ตอนที่ 729 เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด
อ่านไม่ออกเลยว่าเขาเชื่อคำพูดนางหรือไม่
ความสงสัยก่อขึ้นในใจจินเย่ว์ จากนั้นนางจึงโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ “เสด็จพี่ ท่านอยากหาสวามีแบบไหนให้ข้าหรือเพคะ?”
ฉินเย่หานได้ยินเช่นนั้นก็ทอดพระเนตรมองผู้เป็นน้องสาวอย่างเย็นชา
แววตาที่มองมานั้นแตกต่างไปจากเดิม หลังจากจินเย่ว์เห็นแล้วไม่รู้ทำไมใจถึงสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว
นางรู้สึกว่าฉินเย่หานดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าใดนัก
นางก็แค่ถามถึงว่าที่สวามีของตนเองเท่านั้น ทำไมเสด็จพี่ต้องทรงกริ้วด้วย?
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่กับซูหลีเจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!” องค์หญิงจินเย่ว์รอคำตอบของพระเชษฐาอยู่นาน คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินกระแสรับสั่งเช่นนี้
ใบหน้าองค์หญิงเปลี่ยนสีไปทันที!
“เสด็จพี่ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ? ทำไมต้องห้ามใต้เท้าซูด้วย ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือความสามารถใต้เท้าซูก็เป็นเลิศทั้งนั้น เขาไม่คู่ควร แล้วท่านพี่จะหาสวามีแบบไหนให้ข้ากันแน่…”
คำพูดของฉินเย่หานทำให้หน้านางเปลี่ยนสี ไม่สนใจความหวาดกลัวที่มี ลุกขึ้นยืนและเถียงพี่ชายด้วยความโกรธ
ในตอนที่องค์หญิงจินเย่ว์พูดนั้น ซูหลีและฉินมู่ปิงกำลังเดินมาจากพระตำหนักข้างๆ พอดิบพอดี
ยังไม่ทันพ้นเขตตำหนักก็ได้ยินคำพูดขององค์หญิงจินเย่ว์
ซูหลี “…”
“ใต้เท้าซูเสน่ห์แรงจริงนะ” หลังจากฉินมู่ปิงได้ยินกระแสรับสั่งขององค์หญิง ก็หลุดหัวเราะออกมา
เขาไม่กังวลว่าฉินเย่หานจะยกซูหลีให้น้องสาว
ถ้าคนอย่างซูหลีไม่รับราชการ ย่อมเป็นเรื่องน่าเสียดายเกินไป แต่ราชสำนักมีกฎที่ว่าผู้ที่เสกสมรสกับองค์หญิงจะไม่สามารถเป็นขุนนางได้
ถึงจินเย่ว์จะเป็นที่รักยิ่ง แต่เพื่อผลประโยชน์ของราชสำนัก ความรักประคบประหงมเช่นนี้ ย่อมด้อยค่ากว่ากันมาก
ดังนั้นฉินม่อโจวจึงไม่ได้กังวลนัก
ซูหลีกระตุกมุมปากยิ้มทื่อๆ มองฉินม่อโจวพลางเอ่ย “ท่านอ๋องดูแลตัวเองให้ดีๆเถอะ ได้ยินมาว่าธิดาคนโตของใต้เท้าจางบุกมาที่จวนของท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน ซ้ำยังพูดว่า…”
“ต้องแต่งกับท่านอ๋องให้ได้!”
ฉินม่อโจวนิ่งไป ซูหลีผู้นี้ไม่ยอมลดราวาศอกแม้แต่น้อยจริงๆ
แต่พอนึกถึงเรื่องที่ซูหลีพูด ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงได้รู้สึกว่าตนเองน่าสงสารเหลือเกิน
เขาเปลี่ยนเป็นชุดสะอาดแล้ว แต่พออยู่ต่อหน้าซูหลีก็เหมือนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า
“ข้าและคุณหนูจางไม่ได้มีอะไรกัน เพียงแต่วันนั้นบังเอิญเจอกัน จึงมีโอกาสได้ช่วยนางเท่านั้น”
เขาไม่อธิบายเช่นนี้น่าจะยังดีกว่า พอพูดใบหน้าซูหลีก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
นางกวาดตามองฉินม่อโจวยิ้มน้อยๆ และเอ่ยว่า “ท่านอ๋องช่างเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ”
ฉินม่อโจวชะงัก เมื่อนึกถึงเรื่องที่ซูหลีเห็นเขาและซูเนี่ยนเอ๋อร์เมื่อคราวก่อน ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านอ๋องทรงเสน่ห์ มีหญิงงามต้องใจก็เป็นเรื่องที่สมควร!” ซูหลียิ้มพลางโบกมือ และเดินตรงไปที่ห้องทรงอักษรทันที
นางเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี แต่ในสายตาฉินม่อโจวนั้นขมขื่นอย่างยิ่ง
เขาไม่อยากให้นางเข้าใจผิด แต่เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางเห็นได้ชัดเลยว่านางไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นเองฉินม่อโจวเองก็พูดไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ บริเวณทรวงอกเจ็บปวดเหมือนโดนทิ่มแทง
กระทั่งเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ส่วนฟากซูหลีก็เดินเข้าไปในห้องทรงอักษร
ทันทีที่เข้าไปก็เห็นใบหน้าดื้อดึง เปี่ยมด้วยน้ำตาขององค์หญิง
ซูหลีชะงัก จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ตอนที่ 730 ไม่ได้รู้สึกอะไรกับนาง
ทันทีที่เหลือบตาประสานเข้ากับแววพระเนตรเย็นชาของฉินเย่หาน ซูหลีรีบรวบรวมสติ หลุบสายตาตนเองไม่กล้าไปทางนั้นอีก
“ซูหลี! เจ้ามาแล้ว!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่องค์หญิงทอดเนตรเห็นซูหลี จะเหมือนเห็นท่อนไม้ ทรงรีบเกาะนางทันที
และไม่ทรงรอซูหลีถวายบังคมฉินเย่หานด้วยซ้ำ ก็รีบเข้าคว้าแขนเสื้ออีกฝ่าย
…ซูหลียิ่งรู้สึกเสียวสันหลังวาบกว่าเดิม เหมือนว่านางโดนทิ่มแทงจนพรุนอย่างนั้น
นางกระตุกมุมปากไปในทันที ใบหน้าแข็งค้าง ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย แต่ก็สะบัดแขนเสื้อตนเองออกจากการเกาะกุมขององค์หญิง
“องค์…องค์หญิง! ทรงจะทำอะไร?” ซูหลีรีบชักแขนเสื้อออก จินเย่ว์ก็ยังคงดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
ใบหน้าดื้อรั้นนั้นจ้องซูหลีและเอ่ย “ซูหลี เจ้าบอกไปเลย บอกเสด็จพี่เสียในตอนนี้!”
“บอกอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” ซูหลีงุนงง
“ก็บอกว่าเจ้าชอบข้า บอกไปสิว่าอยากแต่งกับข้า!” องค์หญิงจินเย่ว์ร้อนใจ และบอกความต้องการในใจตนเองออกมาทั้งหมดทันที
หลังจากได้สติแล้ว ใบหน้าก็แดงก่ำ จากนั้นก็ไม่กล้าแตะต้องแขนเสื้อซูหลีอีก หลังจากชะงักนิ่งไปครูหนึ่ง ก็แต่เขกศีรษะตนเองเบาๆ
ซูหลี “…”
แล้วนี่จะให้นางพูดอย่างไรได้? นางกล้ารับประกันได้เลยว่า หากพูดอะไรต่อหน้าฉินเย่หานในวันนี้ นางคงจะไม่เห็นแสงตะวันของวันพรุ่งนี้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นอิสตรี และไม่ชอบอิสตรี แล้วจะให้พูดอะไร!
องค์หญิงพระองค์นี้ช่างเก่งกล้าจริง!
“องค์…องค์หญิง…” ซูหลีอ้าปากพะงาบๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะพูดอะไร นางยังคงคิดเรียบเรียงคำพูดปฏิเสธองค์หญิง
“กระหม่อมมิกล้า!”
“มิกล้า?” องค์หญิงจินเย่ว์แทบไม่เชื่อหูตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ซูหลีเป็นคนแบบไหน คนทั้งเมืองหลวงก็รู้กันหมด มีอะไรที่อีกฝ่ายไม่กล้ากัน!
จินเย่ว์อยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับได้ยิน…
“หวงเผยซาน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“องค์หญิงจินเย่ว์เสียกริยา ไม่ได้มีความเป็นเชื้อพระวงศ์แม้แต่น้อย จากวันนี้ไปให้เพิ่มการอบรมให้เข้มงวด ห้ามนางออกจากตำหนักแม้แต่ก้าวเดียว หากขัดขืน เราจะเอาเรื่องทุกคนรอบตัวนาง!”
“เสด็จพี่!” พอจินเย่ว์ได้ยินคำพระบรมราชโองการ หน้าเปลี่ยนสีทันที
“ทำไม จะให้เราสั่งโบยเจ้า เจ้าถึงจะพอใจหรือ?” คิดไม่ถึงว่าพอหันหน้ามา ก็เจอเข้ากับพระพักตร์เย็นชาของฉินเย่หาน
จินเย่ว์ตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรอีก
“องค์หญิง!” หลิงเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายจินเย่ว์รีบก้าวขึ้นมาประคององค์หญิงของตนเอง
“พานางไป!” พระพักตร์โอรสสวรรค์ไร้ร่องรอยอารมณ์
“เพคะ!” หลิงเอ๋อร์เป็นแค่บ่าว ไหนเลยจะกล้าอุทธรณ์ พอได้ยินก็รีบประคองนายตนเองจากไปทันที
จินเย่ว์เห็นว่าสุดท้ายแล้วซูหลีก็ไม่แม้แต่จะมองนาง ในใจเย็นวาบ จึงไม่พูดอะไรอีก ทำได้เพียงเดิมตามบ่าวของตนเองไป
ซึ่งอันที่จริงท่าทางซูหลีก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
จินเย่ว์ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วนว่าซูหลีเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกฝ่ายก็มีท่าทีเช่นนี้ในราชสำนักเช่นกัน แต่วันนี้พอดูแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย
หรือว่าท่าทางหลักแหลมในราชสำนักนั้นของซูหลีเป็นการเสแสร้งเท่านั้น?
ไม่เป็นไปไม่ได้
มีเพียงความเป็นไปได้เดียวก็คือซูหลีไม่ชอบนางก็เท่านั้น
มีเพียงสาเหตุนี้เท่านั้น ซูหลีถึงได้เกรงอกเกรงใจและมีมารยาทกับนางเช่นนี้
องค์หญิงจินเย่ว์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ในใจเจ็บปวด แต่ก็ยังคงทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งต้าโจว มีชายที่ต้องการพระนางอีกมาก ไยต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โตเพียงแค่โดนซูหลีปฏิเสธด้วยเล่า?