[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
บทที่ 466 : ไป๋เซียนเอ๋อ
เหนือขึ้นไปทางทะเลด้านตะวันออก ดวงอาทิตย์สีแดงกำลังส่องแสงเจิดจ้า..
หลิงหยุนยังคงนั่งขัดสมาธิฝึกวิชาดารกะดายันอยู่อย่างสงบนิ่ง นาทีที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกดารกะดายันอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมา หลิงหยุนมักจะออกจากบ้านในช่วงเวลานี้เพื่อฝึกดารกะดายัน แต่ตึกสูงในเมืองมากมาย ก็ปิดกั้นแสงแรกของดวงอาทิตย์ไว้มาก ยังมีเรื่องของมลพิษทางอากาศศอีก ดังนั้นพลังที่กว่าจะสาดส่องลงมาถึงหลิงหยุนนั้น จึงถูกสกัดกั้น และลดประสิทธิภาพลงอย่างมากมาย
แต่ในยามนี้ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน หลิงหยุนอยู่กลางท้องทะเลที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าสดใสไม่ต่างจากสีฟ้าของน้ำทะเล อากาศก็บริสุทธิ์ชวนให้หลงใหลอย่างมากเช่นกัน ท่ามกลางพลังชีวิตที่เข้มขนจากผืนน้ำ และหลิงหยุนซึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาสูงเพียงลำพัง จึงทำให้การฝึกดารกะดายันของเขาได้ผลยิ่งกว่าครั้งใหนๆ
หลิงหยุนฝึกนานอยู่ร่วมชั่วโมง จนกระทั่งดวงอาทิตย์ค่อยๆขึ้นสูง และเคลื่อนไปอยู่ตรงกลางทะเล หลิงหยุนจึงหยุด..
“ยอดเยี่ยมมาก! ที่นี่ช่างเหมาะกับการฝึกยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่มีเพียงพลังชีวิตจากผืนน้ำเท่านั้น แล้วข้าก็ไม่สามารถอยู่ฝึกที่นี่ได้นานนัก..”
หลิงหยุนสูดลมหายใจเข้าลึก และหันไปมองรอบๆ ก่อนจะกลับไปที่ถ้ำ
เจ้าขาวปุยยังคงฝึกอยู่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลายร่าง
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถผ่านด่านไปได้ หรือว่านี่จะยังไม่ถึงเวลา
“หรือว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าขาวปุยจะกลายร่าง?” หลิงหยุนพึมพำระหว่างที่มองร่างของเจ้าขาวปุยที่ใหญ่ขึ้นอย่างน่าตกใจ
สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง จำเป็นต้องผ่านบททดสอบเพื่อการกกลายร่างเป็นมนุษย์
สำหรับขั้นนี้ หลิงหยุนเองก็เคยอ่านพบในหนังสือเมื่อครั้งที่อาศัยอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่เคยได้พบเห็นกับตาตัวเอง เขารู้ว่าช่วงเวลาที่ต้องกลายร่างนั้นมีอยู่จริง เพียงแต่ไม่รู้เวลาที่แน่นอน
แต่ในเมื่อเจ้าขาวปุยเต็มใจที่จะมากับหลิงหยุน ตัวมันเองก็ต้องมั่นใจว่าอีกไม่นานจะต้องกลายร่างแล้ว ไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่มากับเขาแน่นอน!
ในเมื่อเวลายังไม่สุกงอมเต็มที่.. สิ่งที่ทำได้ก็คือการรอคอย เพราะไม่สามารถเร่งรัดอะไรได้
หลิงหยุนเรียกเจ้าขาวปุยที่ยังจมดิ่งอยู่กับการฝึกฝนให้มากินข้าวเช้า และบอกกับมันให้ค่อยๆฝึกไปช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน และไม่ต้องกังวลใจ
ในวันต่อมา.. หลิงหยุนก็ได้จัดการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างบนเกาะเตียวหยู เริ่มด้วยการสร้างค่ายกลนวสังหารขึ้นมาเพื่อใช้ป้องกันการโจมตีของศัตรู
แต่ค่ายกลพวกนี้ก็ไม่มีผลอะไรกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนขึ้นไป แต่มันจะสร้างปัญหาให้กับยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นที่ต่ำกว่านั้น และสามารถทำให้คนเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส และหากเป็นคนธรรมดาหลงเข้าไป รับรองว่าต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนจัดการวางค่ายกลนวะสังหารเสร็จในเวลาสองสามวัน แต่เจ้าขาวปุยก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลายร่าง เขาไม่รีบร้อนและไม่ต้องการเร่งรัด ระหว่างนั้นนอกเหนือจากการฝึกฝน หลิงหยุนจึงได้จัดการวางค่ายกลแปดทิศไว้อีกสองแห่ง ค่ายกลแปดทิศทั้งสองแห่งนี้ไม่ได้ใช้สำหรับขัดขวางศัตรู แต่ใช้ในการช่วยเจ้าขาวปุยกลายร่าง
เจ้าขาวปุยฝึกฝนไม่หยุดจนไม่กินอะไร ดูเหมือนว่าจะเข้าใกล้การกลายร่างเข้าไปเรื่อยๆแล้ว
ท้องทะเลกว้างใหญ่และเงียบสงบ เกาะเตียวหยูดูเหมือนจะถูกโลกลืม กองทัพญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาที่โนซากิพูดถึงต่างก็หายเงียบไป!
หลิงหยุนมีความสุขมาก ชีวิตของเขาในช่วงนี้นอกจากากฝึกวิชาพลังลับหยินหยาง และดารกะดายันแล้ว เขาก็ดูดซับพลังชีวิตจากท้องทะเลเสียส่วนใหญ่
และเมื่อรู้สึกเบื่อ หลิงหยุนก็ทำการตกแต่งภายในถ้ำด้วยการใช้กระบี่โลหิตแดนใต้แกะสลักชามข้าวจากหินบ้าง หรือออกไปจับสัตว์น้ำในท้องทะเลมาทำอาหารบ้าง ช่างเป็นชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ และเป็นอิสระ ปราศจากมลพิษ วันคืนผ่านไปอย่างมีความสุข!
ระหว่างนี้ หลิงหยุนเปิดมือถือและพยายามที่จะติดต่อถังเมิ่ง แม้ว่าโทรศัพท์ของเขาจะมีแบตเตอรี่อยู่เต็ม แต่ก็ไม่มีสัญญาณ เขาจึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ
วันคืนผ่านไปจนเข้าสู่วันที่เจ็ดหรือแปด หลังจากที่หลิงหยุนฝึกดารกะดายันเสร็จ เขาก็กลับไปที่ถ้ำเช่นเคย
แต่เมื่อไปถึงหลิงหยุนกลับต้องแปลกใจที่เห็นเจ้าขาวปุยหยุดฝึก และกำลังยืนรอเขานิ่งอยู่หน้าถ้ำ ดวงตาคู่สวยและมีเสน่ห์ของมันจ้องมองและรอคอยการกลับมาเขา
‘เหตุใดวันนี้เจ้าขาวปุยดูช่างเหมือนมนุษย์นัก!’ ใบหน้าของหลิงหยุนเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสพร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจ
“นายท่าน.. หนวดของนายท่านยาวมากแล้ว!” เสียงใสกังวานดังก้องอยู่ในถ้ำ
ร่างของหลิงหยุนหยุดนิ่งไปราวกับถูกฟ้าผ่า เขาชะงักไปทันที และร่างกายก็เริ่มสสั่น!
‘เสียงของเจ้าขาวปุย.. นี่เจ้าขาวปุยพูดได้แล้วหรือนี่!?’
หลิงหยุนตื่นเต้นสุดขีด เขาตื่นเต้นจนขาสั่นไปหมด และแทบจะยืนไม่อยู่!
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ หลิงหยุนก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว และรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าขาวปุยพร้อมกับอุ้มร่างของมันไว้ในอ้อมแขน หลิงหยุนพบว่าตัวของมันใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่า!
“ขาวปุย.. เจ้า.. เจ้าพูดได้แล้ว!?” หลิงหยุนร้องถามอย่างตื่นเต้น
สีหน้าแววตาของเจ้าขาวปุยดูเอียงอาย พลังชีวิตในตัวสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกระจายออกมามากมาย ร่างกายของหลิงหยุนก็ดูดซับเข้าไปเช่นกัน
เจ้าขาวปุยพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “นายท่านได้โปรดตั้งชื่อให้ข้าด้วย..”
ในเวลานั้นหลิงหยุนเองก็ไม่สามารถนึกชื่อที่มีความหมายดีๆออก เขาได้แต่ถามอย่างตื่นเต้นว่า “ขาวปุยนี่เจ้าใกล้จะกลายร่างแล้วใช่ไม๊?”
เจ้าขาวปุยตอบเอียงอาย “ข้าว่าน่าจะภายในคืนนี้..”
“ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย!” หลิงหยุนดีใจจนกระโดดตัวลอย พร้อมกับร้องตะโกนออกมา!
“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า!”
หลิงหยุนอุ้มร่างของเจ้าขาวปุยเข้าไปในถ้ำ และวางมันลงข้างม้าหิน แต่เจ้าขาวปุยยังคงยืนนิ่ง ดวงตาที่สวยงามมีเสน่ห์ของสุนัขจิ้งจอกจ้องมองหน้าหลิงหยุนอย่างกล้าๆกลัวๆ คล้ายกับว่าอยากจะมองหน้าเขา แต่ก็ไม่กล้า
“นายท่านอยู่ที่นี่แล้ว ข้าไม่กล้านั่งตีเสมอนายท่าน”
เสียงของเจ้าขาวปุยทั้งหวานและไพเราะ แล้วมันก็ดูเขินอายมาก หลิงหยุนจึงพูดกับเจ้าขาวปุยด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เอาล่ะ.. ในเมื่อเจ้าพูดได้แล้ว ข้าก็มีสองเรื่องที่จะบอกกับเจ้า! ฟังให้ดีล่ะ..”
เจ้าขาวปุยได้ฟังน้ำเสียงที่จริงจังของหลิงหยุนก็ค่อนข้างตกใจไม่น้อย แต่ก็รีบพยักหน้าทันที
หลิงหยุนสำรวจดูเจ้าขาวปุย และพบว่าเมื่อมันยืนกับพื้น ร่างของมันก็สูงราวเมตรกว่าๆ เขาคิดในใจว่าเมื่อเจ้าขาวปุยกลายร่างแล้ว คงจะเป็นเด็กสาวที่มีอายุราวสิบหกปี..
หลิงหยุนกระแอมสองครั้งก่อนจะพูดต่อว่า “ข้อแรก.. ห้ามเรียกข้าว่านายท่านอีก เจ้ากับข้าไปไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกชนชั้น เจ้าเรียกชื่อของข้าแทน เข้าใจหรือไม่?”
แววตาของเจ้าขาวปุยทั้งสงสัยและเศร้าสร้อย พร้อมกับถามขึ้นอย่างแปลกใจ “นายท่านช่วยชีวิตของข้าไว้ และยังช่วยให้ข้าได้กลายร่างเป็นมนุษย์อีก ข้าตั้งใจที่จะอยู่รับใช้นายท่านไปชั่วชีวิต เหตุใด? เหตุใดจึงไม่ให้ข้าเรียกท่านว่านายท่าน?”
หลิงหยุนกระแอม.. ครุ่นคิดอีกครั้งก่อนจะตอบไปว่า “เจ้าอยู่กับข้าได้ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ สำหรับข้าชื่อยังไม่สำคัญ ยังต้องสนใจฐานะอะไรกันอีก!”
แววตาของเจ้าขาวปุยดูนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว.. ข้าจะเรียกชื่อท่าน แต่หากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ข้าก็จะเรียกท่านว่านายท่านเช่นเดิม”
หลิงหยุนเล็งเห็นความดื้อรั้นในตัวของเจ้าขาวปุย เขารู้ว่าเจ้าขาวปุยคงไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจแน่ เขาจึงได้แต่พยักหน้าและพูดต่อว่า
“ข้อสอง – ความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนไม่ใช่เจ้านายกับบ่าว แล้วเจ้าก็ไม่ใช่ลูกน้องของข้า ฐานะของเจ้ากับข้าจะเหมือนหนิงน้อย พวกเราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ เจ้าเข้าใจไม๊?”
ขาวปุยตอบกลับทันที “ข้า.. ข้าไม่กล้า..”
หลิงหยุนเริ่มรู้สึกท้อแท้ไปพักหนึ่ง นี่เขาแค่เริ่มพูดคุยกับเจ้าขาวปุยเพียงสองเรื่อง แต่กลับถูกนางปฏิเสธจนหมด นี่เขาจะจัดการกับนางอย่างไรดี?!
หลิงหยุนมองตาเจ้าขาวปุย และจู่ๆก็ตบที่ม้าหินพร้อมกับสั่งว่า “ขาวปุย.. เจ้านั่งลงตรงนี้!”
เจ้าขาวปุยสัมผัสได้ว่าหลิงหยุนเริ่มโกรธแล้ว มันจึงไม่รีบรอ รีบพุ่งไปนั่งบนม้าหินที่อยู่ตรงข้ามทันที และสีหน้าของมันก็ดูหวาดกลัว
หลิงหยุนเห็นท่าทางหวาดกลัวของเจ้าขาวปุย ก็ได้แต่ยิ้ม และพูดกับมันว่า “พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกัน.. เจ้าเข้าใจใช่ไม๊?”
เจ้าขาวปุยพยักหน้า แต่ก็ยังตอบไปว่า “เข้าใจนายท่าน!”
“เรียกข้าว่าหลิงหยุน!”
“เจ้าค่ะ.. เจ้านายของข้าพี่หลิงหยุน..”
หลิงหยุนหมดแรง และเปลี่ยนเรื่องพูด “ขาวปุย… เมื่อครู่เจ้าขอให้ข้าตั้งชื่อให้กับเจ้า ข้านึกชื่อได้แล้ว ข้าจะเรียกเจ้าว่าเซียนเอ๋อ เจ้าว่ายังไง?”
“เซียนเอ๋อ.. เซียนเอ๋อ..” เจ้าขาวปุยพึมพำชื่อนั้นสองครั้ง พร้อมกับตอบอายๆ
“นายท่านพี่หลิงหยุน ชื่อเซียนเอ๋อเพราะมากเลย ข้าชอบชื่อนี้!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและพูดต่อว่า “สำหรับแซ่ ข้าคิดไว้สามแซ่ หนึ่งให้เจ้าใช้แซ่หลิงของข้า หรือจะใช้แซ่อู๋ เพราะเจ้าเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง หรือจะใช้แซ่ไป๋ เพราะขนของเจ้าสีขาว ข้าจะเลือกให้เจ้าหนึ่งแซ่!”
หลิงหยุนสามาถเข้าใจจิตใจของเจ้าขาวปุยได้ดี นางคงจะไม่ต้องการให้ใครจำได้ว่านางเคยเป็นสุนัขจิ้งจอกมาก่อน นางคงจะไม่เลือกแซ่อู๋อย่างแน่นอน
อีกทั้งไม่ต้องการใช้แซ่หลิงเช่นเดียวกับหลิงหยุน เพราะไม่กล้าอาจเอื้อม เขาคิดว่านางน่าจะชอบแซ่ไป๋ จึงพูดขึ้นว่า..
“ขาวปุย เจ้าชื่อไป๋เซียนเอ๋อก็แล้วกัน ต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าไป๋เซียนเอ๋อ!”
ดวงตาของสุนัขจิ้งจอกไป๋เซียนเอ๋อเป็นประกาย และร่างขาวก็กระโดดออกจากม้านั่งเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุน พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณท่านมาก ในที่สุดข้าก็มีชื่อแล้ว ไป๋เซียนเอ๋อ!”
หลิงหยุนกอดร่างของไป๋เซียนเอ๋อไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับยิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มที่แก้มซ้าย