สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 1002 บันทึกท้ายเล่ม (1)

บทที่ 1002 บันทึกท้ายเล่ม (1)

บทที่ 1002 บันทึกท้ายเล่ม (1)

……….

แคว้นเจา ตำหนักเหรินโซ่ว

หลายวันมานี้จวงไทเฮาไม่อยากอาหารนัก ฉินกงกงสั่งให้ห้องเครื่องหลวงเปลี่ยนวิธีปรุงอาหารให้นางกิน แต่นางก็ยังกินเพียงไม่กี่คำ

ฉิงกงกงแอบส่งจดหมายไปยังตรอกปี้สุ่ย แต่กลับถูกจวงไทเฮาจับได้

จวงไทเฮาถลึงตามองเขา

ฉินกงกงแอบถอนหายใจ รู้ว่านางไม่อยากให้เด็กๆ เห็นตัวเองตอนป่วย แต่เขาเองก็ทรมานใจ

“ไทเฮา ฝ่าบาทเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เสียงนางในรายงานจากด้านนอกตำหนักบรรทม

ฉินกงกงมองไทเฮาสภาพอิดโรยหลังป่วย จึงเอ่ยเสียงกระซิบ “ให้บ่าวกลับไปทูลฝ่าบาทว่าท่านพักผ่อนอยู่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”

จวงไทเฮามองจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้ายามราตรี ขมวดคิ้วย่นพลางเอ่ย “เขามายามนี้ คงมีเรื่องสำคัญ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ฉินกงกงออกไปรับฝ่าบาทเข้ามา

ฮ่องเต้ก้าวเข้ามาในห้อง มองจวงไทเฮาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูง เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล “เสด็จแม่อาการดีขึ้นหรือไม่”

เจ้าลูกชายคนนี้ถึงจะโง่ไปหน่อย แต่ความห่วงใยที่มีต่อไทเฮานั้นไม่มีเสแสร้ง

น้อยนักที่จวงไทเฮาจะไม่กลอกตา เอ่ยเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน “ข้าหายตั้งนานแล้ว พวกเจ้าตื่นตกใจกันเองต่างหาก ว่ามาสิ มาดึกดื่นปานนี้ มีเรื่องอะไรจะคุยกับข้า”

ฮ่องเต้นั่งลงข้างเสด็จมา ก่อนจะเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่ปิดบังท่านก็แล้วกัน ลูกมีเรื่องอยาจะปรึกษาเสด็จแม่จริงๆ ”

“เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทรึ” จวงไทเฮาถามเข้าประเด็น

ไท่จื่อถูกถอดออกจาตำแหน่งมาสองปีแล้ว เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้แต่งตั้งรัชทายาทในราชสักนัก หากยังไม่แต่งตั้ง เกรงว่าจะแบ่งพรรคแบ่งพวกแย่งตำแหน่งกันเป็นแน่

ฮ่องเต้ยอมรับแต่โดยดี

จวงไทเฮามองเขา “แล้วเจ้าตัดสินใจเช่นไร”

ฮ่องเต้ตรัส “ลูกคิดว่า รุ่ยอ๋องรับหน้าที่ยิ่งใหญ่นี้ได้” ตรัสเพียงเท่านั้นก็นิ่งไปก่อนจะตรัสต่อ “เพียงแต่สองปีมานี่เสี่ยวชีก็เอาการเอางานมากขึ้นเยอะ”

จวงไทเฮามองไปยังฟากฟ้าราตรีไร้ขอบเขต “เสี่ยวชีอายุสิบแปด ใกล้สิบเก้าแล้ว ตอนอาเหิงอายุเท่านี้ก็สอบเป็นจอหงวนได้แล้ว”

“ใช่” ฮ่องเต้ตรัสอย่างจนใจ “ลูกกำลังลังเลระหว่างรุ่ยอ๋องและเสี่ยวชี อยากฟังความเห็นเสด็จแม่”

จวงไทเฮาตอบเสียงเรียบ “ข้าจะมีความเห็นอะไรได้เล่า เจ้าเป็นฮ่องเต้ จะตั้งใครก็เป็นฮ่องเต้ของข้าอยู่ดี”

“เสด็จแม่!” ฮ่องเต้ไม่ชอบที่นางขีดเส้นเบ่งระหว่างตนอย่างชัดเจน ราวกับนางมิใช่คนในครอบครัวอย่างไรอย่างนั้น

จวงไทเฮาฮึดฮัด “ทำไมรึ ข้าเหนื่อยเพราะราชสำนักแคว้นเจามาทั้งชีวิตแล้ว ใกล้จากแล้วก็จะไม่ให้คนเขาสงบสุขสักวันเลยหรือ”

ฮ่องเต้คิ้วขมวด “เสด็จแม่ตรัสอะไรเช่นนั้น ท่านยังอายุยืนยาวนับร้อยปี!”

“พอแล้ว พอแล้ว ข้าไม่ชอบฟังคำพวกนั้น” จวงไทเฮาโบกมือปัด เปิดขวดโหลผลไม้เชื่อมบนโต๊ะ ภายในมีผลไม้เชื่อมที่เจียวเจียวทำให้นาง วันหนึ่งกินสามลูก นางสะสมมาแล้วห้าวัน

นางหยิบผลไม้เชื่อมออกมาลูกหนึ่ง จ้องมองมันพลางเอ่ย “ข้าขอถามเจ้าเพียงแค่คำถามเดียว หากรุ่ยอ๋องสืบทอดบัลลังก์ เสี่ยวชีจะยอมหรือไม่”

“เรื่องนั้น…” ฮ่องเต้นิ่งไป

จวงไทเฮาเอ่ยต่อ “หากเขาไม่ยอม ก่อกบฏ รุ่ยอ๋องจะต้านไหวหรือไม่”

สีหน้าของฮ่องเต้ดูห่อเหี่ยว “ต้านไม่ไหวอยู่แล้ว”

แม้รุ่ยอ๋องจะมีหลัวกั๋วกงหนุนหลังก็จริง แต่ฉินฉู่อวี้นั้นมีทั้งจวนเซวียนผิงโหว องค์หญิงซิ่นหยางกับเซียวจี่เองก็คืนดีกันแล้ว ก็คงช่วยเขาเช่นกัน

เขายังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเซวียนหยวนซี ลูกชายของเสนาบดีกลาโหมสวี่โจวโจว

นี่ยังไม่ได้นับรวมเส้นสายในวังของเซียวเหิงไปด้วย

นอกจากประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ เสี่ยวชีเป็นลูกของฮองเฮา

คำตอบจะออกมาเช่นไรนั้นคงไม่ต้องถาม

ตำแหน่งนี้ ใช่ว่าอยากจะแย่งก็แย่งมาได้ ต่อให้เสี่ยวชีเองไม่ได้หวังจะครอบบัลลังก์ แต่มีหรือเซียวฮองเฮาจะยอม นางลงแรงไปขนาดนั้นแล้วมีหรือจะหยุดง่ายๆ

จวงไทเฮาเอ่ยอย่างลึกซึ้ง “คนเราเป็นฮ่องเต้ ไม่จำเป็นต้องฉลาดที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ครองแผ่นดินให้สงบสุขที่สุด”

ต้องแต่งตั้งฉินฉู่อวี้ขึ้นตำแหน่งเขานั้น ถึงจะหยุดความคิดชิงบัลลังก์ของราชโอสรพระองค์อื่นได้ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีผู้ใดมั่นใจว่าจะโค่นอำนาจได้สำเร็จหากเซียวจี่ยังอยู่

จวงไทเฮามองเขาครู่ก่อนจะตรัส “ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวชีมิได้เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิด อย่าประเมินเขาต่ำไป”

เจ้าเด็กดื้อที่เติบโตมากับจิ้งคง หากไม่มีของดีเหมือนกันคงเลิกคบกันไปตั้งนานแล้ว

ฮ่องเต้ครุ่นคิด “ลูกเข้าใจแล้ว”

หลังจากฮ่องเต้กลับไป ไทเฮาก็ทำใจกินผลไม้เชื่อมไม่ลง ใส่กลับลงไปในโหลดอีกครั้ง

ฉินกงกงเดินเข้ามารินน้ำอุ่นให้หนึ่งแก้ว เหมือนเห็นนางเหม่อลอย จึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เรื่องแต่งตั้วรัชทายาทก็คลี่คลายแล้ว ในใจท่านยังมีเรื่องอันใดอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ให้จะรู้ว่าหลังจากที่จวงไทเฮาจ้องลึกเข้าไปในแววตาของเขา จู่ๆ ก็โพล่งออกมา “เจ้าแก่แล้ว”

ฉินกงกงชะงักไป ก่อนเอ่ยต่อ “ข้าน้อยเองก็มิใช่ปีศาจ จะไม่แก่ได้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

จวงไทเฮาเม้มปาก อยากจะบอกตัวเองแก่แล้วต่างหาก

นางกลืนคำนั้นลงคอแล้วเอ่ยถาม “เจ้ากับข้าเข้าวังมาพร้อมกันใช่หรือไม่”

ฉินกงกงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ว่า ตอนแรกข้าไม่มีวาสนาได้ปรนนิบัติไทเฮา”

จวงไทเฮาทอดถอนใจ “เจ้าไม่รับเลี้ยงเด็กไว้สักคนหรือ หากข้าสิ้นแล้ว ตะพาบในสระนั่นก็เลี้ยงดูเจ้าไปจนตายไม่ได้หรอกนะ”

ฉินกงกงพลันสะอื้นขึ้นมา “เหตุใดช่วงนี้ท่านถึงได้พูดเรื่องเหลวไหลบ่อยนัก”

ข้าก็แค่บ่าวไพร่คนหนึ่ง ท่านไม่ต้องใส่ใจหรอก

จวงไทเฮามิใช่คนเศร้าหมองอยู่แล้ว นางสงบนิ่ง “เสี่ยวซุ่นไปโยวโจวนานเท่าใดแล้ว คงกลับมาเมืองหลวงแล้วกระมัง”

ฉินกงกงปาดน้ำตาพลางเอ่ย “นับวันดูแล้ว คงกลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไทเฮาอยากจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่กลับห้ามตัวเองเอาไว้

กู้เสี่ยวซุ่นมุ่งหน้าไปยังโยวโจวตั้งแต่ปีก่อน เขาแต่งงานมาสามปีแล้ว ภรรยาคือลูกสาวจากตระกูบัณฑิตที่ท่านย่าตั้งใจเลือกให้ เรือนอยู่ที่เมืองหลวง แต่บ้านเกิดอยู่โยวโจว คราวนี้กลับไปไหว้บรรพบุรุษกับภรรยา อีกเหตุผลหนึ่งเพราะได้รับได้มอบหมายจากกรมโยธา ให้สร้างสวนป่าหลวงที่โยวโจว

เขาหาเวลาว่างพาภรรยาไปยังหมู่บ้านชิงเฉวียน

เขาตัดขาดกับตระกูลกู้ตั้งนานแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางไปเยี่ยมพวกเขา แต่ไปเยี่ยมหลุมศพอาสามและอาสะใภ้สาม

ใครจะไปรู้ว่าพอเข้าหมู่บ้านมาก็บังเอิญเจอแม่นางหลิง แม่แท้ๆ ของตัวเอง

แม่นางหลิวมาตักน้ำที่หน้าประตู นางแก่ตัวลงมา เพิ่งอายุได้สี่สิบกว่าก็มีผมขาวประปรายแล้ว ข้างกายนางมีเด็กหญิงหน้าตามอมแมมนั่งอยู่

เด็กหญิงคว้าพื้นดินตรงหน้าใส่ปาก พอนางเห็นก็ตีมือเด็กหญิงทันที “อะไรก็ยัดใส่ปากหมด! จะตายเข้าสักวัน!”

ไม่รู้ว่าเด็กหญิงเจ็บหรือว่ากลัว ถึงได้ร้องไห้งอแงออกมา!!

“นอกจากกินก็ร้องไห้! ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง!” แม่นางหลิวบ่นไม่หยุดปาก เด็กหญิงเองก็ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม แม่นางหลิวโมโหจนฟาดนางไปหลายฝ่ามือ

กู้เสี่ยวซุ่นนึกถึงตัวเองในวัยเด็กอย่างอดไม่ได้ เขาเองก็เติบโตมาทั้งคำด่าและฝ่ามือของแม่นางหลิวเช่นกัน

แถมเพราะเขาทั้งดื้อทั้งเถียงคำไม่ตกฟาก แม่นางหลิวจึงมือหนักกว่าปกติ

เด็กไม่เชื่อฟังก็ต้องตี เขาไม่เคยโกรธเกลียดแม่นางหลิวเพราะเหตุนี้

ที่เขาผิดหวังในตัวแม่นางหลิว เพราะว่าลูกชายคนนี้ไม่เคยอยู่ในใจของเขาเลย

แม่นางหลิวรักกู้เอ้อร์ซุ่นที่ทั้งฉลาดและช่างเอาใจมากกว่าเขา

“สามี เป็นอะไรไปหรือ” ภรรยาเฉินอวิ๋นถาม

“ไม่มีอะไร พวกเราไปกันเถอะ” กู้เสี่ยวซุ่นพยุงภรรยาลงจากม้า

แม่นางหลิวหันมาก็เจอเขาในทันที

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset