาส่งอีเมล์มาให้เธอก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องมาหาเธอถึงที่ ไหนจะซื้อดอกไม้มาอีก?
“คอมพิวเตอร์อยู่ที่ห้องทำงาน เดี๋ยวค่อยดูแล้วกันค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น แต่ก่อนตอนที่จ่านป๋ายอยู่ เขาก็ใช้โน้ตบุ๊ค ส่วนเธอก็ชอบใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ดังนั้นห้องรับแขกชั้นล่างจึงไม่ได้ติดตั้งคอมพิวเตอร์ไว้
“จินเหลียน ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนแล้วกันครับ ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว” หลินเสวียนหลานลุกขึ้นบอกลาและถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“โอเคค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่งเขาที่หน้าประตู ส่วนหลินเสวียนหลานก็เหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่กล้ำกลืนอยู่ในปาก ท้ายที่สุดก็ถามขึ้นมาว่า “คุณจะไปหยางโจวกี่วันครับ อยากให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?” ไม่ง่ายเลยที่เขาจะพูดประโยคนี้ออกมา ในใจของเขารู้สึกเต้นแรง เพราะไม่รู้ว่าเธอจะปฏิเสธเขาไหม
ซีเหมินจินเหลียนคิดทบทวนแล้ว และเธอเลือกที่จะปฏิเสธออกไปดีกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ไปเที่ยวเฉยๆ ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว” ถ้าหากแค่เที่ยวเล่นก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เป้าหมายของเธอคือราชาหยก และอาจจะต้องไปเผชิญหน้ากับคุณเฉาด้วย แต่ตระกูลหลินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณเฉามาโดยตลอด เธอกลัวว่าคนกลางอย่างเขาจะทำตัวลำบาก
หลินเสวียนหลานพยักหน้าและลอบถอนหายใจออกมา พร้อมหันหลังขับรถจากไป ทำไมเธอถึงยอมไปหยางโจวกับคนแปลกหน้า แต่ไม่เลือกที่จะไว้ใจเขานะ?
ซีเหมินจินเหลียนเดินไปที่ห้องรับแขก สวี่อี้หรานก็ทำหน้านิ่วแล้วถามว่า “หลินเสวียนหลานเหรอ?”
“คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“แน่นอนว่าไม่รู้จัก” สวี่อี้หรานยิ้มแย้ม
“ถ้าอย่างนั้นคุณรู้ได้อย่างไร คุณคงไม่ได้สืบหาประวัติแม้กระทั่งบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตรของฉันหรอกนะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น สำหรับการกระทำของเขานั้น เธอพอจะเข้าใจได้และคุ้นชินไปแล้ว
สวี่อี้หรานยิ้ม “ตาแก่ที่บ้านผมก็ว่างเกินไป คุณอย่าใส่ใจเลย”
“หมอที่อาวุโสแบบพ่อของคุณยังมีงานอดิเรกแบบนี้ด้วยเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถามไร้อารมณ์
สวี่อี้หรานได้แค่ยิ้ม เรื่องนี้อธิบายให้เข้าใจได้ยาก “งูในหินของคุณยังอยู่ดีไหม”
ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึงเล็กน้อย ไม่นานก็เรียกสติกลับคืนมา เขาถามถึงหยกราชางู “ทำไมถึงจะอยู่ไม่ดีล่ะ มันก็มีชีวิตอยู่มาตั้งนานขนาดนั้น!”
“ก็ถูกของคุณ อยู่มาตั้งนานขนาดนั้น จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่บ้างนะ โดยเฉพาะการมีชีวิตอยู่แบบมัน” สวี่อี้หรานพูด “ส่วนมนุษย์เราก็ได้แต่ตามหายาชะลอความแก่อยู่นั่น”
“ถ้าหากคุณไม่มีเรื่องอะไรก็กลับไปให้ฉันได้นั่งพักผ่อนสักหน่อยเถอะ ตอนบ่ายค่อยเดินทาง ฉันไปเก็บกระเป๋าก่อน” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางยิ้มน้อยๆ
สวี่อี้หรานตกปากรับคำ ตอนที่เขาจะเดินออกไปนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็ได้ยินเขาบ่นพึมพำอย่างเต็มสองหูว่า “ผู้หญิงออกนอกบ้านแต่ละทียุ่งยากชะมัด!”
ซีเหมินจินเหลียนกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อจัดกระเป๋า ไปแล้วน่าจะพักอยู่หลายวัน แต่ไม่ต้องเอาของไปเยอะ แค่เสื้อผ้าที่ชอบติดตัวไปสักสองสามตัว ส่วนของอื่นๆ ถึงเวลานั้นค่อยซื้อแล้วกัน!
กระเป๋าของเธอยังจัดไม่เสร็จ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เธอหยิบขึ้นมาก็เห็นว่าเป็นชื่อของจ่านมู่ฮวา คนคนนี้เขาก็ว่างนักหรือไง?
