ในป่าลึกที่เงียบสงบ มีสิ่งปลูกสร้างตั้งตระหง่านอยู่กลางผืนป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงเสียดฟ้า แม้สภาพแวดล้อมรอบข้างจะถูกบดบังด้วยเงาไม้ แต่แสงแดดอ่อนโยนกลับส่องเข้ามาภายในอาคารได้อย่างน่าประหลาด ที่นี่ไร้ซึ่งวี่แววของมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นใด แต่พื้นที่ในอาคารก็ยังสะอาดหมดจด ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยดูแลรักษา
ในห้องหนึ่งของสิ่งปลูกสร้างนั้น ชายหนุ่มผู้เคยมีนามว่า ซาเอกิ เรย์จิ ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา
“…ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
เขาเอามือแตะหน้าผาก พลางมองไปรอบ ๆ แล้วครุ่นคิดเพียงไม่กี่วินาทีก็พยักหน้าขึ้นมาเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
“อ้อ ใช่ เรารวมร่างกับบอลเรืองแสงนั้นแล้ว… เข้าใจล่ะ มันคือการรวมร่างจริง ๆ ความรู้ทั้งหมดอยู่ในนี้ และจิตสำนึกของเราก็ยังคงเหมือนเดิม”
หลังจากสำรวจรอบห้อง เรย์จิก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง บนพื้นมีวงเวทย์ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการใช้เวทมนตร์บางอย่างกับร่างกายใหม่ของเขา เสื้อผ้าชุดหนึ่งถูกวางไว้ที่หัวเตียง เขาจึงหยิบมาสวมแล้วลุกขึ้นยืน
“ว่าแต่… ร่างใหม่เรานี่หน้าตาเป็นยังไงกันแน่นะ?”
ด้วยความสงสัย เรย์จิเดินไปยังถังน้ำที่ถูกเตรียมไว้ และมองเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ
เงาสะท้อนเผยให้เห็นเด็กหนุ่มผมสีแดงสด ใบหน้าคมคายออกไปทางรูปโฉมที่งดงาม ดวงตาสีฟ้าตัดกับผมสีแดงอย่างชัดเจน ทำให้ดูมีเอกลักษณ์ ส่วนสูงประมาณ 165 เซนติเมตร และดูเหมือนอายุราว ๆ 15 ปี หากเทียบกับอายุ 17 ปีก่อนตายแล้ว เขาก็เหมือนเด็กลงไป 2 ปี
“…ดูจากความรู้ที่เซไพล์ฝากไว้ ดูเหมือนนี่จะเป็นร่างกายที่สุดยอดเลยทีเดียว”
จากข้อมูลที่เขาได้รับ ร่างกายใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นโดย เซไพล์ และกลุ่มของเขา ด้วยการผสมผสานระหว่างเวทมนตร์และวิทยาการขั้นสูงสุด นอกจากนี้มันยังถูกปรับแต่งให้ไม่แก่ชรา ซึ่งเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์ของกลุ่มที่ต้องสูญสิ้นเพราะวัยชราของสมาชิก อย่างไรก็ตาม การที่จะใช้ร่างนี้ได้จำเป็นต้องมีพลังเวทในระดับสูงมากเป็นพื้นฐาน
ถึงแม้ว่าร่างกายนี้จะไม่แก่ชรา แต่ก็ไม่ได้ทำให้เป็นอมตะ อย่างไรก็ตาม มันมาพร้อมกับพลังฟื้นฟูที่น่าทึ่ง และความสามารถทางกายภาพที่ถูกปรับแต่งให้สูงกว่าปกติ
“ไม่ถึงกับอมตะ… แต่ดูจากที่ฟื้นตัวได้เร็วขนาดนี้ ก็น่าจะใช้ประโยชน์ได้เยอะอยู่”
เรย์จิพูดกับตัวเองขณะกำหมัดแน่น ลองออกแรงเบา ๆ เพื่อทดสอบความรู้สึกในร่างใหม่ของเขา
“ก็คงประมาณนี้แหละนะ”
เรย์จิพึมพำกับตัวเอง หลังจากตรวจสอบความสามารถของร่างกายใหม่จากข้อมูลที่เซไพล์มอบให้ เขาเดินไปยังโต๊ะที่มีเหยือกน้ำวางอยู่ เทน้ำลงในแก้วไม้ และดื่มหมดในอึกเดียว ความเย็นสดชื่นของน้ำทำให้เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง
“จะว่าไป…น้ำที่เราดื่มอยู่นี่มันก็น่าจะเก่าเป็นร้อยปีแล้วสินะ”
เขามองแก้วที่ว่างเปล่าก่อนจะเทน้ำเพิ่ม พลางจ้องมองมันด้วยความสงสัย จากข้อมูลในหัว เซไพล์กลายเป็นบอลเรืองแสงและหลบตัวอยู่ในมิติวิญญาณมาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน ดังนั้นทุกสิ่งในสถานที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย น้ำ เตียง หรือเสื้อผ้า ต่างก็ถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนที่เซไพล์จะกลายเป็นบอลแสง แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงความสดใหม่และสะอาดราวกับเพิ่งถูกสร้างขึ้น ซึ่งทำให้เรย์จิยอมรับได้ว่า กลุ่มของเซไพล์ซึ่งประกอบไปด้วยนักเวทระดับสูงสุดในโลก ไม่ธรรมดาแน่นอน
น้ำในแก้วนั้นสดชื่นเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นน้ำเก่าหลายศตวรรษ แม้ว่าเรย์จิที่เคยอาศัยอยู่ในชนบทญี่ปุ่นซึ่งมีน้ำสะอาดดื่มเป็นเรื่องปกติ แต่น้ำนี้กลับให้ความรู้สึกแตกต่างราวฟ้ากับเหวจนเขาดื่มเพิ่มอีกหลายแก้วอย่างไม่รู้ตัว
“ก่อนอื่น…คงต้องสำรวจอาคารนี้ก่อน”
แม้เขาจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่จากเซไพล์แล้ว แต่ข้อมูลนั้นเป็นเพียงความรู้ เขาต้องตรวจสอบด้วยตาของตัวเองเพื่อความแน่ใจ
ในห้องที่เขาตื่นขึ้น มีเพียงเตียงที่เขานอนอยู่ โต๊ะ เก้าอี้ เหยือกน้ำ และแก้วไม้ที่เขาเพิ่งใช้ดื่ม แต่สิ่งที่สะดุดตาเขาอย่างยิ่งคือภาพวาดบนผนัง
“นี่มัน…”
เขามองภาพวาดนั้นด้วยความสนใจ มันเป็นภาพของคน 12 คนที่มีอายุและเพศต่างกัน ทุกคนล้วนแต่เป็นตัวแทนของศาสตร์เวทที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเวทดิน น้ำ ลม แสง ความมืด มิติอวกาศ เวทอัญเชิญ การเล่นแร่แปรธาตุ เวทโบราณ เวทคำนวณ และสุดท้ายคือเวทไฟ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เซไพล์ถนัด
สิ่งที่ทำให้เรย์จิต้องหยุดมองภาพนี้ไม่ใช่แค่ความสำคัญของบุคคลในภาพ แต่เป็นชายคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนของเวทคำนวณ ชายคนนี้สวมชุดนักเรียนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ผมสีดำ ตาสีดำ ดูยังไงก็เหมือนคนญี่ปุ่น เขานึกถึงชื่อของชายในภาพผ่านข้อมูลที่ได้รับจากเซไพล์
“ทาคุมุ ซุซุโนเสะ…ผู้เชี่ยวชาญเวทคำนวณเหรอ? นี่มัน…มองยังไงก็เป็นคนบ้านเดียวกันกับเรานี่นา?”
จากข้อมูลที่เซไพล์มอบให้ ทาคุมุ ซุซุโนเสะเป็นคนที่มีลักษณะไม่แก่ ไม่ตาย และร่างกายของเรย์จิเองก็ถูกปรับแต่งโดยใช้ร่างของทาคุมุเป็นต้นแบบ
“ถ้าอย่างนั้น…นอกจากทาคุมุกับเรา จะมีคนญี่ปุ่นที่เคยมาอยู่ในโลกนี้อีกมั้ยนะ?…”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดนั้นทิ้ง จะมีหรือไม่มีก็เกี่ยวกันแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่นอีกแล้ว แม้ว่าจะเจอใครที่มาจากที่เดียวกัน ก็คงทำได้แค่พูดคุยเรื่องเก่าๆ เพื่อรำลึกความหลังเท่านั้น
“ถ้าเขาเป็นอมตะจริง ทำไมถึงตายได้กันนะ?”
