เลอตู้ลืมตาขึ้นและตกใจกับสิ่งที่เห็น คนที่จับตัวเขาเอาไวคือคนเดียวกันกับที่เขาเพิ่งจะโยนออกไปจากที่นี่
“ทำไมเจ้าถึงกลับมา”
“ข้ากลับมาถามเจ้าว่าทำไมเจ้าถึงช่วยข้าเอาไว้” หานเซิ่นพูด
หานเซิ่นไม่กลัวความชั่วร้าย แต่เขากลัวความเมตตา ถ้าใครบางคนใช้ประโยชน์จากเขา เขาก็จะให้คนๆนั้นต้องชดใช้เป็น 3 เท่า แต่ถ้าเขาเป็นหนี้บุญคุณคน เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนมันยังไง
ในตอนที่หานเซิ่นกำลังจะหนีไป เขาก็รู้สึกตัวได้ถึงความจริงบางอย่าง โล่ป้องกันที่มองไม่เห็นนั้นอาจจะถูกทำลายไปแล้ว แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าที่ขังพวกเขาเอาไว้ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถ้าเขาไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องนั้นได้ การหนีไปก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าโล่ป้องกันล่องหนจะอยู่หรือไม่ ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าคนนั้นคงจะไม่ปล่อยพวกเขาไป
“ช่วยเจ้า? ข้าไม่ได้เป็นคนดีพอที่จะทำอะไรแบบนั้น ข้าแค่ไม่ต้องการให้รางวัลของข้าถูกขโมยไป” เลอตู้พูด
ร่างกายของเลอตู้เต็มไปด้วยบาดแผล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด เขาไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น เขาแค่ดูซีดไปเล็กน้อย
“อย่างนี้นี่เอง” หานเซิ่นพยักหน้า เขาไม่ได้คิดจริงๆว่าเลอตู้จะใจดีพอที่จะช่วยชีวิตเขา คำตอบนี้เป็นอะไรที่สมเหตุสมผล
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ยูนิคอร์นเทียนเซียก็หันหัวมาทางพวกเขาอีกครั้ง มันรู้ว่าเลอตู้กำลังจะตาย มันบินมาหาพวกเขา แต่มันไม่ได้ทำการปลิดชีวิตของเลอตู้ ดูเหมือนว่าเจ้ายูนิคอร์นต้องการสำราญในชัยชนะของมัน
“พวกเรามาทำข้อตกลงกันเป็นยังไง?” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่เลอตู้
“ข้ากำลังจะตาย แบบนั้นพวกเรายังจะทำข้อตกลงแบบไหนได้อีก?” เลอตู้พูด
“ถ้าพวกเราร่วมมือกันฆ่ายูนิคอร์นตัวนี้ได้ พวกเราทั้งคู่ก็จะมีชีวิตรอดกลับไป” หานเซิ่นพูดขณะที่ชี้ไปที่ยูนิคอร์นเทียนเซีย
“พวกเราจะมีชีวิตรอด อย่างน้อยก็สักพักหนึ่ง” เลอตู้ตอบอย่างไร้ความรู้สึก
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าและข้ามาร่วมมือกันฆ่ามัน ถ้าพวกเราทำสำเร็จ เจ้ายินดีจะปล่อยข้าไปไหม?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่เลอตู้
เมื่อได้ยินคำถามของหานเซิ่น ดราก้อนวันก็ขมวดคิ้วด้วยความเย้ยหยัน
“เจ้านี้บ้าไปแล้วหรือยังไง? ทำไมเขาถึงพูดสิ่งที่บ้าบ่อออกมาในเวลาแบบนี้?”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของหานเซิ่นก็มีความคิดที่เหมือนๆกัน เลอตู้บาดเจ็บสาหัสและอยู่ในสภาพปางตาย ถึงแม้หานเซิ่นจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็เป็นแค่ระดับราชันขั้นที่ 2 เขายังห่างไกลจากระดับเทพเจ้า การที่พวกเขาทั้ง 2 คนจะร่วมมือกันเพื่อสังหารสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้านั้นเหมือนกับการที่มด 2 ตัวร่วมมือกันเพื่อโค่นล้มช้างตัวหนึ่ง
“หานเซิ่นเสียสติไปแล้วอย่างนั้นหรอ? นี่เขาคิดจริงๆหรือว่าจะฆ่ายูนิคอร์นเทียนเซียได้น่ะ?”
“นี่มันน่าสมเพช มันพิสูจน์ว่าไม่ว่าใครก็อาจจะกลายเป็นคนที่เสียสติถ้าพวกเขาสิ้นหวังมากพอ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการได้เห็นภาพหลอนของโอเอซิสขณะที่กำลังจะขาดน้ำตายอยู่ท่ามกลางทะเลทราย”
ผู้ชมหลายคนถอนหายใจออกมา การได้เห็นความสิ้นหวังของยอดฝีมือทั้ง 2 เป็นอะไรที่น่าเศร้า ผู้ชมหลายคนรู้สึกเห็นใจพวกเขา
นอกซะจากพวกเขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า พวกเขาก็จะไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้ ยอดฝีมือระดับราชันและครึ่งเทพรู้สึกเข้าใจ ขณะที่พวกเขามองไปที่หานเซิ่นและเลอตู้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับหานเซิ่นและเลอตู้ในวันนี้อาจจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต มันไม่มีอะไรรับประกันว่าพวกเขาจะไม่บังเอิญไปพบกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่โหดร้ายเข้า
“เอาสิ” เลอตู้พยักหน้าขณะที่มองไปที่หานเซิ่น
“นี่มันน่าสมเพช! เลอตู้เป็นคนที่ไร้เทียมทานเมื่อเทียบกับคนอื่นในระดับเดียวกัน เขาเป็นชายที่สังหารอาจารย์ของตัวเอง แต่ตอนนี้เขาตกต่ำถึงขนาดที่ฝากทุกอย่างเอาไว้กับความหวังลมๆแล้งๆอย่างนั้นหรอ?” ดราก้อนวันพูดด้วยความเกลียดชังและดูถูก
โคลเซ่ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเลอตู้มากนัก ถึงแม้เลอตู้จะเข้าร่วมกับเผ่าเดสทรอยเยอร์ แต่เขาก็เป็นคนที่สันโดษโดยธรรมชาติ แถมเขาก็ไม่ใช่หนึ่งในคนของเดสทรอยเยอร์จริงๆ
ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจเลอตู้เป็นอย่างดี แต่เขาก็รู้ว่าใครก็ตามที่สามารถสังหารยอดฝีมือระดับเทพเจ้าได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่มีจิตใจแข็งแกร่ง สภาพจิตใจของเลอตู้ไม่ควรจะเสื่อมถอยถึงขนาดที่พูดอะไรออกมาแบบนั้น
แต่เลอตู้กลับตอบตกลงกับข้อเสนอที่เหลวไหลของหานเซิ่น เห็นได้ชัดว่าจิตใจของเขาไม่ปกติอีกต่อไป และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาฝากความหวังไว้กับบางสิ่งที่บ้าบ่ออย่างนี้
“ความตายเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าคนๆหนึ่งจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน พวกเขาก็จะดูกระจ้อยร่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย” โคลเซ่ถอนหายใจ
เขาเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ถึงแม้เขาจะเป็นระดับเทพเจ้า แต่เขาก็จะต่อสู้จนถึงวาระสุดท้ายเพื่อเอาชีวิตรอด
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง” หานเซิ่นพูดด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง
“เจ้าต้องการจะทำอะไร?” เลอตู้ถามหานเซิ่นด้วยความอยากรู้
จริงๆแล้วเลอตู้ไม่เชื่อว่าหานเซิ่นจะทำสิ่งที่เขาเสนอมาได้ เลอตู้แค่อยากรู้ว่าหานเซิ่นมีแผนจะทำอะไร
ความจริงแล้วเลอตู้อยากรู้เกี่ยวกับหานเซิ่นมาโดยตลอด หานเซิ่นเป็นเหมือนกับคนที่ตรงกันข้ามกับเขา
ชีวิตของเลอตู้ไม่เคยมอบความทรงจำดีๆอะไรให้มองย้อนกลับไป เขานั้นต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
แต่หานเซิ่นนั้นต่างออกไป หานเซิ่นเป็นคนที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีชีวิตต่อไป หานเซิ่นจะใช้ทุกวิธีการที่จำเป็น ซึ่งนั่นรวมถึงการผิดคำสัญญาโดยการพยายามจะหนีไปจากเลอตู้เพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ในจังหวะนี้หานเซิ่นกลับมาช่วยเขาเอาไว้ นั่นทำให้เลอตู้รู้สึกสงสัยว่าจริงๆแล้วหานเซิ่นเป็นคนแบบไหนกันแน่
หานเซิ่นไม่ตอบคำถาม และเขาก็ไม่ได้มองไปที่ยูนิคอร์นเทียนเซียที่ลอยตัวอยู่เหนือพวกเขาราวกับนักรบที่เป็นฝ่ายชนะ
หานเซิ่นช่วยพยุงเลอตู้กลับขึ้นมา เขายื่นมือไปวางบนหน้าผากของเลอตู้ เขาเป็นเหมือนกับนักบวชที่กำลังจะอวยพรให้กับคนอื่น
หานเซิ่นมองไปที่เลอตู้และพูดด้วยเสียงที่สงบนิ่ง
“ข้า…หานเซิ่น…ในนามของเทพทั้งปวง…ขอมอบ…พลังศักดิ์สิทธิ์ชั่วนิรันดร์…กับเลอตู้…เพื่อเปิดประตูแห่งชะตากรรม…”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูดออกมา ดราก้อนวันและโคลเซ่ก็เกือบจะพ่นน้ำชาออกมาจากปาก
ผู้ชมที่มองดูการถ่ายทอดสดอยู่นั้นจ้องมองไปที่หานเซิ่นราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูคนโง่คนหนึ่ง
ในจังหวะนั้นการกระทำของหานเซิ่นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่บ้าบ่ออีกต่อไป ตอนนี้มันเป็นอะไรที่โง่เขลา การที่ความตายมาถึงตัวคงจะต้องทำให้เขาเสียสติไป
ถึงแม้พวกเขาจะเห็นใจหานเซิ่นก่อนหน้านี้ แต่นี่เป็นอะไรที่มากเกินไป
“นี่เขาบ้าไปแล้ว! ในนามของเทพทั้งปวงอย่างนั้นหรอ? หานเซิ่นจะต้องเสียสติไปแล้วจริงๆ”
“นี่มันน่าตลก ข้าคิดว่าคงจะประเมินเขาสูงเกินไป เขาดูเป็นคนที่สุดยอดก่อนหน้านี้ แต่ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าจิตใจของเขาจะอ่อนแอถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว”
“ฮ่าๆ! ในนามของเทพทั้งปวง…นี่มันตลกจริงๆ…นี่เป็นมุกที่ตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมา!” ดราก้อนวันหัวเราะอย่างหนักจนน้ำตาไหลออกมา
หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หานเซิ่นพูด แม้แต่ยูนิคอร์นเทียนเซียเองก็ดูขบขันและส่งเสียงที่เหมือนกับการหัวเราะออกมา
หานเซิ่นเป็นแค่ยอดฝีมือระดับราชันขั้นที่ 2 แต่เขากล้าพูดในนามของเทพทั้งปวง ซึ่งแม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่กล้าจะพูดอะไรแบบนั้น มันทำให้ทุกคนคิดว่านี่เป็นมุกตลกที่น่าขำ