[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร ]
บทที่ 439 : มันจบแล้ว!
“ลุงหลงครับ.. ผมเพิ่งสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปจัดการถล่มบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นมา..”
หลิงหยุนและหลงคุนนั่งคุยกันอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง และจู่ๆหลิงหยุนก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อต้องการฟังความเห็นจากหลงคุนซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งมังเขียว และเป็นผู้ที่คร่ำหวดอยู่ในวงการนักเลงมานาน
หลงคุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย “งั้นรึ! บริษัทนี้เพิ่งจะมาเปิดในเมืองจิงฉูได้เพียงแค่สองสามปี และดูเหมือนจะเป็นอันตรายกับเด็กสาวๆในระดับมหาวิทยาลัยอย่างมาก พวกมันหากินด้วยการบังคับเด็กสาวๆให้ขายบริการ พังทิ้งก็ดีแล้วนี่!”
หลิงหยุนพยักหน้าและถามต่อว่า “แล้วเถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซัน.. ผมควรจัดการกับพวกมันสองคนยังไงดี?”
หลงคุนตอบกลับไปยิ้มๆ “พูดตามตรงนะ.. สองคนนั่นไม่มีประโยชน์อะไรกับเธอเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถียนป๋อเตา ตอนนี้ก็เหลือแต่ตัวแล้ว! ส่วนกู่เหลียนซันนั้น คงจะมีประโยชน์กับหลานชายในการใช้รีดเงินจากกู่เหลียนซันได้บ้าง..”
หลิงหยุนเองก็กำลังคิดจะทำเช่นนั้นอยู่พอดี แต่หลงคุนก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “แต่ในความคิดของฉัน น่าจะส่งสองคนนี้ให้กับถังเทียนห่าวกับหลี่ยี่เฟิงเป็นผู้จัดการ เพราะสองคนนั้นรอคอยวันที่จะจัดการถอนรากถอนโคนหลัวจ้งมานานแล้ว หากทั้งคู่ได้ตัวเถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซันไปก็คงจะเป็นประโยชน์กับพวกเขามาก..”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ลุงถังกับลุงหลี่ยังอยู่ระหว่างโดนตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”
หลงคุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “หลานชายอาจจะยังไม่เข้าใจระบบภายในของทางราชการเท่าไหร่ เปรียบเทียบแล้วหลี่ยี่เฟิงก็ไม่ต่างจากเจ้าเมืองจิงฉู ส่วนพ่อของถังเทียนห่าวก็เป็นถึงนายพลเก่า แต่ต้องบอกว่าที่พวกเขาต้องโชคร้ายนั้นก็เพราะเรื่องของเธอ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่ใครจะทำอะไรพวกเขาทั้งสองคนได้..”
“และตัวแปรที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือตระกูลซัน ซันเทียนเปียวจงใจมาสร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองจิงฉู แล้วก็จงใจให้สองคนนั้นถูกปลดเพื่อไม่ให้ใครปกป้องเธอได้อีก ตอนนี้หลานชายได้จัดการซันเทียนเปียวไปแล้ว ตระกูลซันที่เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กีดขวางสองคนนี้ก็ได้ถูกยกออกแล้ว และตอนนี้ทุกอย่างก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล!”
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด.. วันนี้คงต้องมีข่าวอะไรแน่!”
ระหว่างที่หลงคุนพูดอยู่นั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและแย้มยิ้มออกมาคล้ายกับว่าได้รับข่าวอะไรบางอย่างมาแล้ว
และยังไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบบว่าเป็นถังเมิ่งที่โทรเข้ามา
หลิงหยุนรีบกดรับสายทันที และได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นของถังเมิ่งดังมาจากปลายสาย “พี่หยุน.. สำเร็จแล้ว! มันโคตรเจ๋งเลย ฮ่า..ฮ่า..”
หลิงหยุนถามยิ้มๆ “เกิดอะไรขึ้น.. นี่นายดีใจเรื่องอะไรกัน?”
ถังเมิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วพูดต่อว่า “พี่หยุน.. มีข่าวดีสองเรื่อง! เรื่องแรก – คณะกรรมการที่ทำการสอบสวนลุงหลี่ถูกเรียกกลับไปวันนี้โดยไม่รู้สาเหตุ เรื่องที่สอง – พ่อของฉันพ้นข้อกล่าวหาแล้วนะ แล้วก็ได้กลับมาเป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงแล้วด้วย!”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองหลงคุนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับคิดในใจว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ เขาจึงรีบถามถังเมิ่งกลับไปว่า
“แล้วหลัวจ้งล่ะ?”
ถังเมิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขแล้วเล่าให้หลิงหยุนว่า “หลัวจ้งน่ะเหรอ? ตอนนี้กรรมสนองมันแล้ว มันก็โดนควบคุมตัวไว้ชั่วคราวเหมือนที่พ่อฉันโดนนั่นล่ะ แล้วก็กำลังถูกตั้งกรรมการสอบสวน ตอนนี้มันไม่เหลืออะไรแล้ว!”
หลิงหยุนได้แต่คิดว่าเหตุใดทุกอย่างถึงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้?! แต่เขาก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกไป และถามถังเมิ่งต่อว่า
“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำยังไงต่อ?”
ถังเมิ่งตอบกลับในทันที “ไม่ต้องทำอะไรพี่หยุน.. พ่อเพิ่งจะโทรสั่งฉันให้มาบอกให้พี่ช่วยส่งตัวเถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซันให้เขาด้วย!”
และนั่นยิ่งทำให้หลิงหยุนทึ่งอย่างมาก เขาบอกทางมาบ้านของหลงคุนให้ถังเมิ่งรู้เพื่อให้ขับรถมาหาเขาที่นี่ แล้วจึงวางสายไป
หลิงหยุนพุ่งไปหาหลงคุนพร้อมกับพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ลุงหลง.. ไม่น่าเชื่อว่าลุงหลี่กับลุงถังถูกปล่อยตัวแล้ว!”
หลงคุนได้ยินเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ที่หลิงหยุนคุยโทรศัพท์แล้ว เขาจึงได้แต่หัวเราะ “เรื่องในระบบราชการ.. บทจะช้าก็ช้าจนคนรอตายกันไปข้าง แต่บทจะเร็วก็เปลี่ยนแปลงเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”
จากนั้นหลงคุนก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และโทรสั่งเพียงสองประโยคแล้วจึงรีบวางสายไป
“เอาล่ะ.. ฉันจัดการสั่งลูกน้องเรียบร้อยแล้ว! ถ้าถังเมิ่งมาถึงหลานชายก็ให้เขาไปรับสองคนนั่นไปที่สถานีตำรวจได้เลย ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางการไป ครั้งนี้นับว่าเป็นจุดจบของหลัวจ้งแล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า เรื่องใหญ่ๆในสมองของเขาได้ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งเรื่องแล้ว
เพียงแค่ยี่สิบนาทีถังเมิ่งก็ขับรถมาถึง หลังจากที่เขาเดินเข้าไปในบ้าน ก็รีบเอ่ยทักทายหลงคุนด้วยความเคารพนบนอบพร้อมกับเล่ารายละเอียดต่างๆให้กับหลงคุนฟัง
หลังจากได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้ว หลงคุนก็ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ เขาเพียงแค่ให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์พร้อมกับบอกว่ากู่หลียนซันและเถียนป๋อเตาถูกคุมตัวอยู่ที่นั่น ซึ่งก็ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก
หลงหวู่เดินออกมาจากบ้านพอดี เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนกำลังจะกลับ ในใจก็รู้สึกผิดหวัง และต้องการจะไปกับหลิงหยุนด้วย แต่หลงคุนห้ามไว้เสียก่อน
หลังจากที่หลิงหยุนกับถังเมิ่งออกไป หลงคุนก็ได้ตำหนิลูกสาวของตนเอง “ลูกพ่อ.. ที่พ่อบอกไว้ ลูกลืมหมดแล้วหรือยังไง?”
“หลิงหยุนเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมาก เมืองจิงฉูเล็กๆแห่งนี้ไม่สามารถยึดเขาไว้ได้ ถ้าลูกไม่ต้องการอยู่ที่นี่คนเดียว ก็ทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วหลิงหยุนจะมองเห็นลูกอยู่ในสายตาเอง!”
…….
รถแลนด์โรเวอร์และรถฮัมเมอร์มุ่งหน้าไปยังอาคารแห่งหนึ่งในเมืองจิงฉูซึ่งเป็นสถานที่กักตัวกู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตา โดยมีคนของแก๊งมังกรเขียวคอยดูแลอยู่
ระหว่างทางถังเมิ่งก็ได้โทรหาถังเทียนห่าวขอให้เขาช่วยส่งคนมานำตัวสองคนนี้กลับไปด้วย ดังนั้นเมื่อทั้งคู่ไปถึงจึงได้พบกับกังหลิวหย่งซึ่งคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
หลิงหยุนและถังเมิ่งลงจากรถพร้อมกับทักทายกังหลิวหย่งสองสามคำ แม้ว่ากังหลิวหย่งจะลืมหลิงหยุนไปแล้ว แต่เขาก็สุภาพกับหลิงหยุนมากเพราะถังเทียนห่าวกำชับมา
สมาชิกของแก๊งมังกรเขียวนำตัวเถียนป๋อเตาและกู่เหลียนซันที่หมดเรียวหมดแรงไปส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงที่รถ
คนของแก๊งมังกรเขียวกับตำรวจนั้นเรียกได้ว่าอยู่กันคนละฝ่าย พวกเขาต่างก็มาทำงานให้กับหลิงหยุน และเมื่อหลิงหยุนเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงได้สั่งให้พวกเขากลับไปได้
หลิงหยุนบอกกับกังหลิวหย่งว่า เขามีบันทึกคำสารภาพของสองคนนี้อยู่ที่เหลียงเฟิงอี้ ถ้าต้องการเขาจะจัดการส่งให้
กังหลิวหย่งพยักหน้ารับรู้ และขอตัวหลิงหยุนกับถังเมิ่งกลับไปที่สถานีตำรวจทันที
หลังจากที่คนของแก๊งมังกรเขียวและตำรวจต่างก็กลับไปแล้ว หลิงหยุนก็โทรเรียกตี้เสี่ยวอู๋ให้ไปที่บ้านของหลงคุน และทุกอย่างหลงคุนจะเป็นผู้แจ้งแก่ตี้เสี่ยวอู๋เอง
หลังจากที่หายตื่นเต้น ถังเมิ่งก็ถามหลิงหยุนว่าจะทำอย่างไรต่อไป..
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “นายบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าครั้งนี้หลัวจ้งไม่รอดแน่?”
ถังเมิ่งหัวเราะ “พี่หยุน.. พี่สบายใจได้! ลุงหลี่กับพ่อของฉันคอยวันนี้มานานแล้ว พวกเขาเพิ่งพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ไป ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปแน่ มีหรือจะยอมปล่อยหลัวจ้งให้รอด!?”
หลิงหยุนถามต่อว่า “แล้วตระกูลเสียล่ะ? จัดการให้สิ้นซากไปพร้อมกันเลยจะได้ไม๊?”
ถังเมิ่งเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ! เพราะยังไงหลัวจ้งก็ไม่มีทางซัดทอดเสียเจิ้นติงแน่ แต่เสียเจิ้นเหยินทำร้ายฉันบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น พ่อยังเก็บความแค้นไว้ในใจ และคงไม่ปล่อยให้ตระกูลเสียได้อยู่อย่างสงบแน่!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “แล้วพบตัวเสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะหรือยัง?”
ถังเมิ่งส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดและผิดหวัง “ฉันถามเพื่อนๆเกี่ยวกับข่าวคราวของพวกมันสองคน แต่ก็ไม่มีใครรู้ข่าวเลย ดูเหมือนทางครอบครัวของพวกมันสองคนจะช่วยกันซ่อนและปกปิดไว้อย่างดี ไม่แน่ว่าพวกมันสองคนอาจจะไม่ได้อยู่ในจิงฉูแล้วก็ได้!”
หลิงหยุนตบบ่าถังเมิ่งเป็นการปลอบบใจ “นายไม่ต้องห่วงเรื่องนี้.. ฉันเชื่อว่ายังไงพวกเราก็ต้องหาพวกมันสองคนพบ พวกมันไม่มีทางหลบซ่อนไปได้ตลอดหรอก!”
“แล้วนี่นายโทรหาเหลายู่หรือยัง?” หลิงหยุนรู้สึกผิดต่อเหยาลู่และต้องการที่จะชดเชยให้กับเธอ
ถังเมิ่งส่ายหน้า “โทรแล้ว.. แต่เธอบอกว่าไม่ต้องการให้ฉันไปด้วย เธอแค่จะไปดูๆก่อน”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ก็ดี.. แต่นายก็ควรจะช่วยเธอดูๆด้วย แล้วถ้าเจอบ้านดีๆที่อยู่ไม่ไกลจากคลีนิกนักก็ให้รีบมาบอกฉันเลย”
ถังเมิ่งทำหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หยุน.. เมื่อบ่ายนี้พี่ให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปถล่มบริษัทชิงหยุนมาแล้วเหรอ? ตี้เสี่ยวอู๋บอกฉันว่าเขาไปจัดการถล่มที่นั่นจนราบไปแล้ว..”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับปลอบไปว่า “ถังเมิ่งนายไม่ต้องเสียดายหรอก ตอนนี้พวกเรามีเงิน เปิดบริษัททำภาพยนตร์และทีวีไม่ใช่เรื่องยากนี่..”
พูดจบหลิงหยุนก็ถามเวลาถังเมิ่ง และเมื่อรู้ว่าโรงเรียนใกล้จะเลิกแล้ว จึงรีบขับรถกลับไปที่โรงเรียนทันที เขาต้องรีบไปรับหนิงหลิงยู่กลับไปที่บ้านเลขที่-9 ในอ่าวจิงฉู
ความจริงแล้ว.. คืนนี้จะต้องมีการทบทวนด้วยตัวเองในภาคค่ำ แต่หลิงหยุนไม่ต้องการให้น้องสาวของเขาอยู่ เพราะด้วยศักยภาพในการเรียนของหนิงหลิงยู่นั้น เรียกได้ว่าไม่ต้องมาโรงเรียนก็ยังได้
ในเวลาแบบนี้.. สู้ให้หนิงหลิงยู่ไปอยู่กับฉินตงเฉี่วยให้มากจะดีกว่า เพราะดูเหมือนจะได้ประโยชน์มากกว่า
………..
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น..
ระหว่างที่รอหลิงหยุนมารับนั้น หนิงหลิงยู่ยังคงนั่งทบทวนหนังสืออยู่เงียบๆ
เฉิงเมี่ยนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองนั้น ก็ผลุดขึ้นผลุดลงอยู่หลายครั้งเพราะต้องการจะเดินไปหาหนิงหลิงยู่เพื่อขอโทษ แต่ก็ไม่กล้า..
ใบหน้าของเฉิงเมี่ยนเป็นสีแดง เธอจ้องมองหน้าสวยชวนฝันของหนิงหลิงยู่พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ตัวเองอีกครั้ง
‘เมียน.. ถ้าเธออยากให้หลิงหยุนยอมรับ ก็ต้องผ่านด่านหนิงหลิงยู่ไปให้ได้ก่อน ยังไงเธอก็ต้องให้อภัยแน่นอน!’
เฉิงเมี่ยนย้ำประโยคนี้ในใจกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน!
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นกัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับเดินเข้าไปหาหนิงหลิงยู่ แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงว่า
“หนิงหลิงยู่.. ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ!”