บทที่ 990 โตขึ้น (ฉบับจิ้งคง)
……….
หลังออกมาจากวัง เซียวเหิงที่เตรียมจะส่งเด็กสามคนให้พ่อกับแม่ไปดูแล ทว่ารู้ตัวอีกที่ ก็เห็นว่าพ่อของเขากำลังพาแม่ของเขาออกไปที่ถนนจูเชวี่ยเสียแล้ว
เขาได้แต่มองตามรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไปไกล แล้วบ่นอุบอิบ “ไปไหนของพวกเขาน่ะ”
กู้เจียวร้องอ๋อ “ไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ด้วยกันละมั้ง”
เซียวเหิงยกมุมปากขึ้นทันที ไม่ฉลองช้าไปหน่อยเหรอ ยี่สิบปีเชียวนะ…
พอหันไปเห็นเจ้าตัวเล็กสามหน่อที่กำลังจ้องมาที่เขาตาปริบๆ ก็พลันรู้สึกเหมือนชีวิตพังทลายลงในพริบตา
เขาพากู้เจียวและเด็กๆ กลับไปส่งที่จวนองค์หญิงก่อน จากนั้นตัวเองก็มุ่งหน้าไปยังจวนติ้งอันโหว
จิ้งคงเป็นเด็กที่มีพัฒนาการรอบด้าน ไม่เพียงแต่เขาจะประสบความสำเร็จในด้านบุ๋นเท่านั้น ด้านบู๊เขาก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน
เขากำลังฝึกศิลปะการต่อสู้กับกู้ฉังชิง แม้ว่ากู้ฉังชิงจะเคยบอกว่าเขาจะส่งจิ้งคงกลับไปเอง แต่เซียวเหิงก็ยังคงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะมารับเขาทุกคืน
ยังไงมีคนมารับก็ย่อมดีกว่า
มีหลายคนที่เคยสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับจิ้งคงมาแล้ว ทั้งเซวียนหยวนฉี หลงอี เซวียนผิงโหว กู้ฉังชิง ฉังจิง รวมถึงปรมาจารย์เหลี่ยวเฉินของเขา
ไม่ว่าจะเรียนกับใคร เขาก็ทำมันได้ดี จะว่าเป็นพรสวรรค์ของเจ้าหนูน้อยคนนี้ก็ไม่ปาน
“ลาก่อน พี่ใหญ่! ลาก่อน พี่สะใภ้!”
จิ้งคงยืนโบกมือตะโกนบอกลากู้ฉังชิงและหยวนเป่าหลิน เซียวเหิงก็เช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถม้า
ตอนนี้จิ้งคงอายุย่างเก้าขวบแล้ว ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่ใช่เด็กน้อยที่นั่งยังไงก็หัวไม่พ้นขอบโต๊ะเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“พี่เขยตัวแสบ!” จิ้งคงทำหน้าฉุน ก่อนเดินสะบัดก้นขึ้นรถม้า
เซียวเหิง เจ้าเด็กนี่ ไปเรียนกิริยาแบบนี้มาจากใครกันนะ
ตอนนี้จิ้งคงกลายเป็นหัวกะทิประจำกั๋วจื่อเจียนไปแล้ว เขามักจะคงท่าทีสุขุมเมื่ออยู่ที่สำนักบัณฑิต แต่พออยู่กับเซียวเหิงและกู้เจียว ก็กลายเป็นเด็กน้อยจอมงอแงเหมือนเดิม
ตอนขากลับ พวกเขาใช้เส้นทางถนนเสวียนอู่แทน
“เจ้าจะไปไหนน่ะ” จิ้งคงเป็นคนที่แม่นเส้นทางมากๆ ให้เขาหลับตาเดินยังได้
“นี่มันไม่ใช่ทางกลับจวนองค์หญิงนี่นา” จิ้งคงมองพี่เขยตัวแสบด้วยแววตาสงสัย “เจ้าจะพาข้าไปขายหรือไง”
เซียวเหิงหัวเราะให้กับความคิดของเขา พลางเอ่ยหยอก “ใช่แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปขาย เจ้าจะได้ไม่ต้องมาขึ้นค่าเช่ากับข้าไง”
จิ้งคงกอดอกทันที พร้อมเงยหน้าขึ้น “ยังมีหน้ามาพูดอีก ค่าเช่าปีนี้เจ้ายังไม่ได้จ่ายเลยนะ! เลยกำหนดจ่ายมาสี่เดือนแล้วนะ!”
เซียวเหิงทำท่าจัดแขนเสื้อ ตอบไปเบาๆ “ไหนว่าหักหนี้ไปแล้วไง”
ดวงตาจิ้งคงเบิกกว้างทันที “หักหนี้อะไรกัน”
“เจ้าถูกกั๋วจื่อเจียนลงทัณฑ์บนครั้งที่หนึ่ง ข้อหาชกต่อยกับเพื่อนบัณฑิต ข้าไปพบอาจารย์ของเจ้าในฐานะผู้ปกครอง”
“เจ้าถูกกั๋วจื่อเจียนลงทัณฑ์บนครั้งที่สอง ข้อหาไถเงินเพื่อนบัณฑิต ข้าก็ไปพบอาจารย์ของเจ้าในฐานะผู้ปกครอง”
“เจ้าถูกกั๋วจื่อเจียนลงทัณฑ์บนครั้งที่สาม ข้อหาโกงข้อสอบ ข้าก็เป็นคนสะสางให้”
จากนั้นเซียวเหิงก็หรี่ตาลง แล้วอธิบายต่อ “จะว่าไปแล้ว ที่ข้าช่วยเจ้าปกปิดความจริงกับกู้เจียว ข้าคิดห้าร้อยตำลึงนะ คำนวณดูแล้ว เจ้ายังเป็นหนี้ข้าอีกสามร้อยตำลึงด้วยซ้ำ”
จิ้งคงโกรธจนควันออกหู และเริ่มโวยวาย “เจ้า เจ้า เจ้าเปลี่ยนไป! แต่ก่อนเจ้าไม่ใช่แบบนี้นี่!”
เซียวเหิงไม่ยอมเล่นตามน้ำ “เจ้าหมายความว่า จะไม่ให้ข้าช่วยแล้วใช่ไหม ได้สิ เดี๋ยวข้าจะเอาเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้เจียวเจียวฟัง”
จิ้งคงโมโหหนักกว่าเดิม “ไม่ได้นะ!”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเถียงกัน รถม้าก็หยุดลง
“ท่านโหวน้อยขอรับ คุณชายน้อยขอรับ ถึงแล้วขอรับ” สารถีกล่าว
“ลงจากรถ” เซียวเหิงลุกขึ้น
จิ้งคงเดินตามเขา แล้วมองไปรอบๆ
“เอ๋ ดึกป่านนี้แล้ว พาข้ามาที่กั๋วจื่อเจียนทำไม”
“ข้าจะพาเจ้าไปเจอกับคนคนหนึ่ง” เซียวเหิงตอบ
จิ้งคงเดินตามเขาไปอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเข้ามาในกั๋วจื่อเจียน เซียวเหิงก็เดินตรงไปทางตึกของคณาจารย์
เวลานี้ อาจารย์หลายๆ คนเลิกงานกันแล้ว ทั้งตึกเต็มไปด้วยความเงียบและมืดมิด มีเพียงห้องเดียวที่ยังเปิดไฟสว่าง
พวกเขามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูที่เปิดแง้มอยู่ ในนั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งกำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะทำงาน และดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่ากำลังมีแขกมาเยือน
“อาจารย์ซุนรึ” จิ้งคงจำเขาได้ในทันที
อาจารย์ซุนเคยเป็นครูปะจำชั้นของเขา แต่หลังจากมีการโยกย้ายหน้าที่การงานเกิดขึ้น เขาก็ไม่ได้มาสอนอีก จิ้งคงจึงไม่ค่อยได้เจอเขา
จิ้งคงสังเกตว่าอาจารย์ซุนดูอิดโรยลงไปพอสมควรเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เส้นผมของเขาเริ่มขาว ทั้งๆ ที่อายุเพียงสี่สิบกว่า
“เจ้าพาข้ามาหาอาจารย์ซุนทำไมรึ” จิ้งคงถาม
“เป็นฝ่ายอาจารย์ท่านต่างหากที่อยากเจอเจ้า” เซียวเหิงกล่าว
“อะไรนะ” จิ้งคงมึนกว่าเดิม
กว่าอาจารย์ซุนจะเห็นจิ้งคงก็เป็นตอนที่เขาเริ่มล้าจากงานแล้วเงยหน้าขึ้นมานวดกระบอกตา สีหน้าของเขาหาใช่ความประหลาดใจ แต่เป็นความรู้สึกประมานว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็มาถึงเสียที
“เข้ามาสิ” เขาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ทั้งสองจึงเดินเข้าไปในห้อง
จิ้งคงเห็นว่าบนโต๊ะของอาจารย์มีกระดาษที่เต็มไปด้วยสูตรคำนวณแปลกๆ เต็มไปหมด ที่เขารู้เพราะว่าเคยเห็นตัวเลขประมาณนี้จากกู้เจียว เป็นสูตรคำนวณเดียวกันกับจากชาติที่แล้วของกู้เจียว ตำราที่แคว้นเยี่ยนก็มีสูตรพวกนี้ด้วยเช่นกัน
“ต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านรอนาน” เซียวเหิงกล่าว
“ไม่เป็นไรขอรับ” อาจารย์ซุนโบกมือปัด “แค่ท่านตอบรับข้าก็เป็นเกียรติเกินพอแล้วขอรับ”
ใครจะไปรู้ละว่าเด็กน้อยขาเป๋ตัวเล็กๆ ที่เขาเคยดูถูกในวันนั้น จะกลายมาเป็นราชเลขาของราชสำนักในวันนี้
จะโทษใครก็คงต้องโทษตัวเอง ที่ดูไม่ออกว่าเขาคือท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาคนนั้น
แต่ที่เขามีวันนี้ได้ ไม่เกี่ยวอะไรกันกับตำแหน่งหรือฐานะทางสังคมของเขาแม้แต่นิด เซียวเหิงใช้ความสามารถของตัวเองล้วนๆ
จากนั้นอาจารย์ซุนก็หันไปโค้งคำนับให้จิ้งคง
จิ้งคงเห็นดังนั้นก็ยิ่งตกใจหนักกว่าเก่า
เกิดอะไรขึ้น
ไยอาจารย์จู่ๆ ถึงโค้งคำนับให้ตัวเองล่ะ
“ข้าอยากจะขอโทษเจ้าเรื่องที่เคยบอกว่าเจ้าคำนวณผิด อันที่จริง เจ้าคำนวณถูกแล้ว ข้าต่างหากที่คำนวณผิดเอง” อาจารย์ซุนกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่จิ้งคงเพิ่งเข้ากั๋วจื่อเจียนใหม่ๆ
อาจารย์ซุนสอนโจทย์คณิตศาสตร์ให้กับเด็กๆ ในชั้นเรียนอัจฉริยะ โดยขยายไปถึงค่าอัตราส่วนที่บรรพบุรุษได้คำนวณไว้ ซึ่งบรรพบุรุษคำนวณไว้ถึงเพียงเลขทศนิยมเจ็ดตำแหน่งเท่านั้น ดังที่บันทึกไว้ใน “คัมภีร์คณิตศาสตร์สิบเล่ม” แต่จิ้งคงสามารถบอกเลขทศนิยมได้ถึงสิบเจ็ดหรือสิบแปดตำแหน่งในรวดเดียว
ตอนนั้นเขาคิดว่าจิ้งคงพูดมั่วและต้องการสร้างความวุ่นวายในชั้นเรียน
จิ้งคงตั้งข้อสงสัยว่าอาจารย์ซุนสอนผิด แถมยังโยนโจทย์คณิตศาสตร์สิบข้อที่กู้เจียวเคยสอนพิเศษให้เขาแก่อาจารย์ซุน ทำให้อาจารย์ซุนจนปัญญา
อาจารย์ซุนเองก็ไม่ยอม และมอบโจทย์เพิ่มให้เขาอีกสิบข้อ จิ้งคงทำได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
