“นั่นน่ะ…..” นางเอ่ยขึ้นมา “เข้าใจผิดแล้ว”
น่าเสียดายที่ตอนนี้ทั้งจีเฉวียนและฉู่เจียงต่างมีโทสะขึ้นมาแล้ว เสียงของนางจึงไม่ได้เข้าหูพวกเขาแม้แต่น้อย
คนหนึ่งก็คิดจะเผาผลาญดอกท้อที่มาเกะกะ คนหนึ่งก็คิดจะสังหารสุนัขในวังทิ้งไป
ฮ่องเต้สุนัขสามคำนี้ สำหรับจีเฉวียนถือว่าเรียกอย่างสนิทสนมเกินไปแล้ว
มีแต่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้นที่สามารถเรียกพระองค์ลับหลังด้วยคำเช่นนี้ได้
มาบอกว่าเขาบีบบังคับนางแต่งงาน นั่นยิ่งไม่ต้องพูดกันแล้ว
ไอ้ตัวแสบนี้กล้าสาดโคลนใส่พระองค์ต่อหน้าซิงซิง เพียงเฉพาะเรื่องนี้ จีเฉวียนก็ไม่อาจยอมทนอีกต่อไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนบังเอาไว้ทั้งตัว ฉู่เจียงมองไม่เห็นนาง เขาเห็นแต่เพียงมุมหนึ่งของสตรีผมยาวเท่านั้น
แถมนางยังนอนอยู่บนพื้น ดูไปแล้วก็คล้ายกับว่า ‘ตาย’ อยู่บนเตียง
ในใจของฉู่เจียงเกิดไฟลุกโชนขึ้นมา แส้เส้นนั้นตวัดออกไปในทันที
ได้ยินเสียงเฟี้ยวพุ่งมาในอากาศ คราวนี้แส้เส้นนั้นมุ่งเป้ามาทางจีเฉวียน
ฉู่เจียงไม่เหมือนกับเสินฟาง เสินฟานั้น ‘ตาย’ ไปแล้วถึงได้มายังโลกใบนี้ พละกำลังที่ฟื้นฟูขึ้นมามีเพียงห้าหกส่วนจากเดิม
แต่ว่าฉู่เจียง…..มาอยู่ที่เมืองกู่เย่วตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว
พลังของเขาย่อมบริสุทธิ์สมบูรณ์กว่า เปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมากกว่า
แต่เพราะเกรงกว่าจะทำให้คนที่อยู่ด้านหลังจีเฉวียนพลอยได้รับบาดเจ็บ แส้นี้เขาจึงยังมือเอาไว้
แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าผิวทั่วทั้งร่างใกล้จะถูกกรีดจนฉีกขาดอยู่แล้ว
ส่วนจีเฉวียนที่อยู่ด้านหน้าของนางนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ดึงกระบี่สีทองเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว
ยามที่แส้เส้นนั้นพุ่งมาถึง กระบี่ของเขาก็ตวัดออกไป เกิดเสียงกระทบกันกับแส้เส้นนั้นขึ้นมาอย่างรุนแรง
“เคร้ง!”
ไอหยินที่อัดแน่นรุนแรงพวยพุ่งทะลวงขึ้นฟ้าไป
จวนของเหยียนจวิ้นอ๋องสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง แผ่นกระเบื้องบนหลังคาปลิดปลิวลงมา บินกระจายว่อนไปทั่ว กำแพงถึงกับแตกร้าวเป็นเส้นยาวรอยแยกกว้างขนาดข้อนิ้ว
ในห้องข้างๆ กันเหล่าคนรับใช้ของเหลียงเซิงเซิงต่างก็ถูกคลื่นพลังซัดจนสลบไปแล้ว
ชือหลีที่แอบอยู่ไม่ไกลค่อยๆ ย่องกลับเข้ามาเงียบๆ แอบพาตัวเหลียงเซิงเซิงออกไป
ในเมืองกู่เย่ว บนอาคารที่สูงที่สุด ต้าจี่ซือที่สวมใส่ชุดสีดำกำลังจับจ้องมายังทางนี้
ดวงตาภายใต้หมวกคลุมนั้นปราศจากอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
ทันใดนั้น เงาร่างในชุดสีม่วงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาที่ด้านหน้าของเขา ร่างนั้นก้มกายคำนับเขาครั้งหนึ่งพลางขานเบาๆ “พ่อบุญธรรม”
ร่างภายใต้ชุดคลุมสีม่วงนั้นเป็นใบหน้าผุดผาดงดงามเกลี้ยงเกลาประดุจเนื้อหยก
หางตาแต่งแต้มด้วยชาดยิ่งขับเน้นความงามล้ำออกมา
