บทที่ 995 เด็กน้อยผู้น่ารัก (ฉบับจิ้งคง)
……….
เจ้าถั่วน้อยโน้มตัวออกมาเพียงครึ่งท่อน มองซ้ายแลขวา
เขาศีรษะเล็กๆ กลมโต ห่มจีวรสะอาด มีสร้อยคอลูกประคำหนักๆ คล้องคออยู่
มือเล็กๆ ข้างหนึ่งของเขาจับวงกบประตู ในขณะที่มือเล็กๆ อีกข้างถือสายลูกประคำเล็กๆ ไว้ ช่างดูเชื่อฟังและน่ารักอย่างยิ่ง
เซวียนหยวนซีกลับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “นี่ นี่ นี่ใครกัน”
ทันทีที่เอ่ยจบ เจ้าถั่วน้อยก็เห็นกู้เจียว อยากออกมาแต่ก็อดทนไว้ จับขอบประตูแล้วตะโกนเสียงอ่อนหวาน “ท่านแม่!”
เซวียนหยวนซียืนแข็งทื่ออยู่กับที่!
เณรน้อยองค์นี้…คงไม่ใช่เซียวเซวียนหรอกนะ
เซียวเซวียนออกบวชแล้วรึ!
กู้เจียวมองความสงสัยของเขาออก จึงพาเขาไปหาเซียวเซวียนพลางอธิบาย “เซียวเซวียนร่างกายอ่อนแอ สามวันดีสี่วันไข้ ต่อมาท่านแม่ข้าอุ้มเซียวเซวียนไปที่วัด พระอาจารย์บอกว่าเขามีบุญสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา”
เซวียนหยวนซีตกตะลึง “แล้ว…เขาก็ออกบวชอย่างนั้นหรือ”
กู้เจียวจับมือเซียวเซวียนตอบ “เอ่อ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เสื้อผ้าเหล่านี้เจ้าเคยใส่มาก่อนตอนยังเป็นเด็ก องค์หญิงแม่บอกสวมเสื้อเก่า สะสมโชคลาภ จะช่วยให้เด็กเติบโตอย่างปลอดภัย”
เซวียนหยวนซีอ้ำอึ้ง “ถึงว่าทำไมคุ้นหน้าเช่นนี้…”
ครั้นเมื่อเซวียนหยวนซีออกจากบ้านไป เสี่ยวเซวียนอายุเพียงหนึ่งขวบ ยามนี้เวลาผ่านไปหนึ่งปีเต็มแล้วและเซียวเซวียนก็ลืมเขาไปเสียแล้ว เซียวเซวียนเงยหน้ามองด้วยดวงตากลมโตราวกับลูกองุ่นดำอย่างสงสัย “เจ้าเป็นใคร”
เซวียนหยวนซีบีบแก้มเล็กๆ ของเขา “ข้าเป็นน้าจิ้งคง เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่”
เสี่ยวเซียวเซวียนส่ายศีรษะอย่างสัตย์จริงมาก
เซวียนหยวนซียิ้ม
เซียวฉงที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา เปิดเปลือกตาเหลือบมองน้องชายพลางเอ่ย “บอกน้าจิ้งคงสิว่าเจ้าชื่ออะไร”
เสี่ยวเซียวเซวียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเริ่มแนะนำตัวเองด้วยเสียงหวาน “ข้าชื่อเซียวเซวียน ฉายาซื่อซิน”
เซวียนหยวนซี นึกไม่ถึงว่าจะมีฉายาแล้วด้วย…
เซียวเซวียนดูตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน ทว่าเซวียนหยวนซีได้ทราบจากปากของกู้เจียวว่าปีนี้เขาไม่ได้ป่วยเหมือนช่วงอายุหนึ่งขวบแล้ว
แม่นางเหยาและองค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกว่าเลือกให้เจ้าตัวน้อยบวชเรียนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
มีแบบอย่างในหมู่เครือญาติที่พวกนางรู้จัก – นักพรตหญิงหยวนเป่าหลิน
กู้เจียวจูงเซียวเซวียนเดินเข้าไปด้านใน
เซวียนหยวนซีมองเจ้าตัวน้อยสองขวบที่กำลังก้าวลึกลงไปในหิมะ อยากเอ่ยถามเจียวเจียว ไม่อุ้มเขาหรือ
เซียวฉงเจ้าตัวแสบสังเกตเห็นความสงสัยของเขา จึงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ท่านแม่อุ้มเจ้ามากสุด นางไม่ค่อยอุ้มพวกเราสามคน”
เซวียนหยวนซีตกตะลึง
กู้เจียวมอบความรักที่มีไว้สำหรับบุตรชายคนโตให้กับจิ้งคงอย่างหมดใจ ยามนั้นนางยังไม่เข้าใจว่าจะถึงความเป็นพ่อคนแม่คน และได้เลี้ยงดูเณรน้อยที่นำมาจากภูเขาพร้อมกับเซียวเหิงอย่างทุลักทุเล
เณรน้อยวิ่งไล่ตามนางตลอดเวลา อยากเป็นห่างเล็กๆ ของนาง
เณรน้อยมักจะนั่งอยู่jบนธรณีประตู รอให้นางกลับบ้านไม่ว่าจะดึกเพียงใดก็ตาม
เณรน้อยรู้จักอออดอ้อน ขอหอม และยังชอบนอนซุกในอ้อมอกของนางด้วย
ครั้งแรกเลี้ยงดูบุตร นางจนปัญญากับเณรน้อยที่ติดแม่มาก จึงต้องตามใจเขามาโดยตลอด
โชคดีที่มิได้ทำให้เสียคน
เณรน้อยที่หกล้มคลุกคลานในอดีต ได้เติบโตขึ้นเป็นอัศวินวายุหนุ่มผู้เด็ดเดี่ยวแล้ว
เซียวฉงเด็กน้อยถอนหายใจราวกับผู้ใหญ่ “เฮ้อ อิจฉานัก”
ดวงตาของเซวียนหยวนซีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หัวใจของเขาร้อนผ่าว
เจียวเจียวของเขา…
เซียวฉงเตือนอย่างหวังดี “ท่านน้า ท่านกอดข้าแน่นเกินไปแล้ว ข้าหายใจไม่ออก”
…
เซียวเหิงและซ่างกวานชิ่งกลับมาในหนึ่งชั่วยามถัดมา
วันนี้ภรรยาเอกของเขาเสีย ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานมาก
พี่น้องทั้งสองไม่รู้ว่าจิ้งคงกลับมาแล้ว ขณะคู่ฝาแฝดชายหญิงเดินไปที่ห้องบรรทมพลางเอ่ย “ชอบปืนไฟขนาดนี้ ท่านแม่รู้เข้า จะริบทั้งหมดแน่”
ซ่างกวานชิ่งเอ่ย “เจ้าก็อย่าบอกท่านแม่สิ!”
เซียวเหิงเอ่ยอย่างขบขัน “ท่านแม่ให้ข้าถามเจ้า เจ้าพึงพอใจคุณหนูที่ครั้งก่อนเลือกไว้ให้ตระกูลใดหรือไม่
ซ่างกวานชิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไรไม่พอใจ หากนางชอบก็เอาเข้าเรือนหลังของข้าได้เลย”
เซียวเหิงเอ่ยถาม “เอาเข้ามากขนาดนี้ ไม่กลัวเรือนหลังลุกเป็นไฟหรือ”
ซ่างกวานชิ่งวางมือบนไหล่น้องชายตัวแสบ แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน “เฮ้อ เจ้ารู้ดีว่าผู้ชายเป็นอย่างไร”
เซียวเหิงขีดเส้นกั้นกับเขาอย่างชัดเจน “ข้าไม่รู้ ความรักที่ข้ามีต่อเจียวเจียวนั้นแข็งแกร่งกว่าของทองเสียอีก”
ซ่างกวานชิ่งแทงใจดำ “ทองคำอ่อนมากเลยนะ”
เซียวเหิง “…”
จนถึงบัดนี้ ซ่างกวานชิ่งยังไม่ได้พบสาวผู้เป็นคู่สมพงษ์ของเขา ตำแหน่งภรรยาหลักยังคงว่าง เขาเองก็กังวลใจมาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบผู้หญิง แต่ยังไม่เจอหญิงสาวที่ทำให้หัวใจเต้นรัว เขาจะทำอย่างไรได้
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าต้องเก่งวิทยายุทธเหมือนกับเจียวเจียว ดูสง่าและอ่อนโยนเหมือนองค์หญิง และมีอารมณ์ขันเหมือนกับท่านแม่ ถึงจะเป็นคู่แท้ที่โชคชะตาฟ้าลิขิตของข้า!”
เซียวเหิงเหลือบมองเขาอย่างพูดไม่ออก
โสดไปทั้งชีวิตเถิด
ในขณะที่สองพี่น้องพูดคุยกัน เสียงเล็กๆ ของเซียวเยียนที่สอนน้องชายอย่างใจเย็นก็ดังมาจากห้องบรรทม
“หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าใด”
“หนึ่ง” เซียวเซวียนตอบ
เซียวเยียนมือกุมขมับ “ข้าสอนเจ้าหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่หนึ่ง แต่เป็นสอง!”
เสี่ยวเซียวเซวียน “สอง”
“ถูกต้อง!” เซียวเยียนนั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับน้องชายบนคั่งของเรือนอุ่น “มาอีกรอบ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับเท่าใด”
เสี่ยวเซียวเซวียน “หนึ่ง”
เซียวเยียน “…”
เซียวเยียนสูดหายใจลึกๆ “หนึ่งคูณหนึ่งเท่ากับหนึ่ง! แล้วสองบวกสองล่ะ”
นางชูสี่นิ้ว และมองเสี่ยวเซวียนด้วยดวงตาลุกวาว
เสี่ยวเซียวเซวียน “สอง”
เซียวเยียนล้มลงกับพื้น!
เซียวเยียนลุกขึ้นนั่ง คว้าเสื้อผ้าด้วยมือเล็กๆ ของตน แล้วหายใจเฮือกยาว “ไม่โกรธ ไม่โกรธ เรามานับเลขกัน หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า อันนี้ทำได้ใช่หรือไม่”
เสี่ยวเซียวเซวียนพยักหน้า
เซียวเยียนสอนอย่างจริงจัง “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า!”
เสี่ยวเซียวเซวียนตอบอย่างจริงจัง “ขึ้น ภู เขา จับ เสือ!”
เซียวเยียนกระอักเลือดอยู่กับที่ แต่หลังจากกระอักเลือดกลับไม่มีเลือดออกมา นางล้มตัวนอนหงายหลังอยู่บนคั่งอุ่น ร่างกายเล็กๆ ทอดนอนแผ่หลา
ห้องข้างๆ กู้เจียวเพิ่งตรวจร่างกายของเซียวฉงเสร็จ เขามีอาการเมารถเล็กน้อย ไม่มีอาการอะไรร้ายแรง นอนพักหนึ่งถึงสองวันก็หายแล้ว
นางให้แม่นมพาเซียวฉงออกไป
เซวียนหยวนซีก็อยากจะออกไป
“นั่งลง” กู้เจียวเอ่ย
เซวียนหยวนซีเกาศีรษะยิ้ม “ข้าไม่ต้องหรอก! ข้าไม่ได้อาเจียน!”
กู้เจียวกดเขาลงบนเก้าอี้ แสงไฟส่องผ่านหน้าต่างกระดาษและตกลงใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่ม เขาดูค่อนข้างเขินอาย และหูดูแดงก่ำเล็กน้อย
“ไม่ ไม่เป็นอะไรจริงๆ ” เขาเอ่ย
กู้เจียวจับชีพจรของเขาและเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ็บที่ตรงไหนหรือ”
“ไม่มี…” เขาโต้กลับโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกบางอย่างออก ดวงตากะพริบ และยกข้อมือซ้ายขึ้นพลางเอ่ย” เจ้าพูดถึงอันนี้หรือ”
กู้เจียวยกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยแดงและรอยฟกช้ำ
เขาเอ่ยอย่างเมินเฉย “วันนั้นข้ายกหอกพู่แดงไม่นิ่ง จึงพลิกนิดหน่อยน่ะ”
เด็กที่เคยล้มหัวเข่าถลอกนิดหน่อย ก็จะนั่งอยู่ที่ขอบประตู รอให้นางมาดูแผลถลอกของตัวเอง และยังเก็บน้ำตาไว้ รอให้นางกลับมาแล้วค่อยร้องไห้ให้นางฟัง
ยามนี้แม้จะแผลเต็มตัว กลับไม่ยอมพูดอะไรสักคำ
“ข้าเอง”
ทันใดนั้น เสียงของเซียวเหิงก็ดังขึ้นตรงประตู
ทั้งสองมองไปที่เขา
“เจ้ากลับมาแล้ว” กู้เจียวเอ่ย
เซียวเหิงพยักหน้า เดินก้าวเข้าไปในห้อง เหลือบมองหีบยาเล็กๆ บนโต๊ะ แล้วเอ่ยกับกู้เจียว” ข้างนอกติดกลอนคู่กันอยู่ เจ้าอยากไปดูหรือไม่”
“ได้” กู้เจียวเก็บหีบยาเล็กๆ ไว้ แล้วหันหลังออกจากห้องไป
เซวียนหยวนซีเบ้ปากอย่างอาลัยอาวรณ์ “อะไรกัน ข้าเพิ่งพูดคุยกับเจียว พี่เขยตัวแสบ!”
เมื่อครู่เซียวเหิงเห็นเขาที่บริเวณประตู เซียวเหิงก็ไม่กล้าทัก ไม่เจอกันหนึ่งปี เขาสูงขึ้นและดูโตขึ้น ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสาแล้ว ร่างกายของเขามีกลิ่นอายของความองอาจห้าวหาญแห่งทหารสามเหล่าทัพและจิตสังหารท่านประสบการณ์ในสนามรบมาอย่างโชกโชน
ทว่าทันทีที่เขาเอ่ยปาก เซี่ยวเหิงก็มั่นใจว่าเขายังคงเป็นเณรน้อยคนเดิมที่ชอบปะทะคารมกับเขา
เซียวเหิงเอ่ยกับเขา “พอแล้ว เจียวเจียวออกไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องปกปิดอีก ถอดเสื้อออก”
เซียวเหิงหยิบยาจินฉวงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “หากใช้ยาขวดนี้ไม่หมด เจียวเจียวถามขึ้นมา ข้าก็ช่วยเจ้าไม่ได้”
เซวียนหยวนซีในสถานการณ์ที่ต้องเลือกอย่างหลังระหว่างให้เจียวเจียวเป็นห่วงหรือพี่เขยตัวแสบเป็นห่วง เขาเลือกอย่างหลัง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ช่วยเก็บเป็นความลับ ห้ามบอกเจียวเจียว”
“รู้แล้ว”
เขาปลดกระดุมเสื้อออก เผยให้เห็นรอยแผลเต็มร่างกาย
เซียวเหิงเป็นคนที่อาบน้ำให้เขาตั้งแต่เด็ก เซียวเหิงรู้สิวทุกเม็ดบนร่างกายของเขา
เซียวเหิงรู้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่นึกไม่ถึงว่าจะรุนแรงเพียงนี้
แม้ส่วนใหญ่จะหายดีแล้ว แต่ยามนั้นเขาคงเจ็บปวดมาก
นี่ก็เป็นเด็กที่ข้าเลี้ยงเองจนโต
“เจ้า…” เซียวเหิงเจ็บคอ
เซวียนหยวนซีแสร้งทำเป็นไม่เห็นดวงตาสีแดงก่ำของเขา แล้วหันหน้าเอ่ย “เร็วหน่อย ข้าหนาว”
ปลายจมูกของเขารู้สึกหน่วงๆ อยากจะร้องไห้
ช่างแปลกมาก เดิมทีไม่อยากร้องไห้ แต่พอพี่เขยตัวสบดวงตาแดงก่ำ เขาเองก็กลั้นไว้ไม่ไหว