กลางฤดูร้อน แสงแดดแผดเผาจนเหมือนจะละลายทุกอย่างได้ ร้อนแรงแบบไม่คิดจะปรานีใคร ซาเอกิ เรย์จิ กำลังรอไฟแดงอยู่บนจักรยาน เขาใช้หลังมือเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
“นี่มันไม่ได้แค่ร้อนแล้ว เรียกว่าสุกเลยดีกว่า”
เสียงจักจั่นร้องระงมอยู่รอบตัว เขาหรี่ตาแล้วจ้องกลับพระอาทิตย์ด้วยความหงุดหงิด
ทั้งที่เพิ่งสิบโมงกว่า ๆ แต่ความร้อนกลับพุ่งขึ้นไปเกิน 30 องศาเข้าแล้ว ที่ในข่าวบอกว่าบางพื้นที่ร้อนทะลุ 40 องศา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกต่อไป แต่สำหรับเรย์จิที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบททางตอนเหนือ อากาศ 30 องศานี่ก็โหดร้ายเกินพอ
“อากาศแบบนี้ ไปว่ายน้ำที่แม่น้ำยังจะดีกว่าอีก”
คำพูดนี้น่าจะบอกได้ดีว่าบ้านเกิดของเรย์จินั้นอยู่ห่างไกลแค่ไหน เพราะที่นี่สัญญาณโทรศัพท์ยังแทบจะรับไม่ได้ ต้องหามุมดี ๆ ถึงจะจับได้ ส่วนเมืองที่เขาเหยียบอยู่นี่ก็ต้องปั่นจักรยานกว่าชั่วโมงกว่าจะมาถึง
ปกติแล้ว ปิดเทอมหน้าร้อนตอน ม.5 แบบนี้ ควรเป็นช่วงที่ต้องจริงจังกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหา’ลัย แต่เรย์จิไม่ได้ใส่ใจเรื่องพรรค์นั้นเลย เพราะโรงเรียนที่เขาเรียนอยู่มีคนเรียนต่อมหาวิทยาลัยน้อยมาก ส่วนใหญ่เรียนจบก็ออกมาทำงานในท้องถิ่นทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้เรย์จิเลยใช้ชีวิตช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเต็มที่แบบไม่คิดมาก งานที่ครูให้มาก็รีบเคลียร์จนเสร็จตั้งแต่ไม่กี่วันแรก จะได้เอาเวลาไปทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำ
แล้วทำไมวันนี้เขาถึงออกมาปั่นจักรยานตากแดดแทบตายขนาดนี้? ก็เพราะร้านหนังสือโทรมาบอกว่ามีนิยายเล่มใหม่ที่เขารอคอยเข้ามาแล้วไงล่ะ
“น่าจะรอให้เย็นกว่านี้หน่อย หรือไม่ก็บอกให้พ่อแม่ขับรถมาส่งให้จบ ๆ ไปซะก็ดีสิ”
เขาบ่นพึมพำพร้อมกับโบกชายเสื้อยืดเพื่อระบายความร้อนที่อัดอยู่ข้างใน แต่มันก็แทบไม่มีผลอะไรเลย กับอากาศร้อนขนาดนี้ การทำแบบนั้นก็เหมือนเทน้ำใส่หินร้อน ๆ ไม่มีผิด
ตอนรอไฟแดงไม่กี่นาที เหงื่อก็ไหลซึมออกมาอีกจนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดอีกรอบ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เมือง
เมื่อก่อนเมืองนี้อาจจะดูคึกคักอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เกินกว่าครึ่งของร้านค้าปิดตัวลงพร้อมประตูเหล็กสนิมเขรอะ ถึงจะมีคนจบ ม.ปลาย แล้วเลือกทำงานในท้องถิ่นเยอะก็จริง แต่เด็กเกิดใหม่น้อยลงเรื่อย ๆ แบบนี้ มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเริ่มซบเซาลง
ไม่ไกลจากที่เขายืนอยู่ มีบ้านหลังหนึ่งกำลังถูกรื้อถอนอยู่ด้วย
“มันก็คงจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แหละนะ…”
เรย์จิบ่นพึมพำกับตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้ เขาได้แค่มองมันไปแบบนั้น
แต่ในขณะที่กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนลั่นมาว่า “อันตราย! หลบเร็วเข้า!”