โฉมหน้าที่งดงามเช่นนี้หากไม่ใช่ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์แล้วยังจะเป็นใครไปได้อีก
ต้าจี้ซือกวาดตามองดูเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าตำหนักเช่นข้าไม่เคยมีบุตรมาก่อน เจ้าสมควรเรียกเราเป็นประมุข”
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากนั้นก็รับคำว่า “ขอรับ ท่านประมุข”
ต้าจี้ซือไม่ได้สนใจมองเขาอีก เพียงหันไปมองทางจวนเหลียงจวิ้นอ๋อง “ตอนนี้ เจ้าไม่สมควรจะอยู่ที่เมืองกู่เย่ว”
“โอรสสวรรค์ต้าโจวเสด็จมาที่นี่ ข้าจึงต้องมาด้วยตนเอง” ฉางซุนซิ่วกล่าวต่อไป “คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ท่านประมุขจะลงมือด้วยตนเอง”
“หากมิใช่เพราะว่าพวกเจ้ามันใช้การไม่ได้ แล้วไยประมุขเช่นข้าจะต้องลงมือด้วย”
ต้าจี้ซือมองดูความเคลื่อนไหวภายในจวนเหลียงจวิ้นอ๋อง มุมปากของเขาก็ขยับยกขึ้น ครั้งนี้ต่อให้โอรสสวรรค์ต้าโจวมีปีกก็ยังหนีไม่พ้นแน่นอน
“ที่ผ่านมาจีเฉวียนเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก เก็บงำพลังความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ข้าก็ยังมองเขาไม่ออก ที่ครั้งก่อนๆ ลงมือล้มเหลว ไม่เพียงเพราะตัวหมากเหล่านั้นไร้ความสามารถ แต่ก็เป็นเพราะจีเฉวียนความคิดลึกล้ำเกินไปด้วย” ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เอ่ยต่อไป “หากท่านประมุขไม่ได้ลงมือปะทะกับเขาด้วยตนเอง คงยากที่จะรู้ฝีมือของเขาได้อย่างชัดเจน”
“เจ้าคิดว่า เขาคู่ควรกับการประมือกับประมุขเช่นข้าหรือ?” ต้าจี้ซือยิ้มเย็น พลางยื่นมือมาตบลงไปบนบ่าของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ครั้งหนึ่ง “คนหนุ่มอย่างเจ้า ยังคงรู้จักประมุขเช่นข้าน้อยไปแล้ว”
ฝ่ามือที่ตบลงไปบนบ่า แทบจะทำให้กระดูกหัวไหล่ของฉางซุนซิ่วหักไป
เขาได้แต่ฝืนเก็บอาการเจ็บหัวไหล่เอาไว้ ยืนอยู่ข้างกายต้าจี้ซือโดยมิได้กล่าววาจาใดๆ อีก
“ดูนั่นสิ ครั้งนี้ต้าโจวต้องจบสิ้นแน่แล้ว” ต้าจี้ซือมองไปที่จวนเหลียงจวิ้นอ๋อง น้ำเสียงของเขายิ่งทียิ่งเย็นชา
สายลมหอบเอากลีบดอกไห่ถางในจวนเหลียงจวิ้นอ๋องลอยมาจนถึงเบื้องหน้าของเขา
ต้าจี้ซือยื่นมือของเขาออกไป คิดจะคว้ากลีบดอกไม้นั่นเอาไว้ แต่ว่ากลีบดอกไม้ยังลอยมาไม่ทันถึงตัวเขาก็เ**่ยวเฉาไปเสียก่อน
เ**่ยวเฉาลงไปต่อหน้าต่อตาของเขาในทันที
กลีบแต่ละกลีบที่ลอยตามลมมา กลับไม่มีแม้แต่กลีบเดียวที่สามารถมาถึงมือของเขาได้ในสภาพที่สมบูรณ์ แต่ละกลีบที่ปลิวมาใกล้ไม่สลายกลายเป็นเถ้าธุลี ก็สลายหายไปบนปลายนิ้วของเขาเอง
สายตาของต้าจี้ซือมีแต่ความเรียบนิ่ง แม้แต่ฉางซุนซิ่วเองก็ยังมองไม่เห็นความเจ็บช้ำในดวงตาของเขา
“ดอกไห่ถางพวกนี้ไม่งดงามเท่าดอกเยี่ยเหลี่ยนในตำหนักซิงหลัวเตียนเสียด้วยซ้ำ ท่านประมุขไยจึงต้องการเก็บมันเอาไว้?” ฉางซุนซิ่วถามออกไป
สายตาของต้าจี้ซือเหม่อมองไปยังต้นไห่ถางมากมายที่อยู่ไกลออกไป “ดอกเยี่ยเหลี่ยนกำเนิดจากจิตคนตายไหนเลยจะเทียบเท่ากับความบริสุทธิ์ของบุปผาตามธรรมชาติได้ ช่างเถอะ….”