“ฮัลโหล…” ซีเหมินจินเหลียนรับสาย
“ผมอยู่ข้างล่างบ้านคุณ ถ้าคุณไม่ลงมาผมจะพังประตูเข้าไป!” จ่านมู่ฮวาพูดพรวดพราดออกมาทีเดียว
“ถ้าคุณอยากจะพังนักก็พังไปตามสบาย” ซีเหมินจินเหลียนหมดอารมณ์จะพูดแล้ว “เสี่ยวป๋ายบอกว่า ะบบล็อคกุญแจหากถูกทำลายมันจะระเบิดออกมา!”
“เรื่องจริงเหรอ?” จ่านมู่ฮวากระวนกระวายถาม
“ไม่ตายหรอก อย่างมากสุดก็แค่ไฟลุก!” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะร่า ในที่สุดก็เพิ่งรู้ว่าระบบติดตั้งความปลอดภัยของประตูที่ซับซ้อนของจ่านป๋ายก็มีประโยชน์มาก! แต่ปัญหาถัดมาก็คือ เขาคงไมได้จะพังกลอนประตูจริงๆ หรอกใช่ไหม?
“จินเหลียน ผมยืนอยู่หน้าประตูบ้านคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ! ผมจะรอคุณ…” จ่านมู่ฮวาพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร
“รอให้ฉันจัดของเสร็จก่อน ฉันค่อยลงไปเปิดให้คุณแล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น
“ก็ได้!” จ่านมู่ฮวาพยักหน้าลงอย่างเชื่อฟัง เรื่องพังกลอนประตู เขาก็ไม่กล้าทำแล้ว แต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาก็คือซีเหมินจินเหลียนไม่ได้ล้อเขาเล่นจริงๆ ให้เขารออยู่ที่หน้าประตูถึงสิบนาทีเธอจึงลงมาเปิดประตูให้ เมื่อประตูเปิดออก ดอกกุหลาบสดใหม่ก็ยื่นมาที่ข้างหน้าของเธอ
วันนี้มันวันอะไรกันเนี่ย? ซีเหมินจินเหลียนพึมพำในใจ ทำไมใครๆ ถึงให้ดอกกุหลาบเธอ?
“ขอบคุณ” ซีเหมินจินเหลียนรับช่อดอกกุหลาบสีชมพูช่อใหญ่มาพร้อมยิ้มส่ายศีรษะ
“หืม มีคนให้ดอกไม้คุณด้วยเหรอ?” จ่านมู่ฮวาเตรียมตัวจะช่วยเธอเอาดอกไม้ปักใส่แจกัน แต่เห็นว่าบนโต๊ะมีดอกกุหลาบคล้ายสีดำวางไว้อยู่จึงถามขึ้น
“นั่นเป็นดอกกุหลาบสีดำ เป็นของสวี่อี้หรานหมอมองโกลให้ ส่วนดอกกุหลาบสีเหลือง หึ ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย?” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นในทันที
จ่านมู่ฮวายิ้ม “คนที่สามารถมอบดอกกุหลาบสีเหลืองให้ผู้หญิงได้ ก็มีแค่หลินเสวียนหลานเท่านั้นล่ะ!”
“ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?” ซีเหมินจินเหลียนถามแปลกใจ
“ถ้าหากทายไม่ผิด เขาน่าจะเจอกับสวี่อี้หรานเข้าใช่ไหม?” จ่านมู่ฮวาขมวดคิ้วถาม
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนยิ่งสนใจมากขึ้นกว่าเก่า ก่อนถามขึ้นว่า “คุณไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดที่บ้านฉันหรอกใช่ไหม?”
“บ้านคุณแปลกขนาดนี้ ถึงผมจะอยากติดตั้งกล้องแต่ก็คงทำไม่ได้หรอก” จ่านมู่ฮวาไม่ลีลาอีก เขาพูดเข้าประเด็นว่า “เขาก็คือปีศาจคนหนึ่ง ตอนที่ผมมาที่ย่านหลานกุ้ย ผมก็ได้บังเอิญเจอกับเขา คิดว่าเขาคงมาหาคุณ คุณรู้หรือยังว่าใครเป็นคนฆ่าหวังหมิงเหยา?”
“หลินเจิ้ง?” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วถาม
“อืม เป็นเขานั่นล่ะ!” จ่านมู่ฮวายิ้ม “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงมือเอง แต่ถ้าหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากหลินเสวียนหลาน หลินเจิ้งอยากจะฆ่าคนในสถานที่ของผม มันก็ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือไง? หลายวันมานี้เขาก็ไม่กล้ามาเจอคุณ ถึงเวลานี้ไม่ง่ายเลยที่จะปลุกความกล้ามาเจอคุณได้ ฮ่า…แล้วยังจะมาเจอคนอื่นอีก…เท่าที่ผมรู้จักเขามา หลังจากนี้เขาคงไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรแน่”
“คุณยังหวังให้เขาทำอะไรอีกเหรอไง?” ซีเหมินจินเหลียนด่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“มีคนอยากจะจีบคุณไม่ใช่ความผิดของใคร แต่…” พูดถึงเท่านี้ จ่านมู่ฮวาก็ส่ายหน้ายั้งปากไม่พูดต่อ