เรย์จิครุ่นคิดถึงคำถามนี้แล้วค่อย ๆ ดึงข้อมูลจากความทรงจำที่ได้รับมา จากข้อมูลของเซไพล์ ทาคุมุ ซุซุโนะเสะถูกลากเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในอาณาจักรใหญ่ และถูกวางยาพิษ แม้เขาจะหนีมาหาเซไพล์ได้ แต่ก็ไม่ทันการณ์ ยาถอนพิษไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ทันเวลา
“อืม… โลกที่ยังมีชนชั้นขุนนางแบบนี้ ถ้าโดนดึงเข้าไปในเกมอำนาจก็ไม่แปลกที่จะลงเอยแบบนี้”
จากข้อมูลเพิ่มเติม เวทคณิตศาสตร์ที่ทาคุมุใช้นั้นเป็นเวทเฉพาะตัวที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ ความสามารถของมันคือการแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นตัวเลข ซึ่งไม่ได้เหมาะกับการต่อสู้โดยตรง
“งั้นเหรอ… ก็คล้าย ๆ กับพวกสกิลวิเคราะห์หรือประเมินในเกมที่เคยเห็นนั่นแหละ”
เวทนี้อาจเป็นเรื่องแปลกใหม่ในโลกใบนี้ แต่สำหรับเรย์จิที่คุ้นเคยกับแนวคิดจากวัฒนธรรมป๊อป มันก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ไม่ยาก
“โอเค ห้องนี้ตรวจดูครบแล้ว ต่อไปก็ไปที่ห้องวิจัยละกัน”
เรย์จิเดินเท้าเปล่าผ่านพื้นห้องที่สะอาดไร้ฝุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมเปิดประตูออกไป เขาคิดว่าเวทมนตร์อะไรบางอย่างน่าจะช่วยคงสภาพความสะอาดของอาคารหลังนี้ไว้
“อาคารนี้…..คงใช้เวทกาลเวลาหยุดการไหลของเวลาทั้งหมดในนี้ไว้สินะ”
เขาเดินไปตามทางเดินพลางตรวจสอบข้อมูลในความทรงจำของเซไพล์ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นอย่างรวบรัดโดยเซไพล์หลังจากที่เขากลายเป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของตระกูล และใช้เป็นฐานในการค้นหาผู้สืบทอดเวทมนตร์ของเขา ด้วยเหตุนี้ตัวอาคารจึงไม่ได้ใหญ่โตนัก ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีจากห้องนอนก็สามารถมาถึงห้องวิจัยได้
ที่ประตูห้องวิจัยมีป้ายแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ โดยมีข้อความจารึกไว้ว่า “ผู้ใดไร้คุณสมบัติแห่งเวทมนตร์จงอย่าเปิดประตูนี้ มิเช่นนั้นจะต้องคำสาปร้ายแรง”
“อย่างน้อยก็รู้แล้วล่ะว่าภาษาในโลกนี้เราอ่านออกได้จากการรวมร่าง”
เรย์จิพึมพำกับตัวเองขณะอ่านข้อความบนป้าย จากข้อมูลของเซไพล์ หากผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติและพลังเวทเพียงพอพยายามเปิดประตูนี้ เพลิงเวทอันรุนแรงจะเผาผลาญพวกเขาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี
“เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่รุนแรงใช่ย่อยเลยนะ”
เรย์จิพูดพึมพำเล่นพลางขำเงียบ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ค่อย ๆ ยื่นมือไปจับลูกบิดประตูด้วยความระมัดระวัง แม้ว่าเซไพล์จะยืนยันว่าเขามีคุณสมบัติในฐานะผู้สืบทอดเวทมนตร์ แต่ความเป็นไปได้ของความผิดพลาดก็ทำให้เขาไม่อาจวางใจได้
ทันทีที่มือสัมผัสกับลูกบิด ประตูก็เปิดออกได้อย่างง่ายดายจนแม้แต่เรย์จิเองยังตกใจ
“เฮ้อ…”
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องวิจัย
ภายในห้องวิจัยกว้างกว่าห้องนอนมาก หากเทียบกับมาตรฐานของเรย์จิ ห้องนี้น่าจะมีขนาดราว 30 เสื่อญี่ปุ่น ส่วนครึ่งหนึ่งของห้องด้านในมีวงเวทขนาดใหญ่ถูกวาดไว้อย่างประณีต ส่วนครึ่งที่ใกล้กับทางเข้าที่ดูเหมือนจะเคยเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทดลองและหนังสือสำหรับการวิจัย ตอนนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์ทดลองชิ้นเดียว เหลือเพียงโต๊ะตัวหนึ่งใกล้วงเวทซึ่งมีเพียงกล่องอัญมณีที่ดูละเอียดอ่อนวางอยู่
“กล่องอัญมณีที่ดูดีขนาดนี้ อยากรู้จังจะมีอะไรข้างใน?”
เรย์จิพึมพำเบา ๆ ขณะเดินเข้าไปใกล้กล่องอัญมณีแล้วเปิดฝาออก
“นี่มัน… กำไลงั้นเหรอ?”
สิ่งที่อยู่ในกล่องอัญมณีคือวงแหวนขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร ดูเหมือนจะเป็นกำไล
เรย์จิหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความสงสัย กำไลวงนี้ดูสวยงามก็จริง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกล่องอัญมณีที่เต็มไปด้วยลวดลายละเอียดอ่อนและอัญมณีล้ำค่า กำไลนี้กลับดูเหมือนไม่ได้มีมูลค่าสูงเท่าไร
เขาจึงรู้สึกถึงความผิดปกติ การเก็บกำไลที่ดูเหมือนไม่มีค่าอะไรในกล่องอัญมณีที่ดูแพงหรูหรานั้นผิดธรรมชาติอย่างชัดเจน ซึ่งหมายความว่ากำไลนี้ต้องมีอะไรบางอย่างพิเศษ
เรย์จิดึงข้อมูลจากความทรงจำของเซไพล์ และในที่สุดก็เข้าใจ
“เข้าใจแล้ว กำไลนี่มีค่ามากกว่าหินอัญมณีทั้งหมดรวมกันเสียอีก”
ตามข้อมูลของเซไพล์ กำไลนี้เป็นอุปกรณ์จัดเก็บไอเท็มแบบหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ความร่วมมือของจอมเวทระดับสูงด้านเวทอวกาศและการเล่นแร่แปรธาตุในกลุ่มของเซไพล์ ลิซ่า โฟลว์ และเอสต้า นอร์ด รวมถึงการช่วยเหลือจากทาคุมุ ซุซุโนะเสะ ผู้เชี่ยวชาญเวทคำณวน อุปกรณ์นี้ได้รวบรวมทรัพยากรและวัตถุเวทมนตร์ล้ำค่าที่กลุ่มเขาสะสมมาไว้ทั้งหมดในกำไลวงเดียว ชื่อของมันคือ “มิสตี้ริง” ……..เรียกว่า ‘ริง’ ทั้งที่เป็นกำไลเนี่ยนะ? เขาคิด แต่มันอาจเป็นความชอบส่วนตัวของผู้สร้างก็ได้
เรย์จิยิ้มเล็กน้อยขณะวางกำไลกลับลงไปในกล่องอัญมณี จากนั้นเขาก็เดินไปยังวงเวทขนาดใหญ่ที่อยู่ปลายห้อง
“นี่คือวงเวทสำหรับศาสตร์สัตว์เวทสินะ”
ศาสตร์สัตว์เวท เรย์จิรู้แล้วว่ามันคืออะไรจากความทรงจำของเซไพล์
เมื่อผู้ร่ายเวทยืนอยู่ตรงกลางวงเวทและท่องคาถา วงเวทจะดูดซับพลังเวทจากตัวผู้ร่าย พลังเวทที่ถูกดูดซับนั้นจะใช้ในการสร้างสัตว์เวทขึ้นมา ทว่าสัตว์เวทที่เกิดขึ้นจะไม่สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พลังเวท อุปนิสัย จิตใจลึก ๆ และความชอบส่วนตัวของผู้ร่าย
ถ้ามีแค่นั้น เวทมนตร์นี้คงไม่นับว่าเป็นสุดยอดเวทมนตร์ของกลุ่มเซไพล์ แต่ศาสตร์สัตว์เวทนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างออกไป สัตว์เวทที่เกิดจากเวทนี้สามารถกิน “หินเวทมนตร์” ซึ่งอยู่ในตัวมอนสเตอร์ได้ การกินหินเวทมนตร์จะทำให้สัตว์เวทแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ ทั้งนี้ การพัฒนาของสัตว์เวทจะขึ้นอยู่กับชนิดของหินเวทมนตร์ที่กินเข้าไป จึงมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าทางทฤษฎีจะไม่มีข้อจำกัดในการพัฒนา แต่ก็ไม่มีใครเคยเลี้ยงดูอสูรจนถึงขีดจำกัดนั้นได้
สรุปสั้น ๆ ศาสตร์สัตว์เวทนี้จึงเปรียบเสมือนเวทมนตร์ที่เรียกสัตว์เวทที่พัฒนาไปพร้อมกับตัวผู้ใช้
อย่างไรก็ตาม วงเวทนี้ต้องการพลังเวทมหาศาลในการทำงาน จนถึงขั้นสามารถดูดพละกำลังหรือแม้แต่ชีวิตของผู้ร่ายได้ หากผู้ร่ายไม่มีพลังเวทเพียงพอหรือมีสิ่งแปลกปลอมในตัว พิธีกรรมจะล้มเหลวและอสูรจะไม่ปรากฏ
เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมด เรย์จิสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเข้าสู่ศูนย์กลางของวงเวท
“เพราะข้อตกลงกับเซไพล์ และเพราะฉันเองก็สนใจศาสตร์สัตว์เวทนี้ งั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลอง… ว่าแต่ปกติเราควรจะระแวงมากกว่านี้นะ? หรือว่านี่จะเป็นผลกระทบจากการรวมร่างกัน?”
เขาคิดในใจถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง และเริ่มตั้งสมาธิพร้อมกับเปล่งเสียงร่ายคาถา
“ข้าผู้สร้างสัตว์เวทด้วยพลังเวท ข้าผู้เป็นหนึ่งเดียวกับสัตว์เวท จงกลืนกินพลังของข้า และเผยตัวตนของสัตว์เวทที่หลับใหลในตัวข้าออกมา จงเกิดมาและมีชีวิตร่วมกับข้า จงเผยร่างของเจ้า ณ บัดนี้!”
การร่ายเวทด้วยคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยพลังนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้การฝึกฝนหลายปี แต่ด้วยความทรงจำของเซไพล์ เรย์จิสามารถร่ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับปลดปล่อยพลังเวทมหาศาลออกมา
วงเวทเริ่มเปล่งแสงและค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดูดซับพลังเวทของเรย์จิ แม้เขาจะมีพลังเวทมากมาย แต่พลังนั้นก็ไม่ได้ไร้ขีดจำกัด
เวลาผ่านไป 5 นาที… 10 นาที… 20 นาที…
“อึ๊ก!”
ในที่สุดเขาก็คุกเข่าลงด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนที่วงเวทจะเปล่งแสงเจิดจ้าที่สุดแล้วจู่ ๆ ก็หยุดลง
“สำเร็จ…แล้วเหรอ?”
ด้วยสติที่พร่ามัวเพราะสูญเสียพลังเวท เรย์จิมองเห็นสิ่งหนึ่ง มันคือรังไหมสีดำสนิทที่ดูราวกับหลอมมาจากความมืดมิด
รังไหมเริ่มแตกออก และในชั่วขณะนั้นเอง เรย์จิได้หมดสติลง แต่ก่อนที่จิตใจของเขาจะดับวูบไป เขารู้สึกได้ถึงสัมผัสที่นุ่มนวลและอบอุ่น เสียงคำรามเบา ๆ คล้ายออดอ้อนดังขึ้นใกล้ ๆ และเสียงโลหะบางอย่างตกกระทบพื้นดัง “ก๊อง”