เขาปัดฝุ่นละลองบนมือทิ้งไป สายตาคล้ายจะหวนระลึกถึงสาวน้อยผู้องอาจและงดงามกลางสายลมที่คุ้นเคยผู้นั้น
นางก็เหมือนกับดอกไห่ถางเหล่านี้ ไม่อาจย้อนคืนมาได้อีกแล้ว
…………………………
ในจวนของเหลียงจวิ้นอ๋อง จีเฉวียนปะทะกับฉู่เจียงไปหลายต่อหลายครั้ง
ทวยเทพสู้รบตีกันนับเป็นเคราะห์กรรมของราษฏร ทั้งสองยังไม่ทันจะได้ลงไม้ลงมืออย่างจริงจัง สวนตะวันออกก็แทบจะพังทลายแล้ว
ผู้คนภายในจวนได้รับความตื่นตระหนก เหลียงจวิ้นอ๋องนำผู้คนออกมาเป็นกลุ่มแรก
เห็นห้องหับพังทลายลงมา เศษกระเบื้องก้อนหินปลิวว่อน กำแพงพังทลายจนพวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ได้
เห็นแต่หมอกสีแดงเลือดที่รายล้อมสวนตะวันออกทั้งหมดเอาไว้
“คุณหนูน้อยยังอยู่ข้างในนั้น!” นายทหารหนุ่มที่มุทะลุผู้นั้นไม่ทันพูดทันจาก็ทำท่าจะพุ่งเข้าไป ยังดีที่มีคนรีบรั้งตัวเอาไว้ทัน
เหลียงจวิ้นอ๋องยืนอยู่นอกสวนตะวันออก มองดูหมอกสีแดงที่พวยพุ่งขึ้นฟ้า ด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก
ก่อนที่เจ้าปีศาจนั่นจะบุกเข้ามา เขาได้ส่งคนเข้าไปพาตัวเซิงเซิงออกมาก่อนแล้ว
เมื่อช่วงกลางวันเขาก็ปล่อยข่าวออกไปว่า คืนนี้ ‘หลานเขย’ ผู้นั้นจะทำการ ‘รักษา’ ให้กับเซิงเซิง เพื่อล่อลวงให้เจ้าปีศาจในภูเขาฝูซางซานตนนั้นออกมา
หากว่ามันไม่ยอมมา ก็ให้จีเฉวียนทำการ ‘ถอนพิษ’ ให้กับเซิงเซิง
หากว่าล่อออกมาได้ ก็จะได้ผลอีกอย่างเช่นกัน
ส่วนจีเฉวียนนั้น…..ตอนนี้อยู่ในสวนตะวันออกแล้ว
จีเฉวียนคือโอรสสวรรค์แคว้นโจว เขาย่อมมีความสามารถไม่ธรรมดา ปล่อยให้เขาประมือกับเจ้าปีศาจตัวนั้น ทางที่ดีก็ให้บาดเจ็บหนักล้มตายทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นเขาจะค่อยบุกเข้าไป นี่จึงจะเป็นนั่งอยู่บนภูเขาดูสองพยัคฆ์สู้กัน เขาก็จะกลายเป็นผู้ชนะในที่สุด
เป็นการขจัดเจ้าปีศาจที่มาติดพันเซิงเซิงและกำจัดจีเฉวียนไปด้วยในครั้งเดียว
นับว่าหมากตานี้ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง
รอให้จบเรื่องแล้ว เขาค่อยเสาะหาบุรุษที่มีไอหยางให้กับเซิงเซิงอีกครั้งก็ได้….
เหลียงจวิ้นอ๋องมองดูสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย พลางยิ้มอย่างเย็นชาออกมา
“ปีศาจตนนั้นมาแล้ว” ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาค่อยเอ่ยออกมา “เจ้าปีศาจตนนั้นมุ่งร้ายเมืองกู่เย่วของพวกเรามานานแล้ว วันนี้ถึงคราวจะต้องกำจัดมันทิ้งเสีย”
ผู้คนต่างก็กระตือรือล้นขึ้นมา คอยฟังคำสั่งจากเขา
เหลียงจวิ้นอ๋องยกมือขึ้นมา ออกคำสั่งคำหนึ่ง “เผา”
“ท่านอ๋อง ท่านเสียสติไปแล้วหรือขอรับ? คุณหนูน้อยยังคงอยู่ข้างใน” นายทหารหนุ่มที่ไม่ได้รู้ความจริงอะไรร้อนลนขึ้นมา
เหลียงจวิ้นอ๋องไม่ได้สนใจเขา เพียงสั่งให้คนเอาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตระเตรียมเอาไว้เทล้อมด้านนอกของสวนตะวันออก
จากนั้นก็ออกคำสั่งให้เผาเรือน
……………………………….
ภายในเรือน ห้องเล็กๆ ที่ตู๋กูซิงหลันพักอยู่ถูกทลายจนพังยับเยินไปหมดแล้ว
แต่เพราะขาของนางไม่ดี จึงได้แต่นอนอยู่เช่นนั้น
จีเฉวียนมือหนึ่งกุมกระบี่ อีกมือหนึ่งก็แบกนางขึ้นบ่า
——
ไรท์: จะหนีแล้วเรอะ?
จีเฉวียน: ไฟไหม้แล้ว ไรท์ก็อยู่ไปแล้วกัน