เขาหันมองตามเสียงนั้นโดยอัตโนมัติ แล้วสิ่งที่เห็นก็คือแท่งเหล็กยาวประมาณ 5 เมตรก็ตรงมาที่หน้า นั่นคือภาพสุดท้ายที่เรย์จิเห็นในชีวิต…
“โอ้… ในที่สุด…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาให้ได้ยิน เรย์จิรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่รอบตัวเขาไม่มีอะไรเลย มีเพียงพื้นที่ว่างเปล่าสีขาวที่ทอดยาวไปจนสุดสายตา
“…ที่นี่ที่ไหน?”
เขาจำได้ว่าตัวเองถูกเหล็กทับจนตายไปแล้ว… แต่แทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวกับความตายจนร้องไห้ออกมา เขากลับรู้สึกสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
“ฟื้นแล้วสินะ ตัวแทนผู้สืบทอดของข้า”
เสียงที่พูดขึ้นมาทำให้เรย์จิหันไปยังทิศทางของเสียง และทบางสิ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตา
“…บอลเรืองแสง?”
ใช่แล้ว สิ่งที่เขาเห็นคือลูกบอลเรืองแสงขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ที่เปล่งแสงสว่างวูบวาบพร้อมเสียงพูด
“ถ้าเจ้าว่าข้าคือบอลเรืองแสง เช่นนั้นเจ้าก็เป็นบอลเรืองแสงเช่นกัน เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้าพูดถึงอะไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เรย์จิถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองก็กลายเป็นบอลเรืองแสงเช่นกัน ไม่มีมือ ไม่มีเท้า หรือแม้แต่ตาและหู แต่เขากลับมองเห็นและได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
“…นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“ใจเย็นก่อน ผู้มัสิทธิ์สืบทอดของข้า… ไม่สิ… จริง ๆ เจ้าก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรเลยนี่? ข้าเริ่มคิดว่าเจ้าเหมาะสมกับตำแหน่งผู้สืบทอดจริง ๆ แล้วล่ะ”
“ผู้มีสิทธิ์? สืบทอด?”
“ใช่แล้ว ข้าถึงได้เรียกดวงวิญญาณของเจ้ามาที่นี่ ก่อนที่มันจะสลายไปไงล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้เรย์จิจินตนาการถึงภาพของเหล็กที่กำลังจะทับตัวเอง ซึ่งดูแล้วไม่มีทางรอดแน่ ๆ
“จริงด้วย… เราควรจะตายไปแล้ว… งั้นที่นี่ก็คงเป็นโลกหลังความตายสินะ?”
“ไม่ใช่หรอก ที่นี่คือโลกวิญญาณระหว่างโลกสองโลก ข้าได้ใช้เวทมนต์เพื่อค้นหาผู้สืบทอด และเจ้าก็เป็นคนที่เวทมนตร์นั้นเลือกมา”
เรย์จิชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของลูกบอลแสง
“หมายความว่ายังไง? นี่คุณบิดเบือนโชคชะตาอะไรเทือกนั้น เพื่อฆ่าผมงั้นเหรอ?”
ด้วยประสบการณ์จากนิยาย มังงะ และเกมต่าง ๆ เรย์จิคุ้นเคยกับแนวคิดนี้ดี… แต่ถ้ามันเกิดขึ้นกับตัวเอง เขาก็ไม่รู้สึกดีใจนักหรอก
บอลเรืองแสงเปล่งแสงวูบวาบอีกครั้งก่อนตอบ
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก เวทมนตร์ของข้าถูกสร้างขึ้นเพื่อดึงวิญญาณของผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้สืบทอดของข้ามาที่นี่ก่อนที่มันจะเดินทางไปยังโลกหลังความตาย นี่เป็นเพียงเวทมนตร์ที่เชื่อมโยงผู้ที่มีความเหมาะสมก็เท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำอธิบายนั้น เรย์จิจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าสิ่งที่บอลเรืองแสงนี้พูดเป็นเรื่องจริง งั้นการตายของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับบอลเรืองแสงเลย… แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ามันพูดความจริงรึเปล่า
แม้จะไม่สามารถยอมรับคำพูดทั้งหมดของบอลเรืองแสงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกได้ แต่เรย์จิก็ตัดสินใจที่จะให้มันเล่าเรื่องต่อไป
“งั้นก็เล่าต่อสิ ผมอยากฟังต่อ”
“ได้ อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ ข้าพยายามเรียกสิ่งมีชีวิตที่จะมาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของข้า และผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือเจ้า ดังนั้น เจ้าจึงเป็นผู้มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่ง”
“ผมสงสัยมาสักพักแล้ว ผู้สืบทอดที่ว่านี่สืบทอดอะไร?”
“ผู้สืบทอดของศาสตร์เวทย์ที่กำลังใกล้จะสูญหายไป ซึ่งเรียกว่าศาสตร์สัตว์เวท”
บอลเรืองแสงนั้นสั่นไหวและพึมพำด้วยน้ำเสียงเศร้าเล็กน้อย
“ตอนข้าเรียกเจ้ามา ข้าได้อ่านความทรงจำของเจ้าไปบ้างแล้ว โลกของข้านั้นแตกต่างจากโลกของเจ้า ในโลกของข้ามีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ และข้าเองก็เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ที่แกร่งมาก คนอื่น ๆ ในกลุ่มของข้าก็เช่นกัน กลุ่มของข้าเป็นผู้สร้างเวทมนตร์ที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์สัตว์วิญญาณ’ หรือที่ข้าเรียกว่า ‘ศาสตร์สัตว์เวท’”
“พวกคุณสร้างมันขึ้นมา และตอนนี้มันแทบจะหายไปแล้ว งั้นไม่ใข่ว่าศาสตร์เวทนี้ไม่เป็นที่รู้จักหรอกเหรอ?”
“ข้าก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนั้น ศาสตร์สัตว์เวทต้องการพลังเวทมหาศาลเป็นเงื่อนไขในการใช้งาน ซึ่งทำให้มันยากที่จะใช้ในกลุ่มคนอื่นนอกจากกลุ่มของข้า”
“พลังเวทมหาศาล… แล้วผมจะมีมันเหรอ?”
เพราะถ้าพลังเวทมหาศาลเป็นเงื่อนไขการใช้งานศาสตร์สัตว์เวท เขาก็คงต้องมีพลังเวทมหาศาลเหมือนกัน ถึงจะเป็นผู้สืบทอดได้ เรย์จิถามต่ออย่างสงสัย
“เจ้ามีแน่นอน หรือว่ากันตามตรง ในโลกของเจ้า ไม่มีใครที่มีพลังเวทมากไปกว่าเจ้าอีกแล้ว เจ้าผู้พลังเวทที่ยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้น… ข้าเองยังสนใจว่า ทำไมในโลกที่ไม่มีเวทมนตร์ถึงมีเจ้าที่เรียกได้ว่าเป็นความผิดปกติเกิดขึ้น แต่ว่าข้าไม่มีเวลาที่จะไขความลับนี้แล้ว ดังนั้นขอให้เจ้าฟังให้ดีและตัดสินใจเอง”
หลังจากนั้น บอลเรืองแสงก็อธิบายต่อว่า โลกของเขามีเวทมนตร์ที่ต่างจากโลกของเรย์จิ ในโลกของเวทมนตร์นั้น กลุ่มของเขาเป็นที่รวมตัวกันของจอมเวทระดับสูงที่มีพลังเวทมหาศาล ถึงแม้จะเป็นกลุ่มที่มีแต่จอมเวท แต่ศักยภาพการสู้รบของพวกเขาก็มากพอที่จะทำลายประเทศเดียวทิ้งได้ในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งกลุ่มจอมเวทนี้เองที่มีการรวมตัวกันสร้างเวทมนตร์ที่เรียกว่า “ศาสตร์สัตว์เวท” แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ต้องมีพลังเวทมหาศาลที่จะใช้งานมันได้ ทำให้ไม่มีใครนอกจากกลุ่มพวกเขาที่สามารถใช้งานมันได้ และการที่มีจอมเวทระดับสูงเกิดมาหลายคนในยุคเดียวกัน ทำให้ไม่มีจอมเวทระดับเดียวกันเกิดขึ้นมาเลยในยุคหลัง แถมศาสตร์สัตว์เวทนี้ยังใช้งานได้แค่ครั้งเดียวในช่วงชีวิตคนอีก ทำให้มันไม่เป็นที่แพร่หลาย
ถึงแม้ว่าจะเป็นกลุ่มของจอมเวทระดับสูง แต่พวกเขาก็มีอายุขัยที่จำกัด มีจอมเวทเริ่มตายไปทีละคน สองคน จนกลุ่มเริ่มหายไป
แม้แต่บอลเรืองแสงที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นคนสุดท้ายที่เหลือรอดจากกลุ่มนั้น แต่เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายได้ ในท้ายที่สุด เขาทนไม่ได้ที่เวทที่คิดขึ้นมาจะหายไปทั้งอย่างนี้ หากโลกนี้ไม่มีคนที่ใช้มันได้ แล้วถ้าเป็นโลกอื่นล่ะ? คิดได้ดังนั้น เขาจึงใช้ชีวิตเฮือกสุดท้ายของตนสร้างโลกวิญญาณระหว่างโลกต่าง ๆ มาเป็นเวลาหลายร้อยปี คอยเรียกจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดศาสตร์สัตว์เวทมาจากโลกต่าง ๆ และคนที่ถูกดึงมาจากโลกนั้นก็คือเรย์จิ
“เข้าใจแล้ว ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้ว… เอ่อ แล้วถ้าผมปฏิเสธล่ะ?”
“ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก เจ้าก็จะเดินทางไปยังโลกหลังความตาย และจะได้เกิดใหม่ในชีวิตใหม่อีกครั้ง”
“ถ้าเลือกที่จะสืบทอดศาสตร์สัตว์เวทล่ะ?”
“ในกรณีนี้ ข้าจะเป็นสื่อกลางให้กับเจ้า อีกทั้งยังมอบร่างใหม่ให้เจ้าด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น บอลเรืองแสงของเรย์จิก็สั่นไหวเล็กๅน้อย
“…เดี๋ยวก่อนนะ มีคำที่ผมไม่เข้าใจหลายคำเลย อย่างแรก ‘สื่อกลาง’ นั่นคืออะไร?”
“ก็คือความหมายตามนั้น ข้าต้องทำขั้นตอนนี้เพื่อส่งต่อความรู้ให้กับเจ้าทำให้เจ้าสามารถรู้เรื่องต่าง ๆ ได้”
“หมายความว่า… ผมกับคุณต้องรวมร่างกันเหรอ?”
“ไม่ใช่ ข้าจะเป็นแค่สื่อกลางเท่านั้น หลังจากที่ข้าให้ความรู้กับเจ้าแล้ว ข้าจะถูกดูดซึมไปและหายไป แต่เจ้ากับข้าก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันไม่เปลี่ยน หลัก ๆ แล้วเจ้าจะยังเป็นตัวเจ้าเองนั่นแหละ แต่ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเท่านั้น”
เรย์จิรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินว่าอย่างน้อยตัวตนของเขาจะยังคงอยู่ และจึงถามคำถามต่อไป
“แล้วร่างใหม่นี่คือยังไง?”
“เพราะเจ้าสูญเสียร่างกายของเจ้าไปในโลกของเจ้าแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น เรย์จิก็ย้อนคิดถึงเหล็กเส้นที่พุ่งเข้ามาหาเขา ในขณะที่เขาโดนมันทับ ร่างกายของเขาคงไม่ได้มีสภาพดีแน่นอน
“นั่นมันก็จริง…”
“ดังนั้น ข้าจะใช้พลังเวทและวิทยาการที่ดีที่สุดจากกลุ่มข้าในการสร้างร่างใหม่ให้เจ้าจากนั้นจิตวิญญาณของเจ้าจะถูกฝังลงในร่างนั้น”
“อ่อ นั่นคือร่างใหม่สินะ”
“หลังจากที่เจ้าสืบทอดศาสตร์สัตว์เวทย์ไปแล้ว ข้าก็จะหายไป ดังนั้น ทรัพย์สมบัติ เช่น อุปกรณ์เวทมนตร์หรือวัตถุดิบล้ำค่าที่กลุ่มข้าทิ้งไว้ทั้งหมดจะกลายเป็นของเจ้าทั้งหมด”
“มรดกของเหล่าผู้ใช้เวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกที่มีชีวิตหลายร้อยปี… สุดยอดไปเลย แล้วเรื่องพลังเวทจะเป็นยังไงล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วง พลังเวทเป็นสิ่งที่ผูกกับจิตวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกาย”
“หมายความว่า… พลังเวทมหาศาลที่ผมมีนั้นจะยังคงอยู่ใช่มั้ย? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมคุณไม่ใช้ร่างใหม่นี้และกลับมามีชีวิตใหม่เองล่ะ?”
“ไม่ได้หรอก ข้ากับร่างใหม่นั้นไม่เหมาะสมกัน และจิตวิญญาณของข้าเองก็แก่และเสื่อมโทรมไปมาก ความอยากรู้อยากเห็นหรือความปรารถนาในการค้นหาสิ่งใหม่ ๆ ก็หมดไปแล้ว ข้าไม่สามารถใช้ชีวิตในฐานะจอมเวทได้อีกแล้วล่ะ ข้าบอกเรื่องที่ข้าต้องการจะบอกหมดแล้ว เจ้าตัดสินใจเถอะว่าจะสืบทอดวิทยาการและทักษะที่ข้าและกลุ่มข้าทิ้งไว้มั้ย?”
“…ก็เอาเถอะ ถ้าผมปฏิเสธก็แค่ไปโลกหลังความตายเท่านั้นเอง ผมยอมรับข้อเสนอของคุณ”
บอลเรืองแสงกระพริบหลายครั้ง
“ขอบคุณมาก งั้นมาเริ่มการรวมร่างกันเลย”
“อืม แล้วต้องทำยังไงบ้าง?”
“มันไม่ยากอะไรหรอก ตอนนี้ที่เจ้าอยู่ในที่แห่งนี้ ทุกอย่างก็พร้อมแล้ว แค่เราสองคนสัมผัสกัน การรวมร่างจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และร่างใหม่ของเจ้าจะถูกสร้างขึ้นพร้อมกับจิตวิญญาณของเจ้าที่ฝังลงไป”
“เข้าใจแล้ว… ลงมือเลย”
“อืม งั้นข้าจะเริ่มการรวมร่างแล้วนะ”
เมื่อกล่าวจบ บอลเรืองแสงก็ลอยเข้ามาใกล้เรย์จิ… และรวมเข้ากับเขาทันที
“ซาเอกิ เรย์จิ ขอบคุณเจ้ามาก ขอให้ชีวิตใหม่ของเจ้ามีแต่ความสุข”
พร้อมกับคำพูดของบอลเรืองแสง จิตใจของเรย์จิก็จมดิ่งลงไปในความมืด
___________________________________________________________________________________________
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สองของผม จะแปลคู่ไปกับAIต่างโลกนะครับ จะแปลสลับวันกัน โดยเรื่องนี้จะแปล3ตอนต่ออาทิตย์
ปล. ชื่อเรื่องผมตั้งใจใช้ ‘ร’ หรอกนะเออ!