มิหนำซ้ำยังต่อว่าอาจารย์ซุน “ท่านอาจารย์ ข้าเป็นแค่นักเรียนเท่านั้น หาใช่อาจารย์ไม่! แปลกตรงไหนที่ข้าจะทำโจทย์ไม่ได้ ถ้าข้าทำได้หมดนี่ ก็ไม่จำเป็นต้องมาเข้าเรียนที่นี่ ก็ไม่จำเป็นต้องมีท่านมาสอนข้าหรอกจริงไหม”
อาจารย์ซุนโกรธมากจนต้องคว้าไม้บรรทัดขึ้นมา ผลก็คือ จิ้งคงหลบเขาได้อย่างรวดเร็วจนเขาพลาดท่าล้มลงเอง
บัณฑิตทุกคนหัวเราะใส่เขา ขนาดบัณฑิตจากห้องอื่นๆ ยังต้องออกมาดูเหตุการณ์ด้วย เรื่องวันนั้นสร้างความน่าอับอายให้กับอาจารย์ซุนอย่างมาก
จากนั้นเซียวเหิงจึงต้องพาจิ้งคงไปขอโทษเขา
เพราะในฐานะบัณฑิต เขาไม่ควรไม่เคารพอาจารย์ และไม่ควรก่อความวุ่นวายในชั้นเรียน
แต่ในขณะเดียวกัน เซียวเหิงยังได้ร้องขอต่ออาจารย์ซุนด้วย “สำหรับโจทย์นั้น ข้าจะทำการบ้านมาให้ดี หากการคำนวณถูกต้อง ข้าก็หวังว่าอาจารย์ซุนจะขอโทษจิงคงด้วยเช่นกันขอรับ”
ในตอนนั้น จิ้งคงเองก็รู้สึกประทับใจกับพี่เขยตัวแสบไม่น้อย แต่พอหลังเกิดเรื่อง เมื่อเห็นว่าพี่เขยตัวแสบไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เขาค่อยๆ หยุดคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่และลืมมันไป
ภายหลัง เซียวเหิงค้นพบสูตรคำนวณอัตราส่วนในหนังสือราชการของแคว้นเยี่ยน หลังจากที่เขาเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว เขาก็สอนอาจารย์ซุนต่อ
จนอาจารย์ซุนเพิ่งมาแก้โจทย์ออกเมื่อสามวันก่อนหน้า
…
พอออกมาข้างนอก ก็พบว่าฝนเม็ดใหญ่กำลังตกอยู่
จู่ๆ ก็ตกอย่างไม่ทันตั้งตัว
สารถีจึงกางร่มแล้วยืนรอพวกเขาอยู่หน้าตึก
ร่มมีเพียงแค่สองคัน เซียวเหิงจึงให้สารถีและจิ้งคงใช้แทน
ฝนทั้งตกหนักและรุนแรง จนพื้นถนนเริ่มเกิดน้ำท่วม
เซียวเหิงย่อตัวลงต่อหน้าจิ้งคง “ขึ้นมา”
จิ้งคงปฏิเสธ “ข้าเดินเองได้”
“เร็วเข้าน่า” เซียวเหิงรบเร้าเขา
จิ้งคงจึงค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังของพี่เขยตัวแสบ และกางร่มออกเพื่อบังสายฝนที่ตกลงมา
รองเท้าและกางเกงของเซียวเหิงเปียกชุ่มไปทั่ว
ฝนในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลินั้นให้ความรู้สึกที่หนาวเย็นเพื่อต้อนรับหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง
จิ้งคงเอนกายลงบนหลังที่กว้างและอบอุ่นของพี่เขยตัวแสบ และรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
เขาคิดถึงเหตุการณ์วันนี้อีกครั้ง แล้วกระซิบถามเขา “ทำไมเจ้ายังจำเรื่องนั้นได้ ใครสนใจคำขอโทษของคนแบบนั้นกัน”
“งั้นให้ข้าไปบอกอาจารย์ซุนให้คืนคำดีไหม” เซียวเหิงท้าทายเขา
“ไม่เอา!”
เซียวเหิงหลุดขำทันที
“ช่างปะไร งั้นปีนี้ข้าจะยกเว้นค่าเช่าให้เจ้าก็แล้วกัน”
“อย่าลืมคืนเงินสามร้อยตำลึงให้ข้าด้วยล่ะ”
“พี่เขยตัวแสบ!”
…
ปีนี้จิ้งคงก็จะอายุเก้าขวบแล้ว สติปัญญาของเขาทั้งเหนือชั้นและหลักแหลมกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ
อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็มีความคิดอยากจะลองสอบเคอจวี่ดู
เซียวเหิงไม่มีความเห็นอะไร ส่วนกู้เจียวเห็นด้วยเต็มที่
และในที่สุด เขาก็สอบผ่านรอบถงเซิงได้อย่างราบรื่น
จิ้งคงดีใจมากที่สอบได้ รีบหยิบผลสอบไปอวดพี่เขยตัวแสบ แต่ปรากฏเขาพบว่าพี่เขยตัวแสบสอบถงเซิงได้ตั้งแต่ตอนอายุแปดขวบแล้ว
จิ้งคงถึงกับกระวนกระวาย!
เหตุใดพี่เขยตัวแสบถึงสอบได้ก่อนเขาล่ะ!
“พี่เขยตัวแสบสอบเข้าซิ่วไฉได้ตอนกี่ขวบรึ” เขาถามบ่าวที่จวน
บ่าวจึงตอบไป “ตอนสิบขวบขอรับ อันที่จริงท่านโหวน้อยเตรียมจะสอบซิ่วไฉต่อเลยหลังจากสอบถงเซิงได้ แต่องค์หญิงทรงมองว่าเร็วเกินไป จึงให้เว้นสองปีแล้วค่อยกลับไปสอบต่อขอรับ”
จิ้งคงรู้ดังนั้นก็คิดในใจ เขาต้องสอบซิ่วไฉตอนเก้าขวบให้ได้! เขาจะเอาชนะพี่เขยตัวแสบ!
ก่อนหน้านี้ การสอบซิ่วไฉจะจัดสองครั้งในทุกๆ สามปี แต่พอมารอบนี้ การสอบถูกกำหนดให้จัดขึ้นปีละครั้ง เพื่อที่จะคัดเลือกผู้มีความสามารถได้มากขึ้น
จิ้งคงตั้งหน้าตั้งตารอที่จะสมัครสอบรอบนี้อย่างมีความหวัง
เขามั่นใจกับฝีมือการทำข้อสอบของตัวเองมาก ทั้งจี้จิ่วและเซียวเหิงเองก็เห็นว่าจิ้งคงไม่มีปัญหาอะไร
ทว่า เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในวันสอบ
ลูกของเจ้าเสี่ยวปาดันเคี้ยวบัตรเข้าสอบของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี
เจ้าเสี่ยวปา ลูกสุนัขตัวน้อยของกู้เหยี่ยน ตอนนี้มันโตขึ้นและมีลูกอีกสองตัวแล้ว
และนั่นทำให้จิ้งคงใจสลายอย่างรุนแรง
ไม่เป็นไร รอตอนสิบขวบก็ได้ เวลายังได้อยู่ ถือว่าทัดเทียมกับพี่เขยตัวแสบ
ทว่าพอถึงวันนั้น ความซวยก็มาเยือนเขาอีกครั้ง
จิ้งคงดันเกิดแขนหักก่อนวันสอบหนึ่งวัน
สอบตอนสิบเอ็ดขวบก็นับว่าไม่สายเกินไป
คราวนี้ ในที่สุดเขาก็สามารถเข้าสอบได้ แต่หลังจากการสอบเสร็จ ดันเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น กระดาษคำตอบของเขาถูกเผาไปด้วย…
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและคำรามอย่างบ้าคลั่ง “พี่เขยตัวแสบ เจ้าส่งต่อความโชคร้ายมาให้ข้าหรือยังไงกัน!!!”
พอเขาอายุได้สิบสองขวบ เขาตัดสินใจไม่เข้าสอบแล้ว
และเลือกเข้าร่วมกองทัพแทน เนื่องจากสงครามระหว่างหกอาณาจักรได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง