ตอนที่ 2562: บรรพชนสายลมพลิ้ว
ในขณะที่นายน้อยประกายดาวก้าวเท้าขึ้นไปบนที่ราบเมฆา ชายชราหน้าแดงก่ำในชุดคลุมสีฟ้านั่งอยู่ภายในสำนักงานใหญ่ของพันธมิตรสี่เส้า ซึ่งเขากำลังบ่มเพาะอย่างสันโดษ
ชายชราคนนี้เป็นหนึ่งในห้าผู้เชี่ยวชาญของพันธมิตรสี่เส้า ผู้คนเรียกเขาว่าบรรพชนสายลมพลิ้ว.
ทันใดนั้นพลังของกฎรอบ ๆ บรรพชนสายลมพลิ้วก็เต้นรัว เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“แปลก ? ทำไมข้าถึงใจสั่น ? ราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น” บรรพชนสายลมพลิ้วขมวดคิ้วและบ่นพึมพำกับตัวเอง
หลังจากนั้นเขาก็ผนึกตราประทับด้วยมือ แสงในดวงตาเก่าแก่ของเขาลึกขึ้นเมื่อเขาเริ่มมองเข้าไปในความลับของสวรรค์
“ดวงดาวนับไม่ถ้วนกระพริบต้อนรับเขา มีใครบางคนที่มีสถานะพิเศษมาถึงที่ราบเมฆา คนผู้นี้เป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตของพันธมิตรสี่เส้าของเรา” ในไม่ช้าดวงตาของบรรพชนสายลมพลิ้วก็สว่างขึ้น เขาขยายสัมผัสทางวิญญาณของเขาเพื่อห่อหุ้มที่ราบเมฆาทั้งหมด
“คนสำคัญผู้นี้คือใคร ? หืม ? ข้าเจอแล้ว ใช่เขาหรือเปล่า ? ” ดวงตาของบรรพชนสายลมพลิ้วหรี่ลงและเขาก็หายตัวไป
“ไม่น่าแปลกใจที่ที่ราบเมฆาอยู่ในอันดับท้ายสุดของสี่สิบเก้าที่ราบในโลกเซียน พลังงานดั้งเดิมที่นี่บางกว่าที่ราบประกายดาวของเรามาก” ในเมืองหลวงของจักรวรรดิตะวันโลหิต นายน้อยประกายดาวศึกษาสภาพแวดล้อมเหมือนกำลังตัดสินมันพลางส่ายหน้าเบา ๆ
“ผู้บ่มเพาะที่นี่อ่อนแอมาก มันเป็นเมืองใหญ่ซึ่งมีแต่เหล่าราชาเทพ มันช่างซีดจางอย่างมากเมื่อเทียบกับกับที่ราบประกายดาวของเรา” นายน้อยประกายดาวมองไปที่ผู้บ่มเพาะโดยรอบด้วยความผิดหวัง เขาคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นมาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่ราบประกายดาวอยู่ภายใต้การดูแลของใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้าที่มีชื่อเสียง ความคิดเดียวจากผู้เชี่ยวชาญเช่นใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้าสามารถเปลี่ยนโชคของที่ราบได้ ที่ราบเมฆาอันต่ำต้อยของเราเทียบไม่ได้หรอก” ในขณะนี้เสียงเก่าแก่ดังออกมา
ชายชราในชุดคลุมสีฟ้าปรากฏตัวต่อหน้านายน้อยประกายดาวอย่างเงียบ ๆ เขาลูบเคราขณะที่เขายิ้มอย่างมีความสุข
เขาเป็นหนึ่งในห้าผู้เชี่ยวชาญสูงสุดของพันธมิตรสี่เส้า บรรพชนสายลมพลิ้ว
“ตาแก่ เจ้าเป็นใคร ? กล้าดียังไงที่แอบฟังคำพูดของข้า เจ้าอวดดีมาก” นายน้อยประกายดาวกอดอกและเริ่มไม่พอใจ
สีหน้าของบรรพชนสายลมพลิ้วแข็งกระด้างเมื่อเขาถูกเรียกว่าตาแก่ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญสูงสุดของที่ราบเมฆา เขาโกรธเล็กน้อยและรอยยิ้มของเขาก็หายไปเช่นกัน เขาพูดอย่างเฉยเมย “ผู้คนเรียกข้าว่าบรรพชนสายลมพลิ้ว”
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าบรรพชนสายลมพลิ้วพบว่าชายหนุ่มมีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาและอาจส่งผลต่อชะตากรรมของพันธมิตรสี่เส้า บรรพชนสายลมพลิ้วจะไม่เป็นมิตรกับเขาขนาดนี้
“บรรพชนสายลมพลิ้ว ? หนึ่งในห้าจอมปราชญ์สูงสุดจากพันธมิตรสี่เส้างั้นหรือ ? ” แสงประกายแวบผ่านดวงตาของชายชราขั้นอสงไขยชั้นสวรรค์ที่ 9 เขามองบรรพชนสายลมพลิ้วโดยไม่มีความรู้สึกใด ๆ เป็นพิเศษและกล่าวว่า “นี่คือนายน้อยของที่ราบประกายดาว ผู้คนเรียกเขาว่านายน้อยประกายดาว”
“นายน้อยประกายดาวรึ ? ” บรรพชนสายลมพลิ้วรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจ้องมองนายน้อยประกายดาวด้วยความตกใจขณะที่เขารู้สึกไม่มั่นคง
“นายน้อยประกายดาวมาเยี่ยมเยียนนี่เอง ข้าไม่ทราบมาก่อนเลย โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” บรรพชนสายลมพลิ้วเปลี่ยนท่าทีทันที ความไม่พอใจทั้งหมดที่เขารู้สึกหายวับไป
แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นนายน้อยประกายดาวมาก่อน แต่เขาก็ได้ยินมามาก เขาเป็นลูกคนเดียวของใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้าและไม่ใช่เป็นคนทั่วไปที่เขาสามารถจะล่วงเกินได้
ท่าทีของบรรพชนสายลมพลิ้วเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาฉีกรอยยิ้มกว้างและเชิญนายน้อยประกายดาวให้เยี่ยมชมพันธมิตรสี่เส้าอย่างสุภาพ
ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มมองดูตัวตนของนายน้อยประกายดาว
หากนายน้อยประกายดาวกำลังโกหก บรรพชนสายลมพลิ้วจะสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตของเขาได้อย่างง่ายดายด้วยการบ่มเพาะของเขาในฐานะขั้นอัครสูงสุดชั้นสวรรค์ที่ 2
ถ้าเขาเป็นนายน้อยประกายดาวจริง ๆ บรรพชนสายลมพลิ้วจะไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ด้วยการปกป้องของใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้า
ด้วยเหตุนี้การระบุตัวตนที่แท้จริงของนายน้อยประกายดาวจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุด
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาถัดไปจิตใจของบรรพชนสายลมพลิ้วก็สั่นสะท้าน ทันใดนั้นลูกแสงเก้าลูกก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขาขณะที่เขาแอบมองเข้าไปในเรื่องของนายน้อยประกายดาว มันมีแรงกดดันสูงสุดและมีพลังแห่งการมีอยู่ที่น่าเคารพนับถือ
“ใต้เท้าประกายดาว ! ” บรรพชนสายลมพลิ้วประหลาดใจ เขาเห็นการปรากฎของจินตภาพของใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้า
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีข้อสงสัยใด ๆ อีกต่อไปเกี่ยวกับตัวตนของนายน้อยประกายดาว บรรพชนสายลมพลิ้วรีบประจบสอพลอ
ตามความเป็นจริง เขาเริ่มปฏิบัติต่อนายน้อยประกายดาวด้วยความสำคัญซึ่งเกินกว่าหมิงตงเสียอีก
อย่างไรก็ตามนายน้อยประกายดาวรู้สึกภาคภูมิใจ เขาไม่ได้สนใจพันธมิตรสี่เส้าอย่างจริงจัง เขาปฏิเสธคำเชิญของบรรพชนสายลมพลิ้วด้วยคำพูดเพียงประโยคเเดียวก่อนที่จะลอยหายไป
“นายน้อยประกายดาว พันธมิตรสี่เส้าของเรามีอิทธิพลต่อที่ราบเมฆาอยู่บ้าง หากพันธมิตรสี่เส้าของเราสามารถช่วยเหลือนายน้อยประกายดาวในรูปแบบใดก็ตามในอนาคต โปรดมาที่สำนักงานใหญ่ของเราโดยตรง หรือไม่ก็สามารถบีบเครื่องรางหยกนี้ได้” บรรพชนสายลมพลิ้วมอบเครื่องรางหยกให้กับผู้คุ้มกันของนายน้อยประกายดาว เขาไม่ได้อยู่ต่อเพราะเขารู้ว่าการทำเช่นนั้นมีแต่จะสร้างผลเสียกับตัวเขา
หลังจากกลับไปที่สำนักงานใหญ่ของพันธมิตรสี่เส้า บรรพชนสายลมพลิ้วก็เรียกผู้มีอำนาจตัดสินใจอีก 4 คนมารวมกันทันที ผู้เชี่ยวชาญทั้งห้ารวมตัวกันในห้องโถงอันโอ่อ่า
“อะไรนะ ? สายลมพลิ้ว เจ้าบอกว่าลูกบุญธรรมในตำนานของใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้า นายน้อยประกายดาวมาถึงที่ราบเมฆาแล้วรึ ? ” อีกสี่คนประหลาดใจเมื่อได้รับข่าว
บรรพชนสายลมพลิ้วพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของเขา เขาคือนายน้อยประกายดาวจากที่ราบประกายดาว”
“พ่อบุญธรรมของนายน้อยประกายดาวคือใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้า และเบื้องหลังใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้าคือจอมปราชญ์สูงสุดน้ำตาโลหิต เราจะยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับนายน้อยประกายดาวบนที่ราบเมฆาไม่ได้ ไม่งั้นเราจะต้องเจอกับวิกฤต” อีกสี่คนเคร่งเครียด พวกเขาได้ข้อสรุปที่น่าหวาดกลัวเช่นเดียวกันในไม่ช้า
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขั้นอัครสูงสุด แต่พวกเขาก็เป็นขั้นอัครสูงสุดช่วงต้น ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับใต้เท้าประกายดาวทั้งเก้าซึ่งเป็นขั้นอัครสูงสุดชั้นสวรรค์ที่ 9 นั้นเหมือนกับการเรืองแสงของดวงจันทร์เมื่อเทียบกับความสว่างของดวงอาทิตย์ พวกเขาอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เห็นได้ชัดว่าความปลอดภัยของนายน้อยประกายดาวมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม การมาถึงของเขาถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพันธมิตรสี่เส้าของเราในการเปลี่ยนแปลงชะตากรรม” บรรพชนสายลมพลิ้วกล่าวอย่างช้า ๆ “ผู้เฒ่าเทียนซานแห่งพันธมิตรชอบธรรมมาถึงจุดสูงสุดของชั้นสวรรค์ที่ 3 เมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ปีศาจสวรรค์เที่ยงแท้ได้ตายไปแล้ว เขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดบนที่ราบเมฆา ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะตัดผ่านไปถึงชั้นสวรรค์ที่ 4”
“อย่างไรก็ตาม ข้ามั่นใจว่าวันที่ผู้เฒ่าเทียนซานตัดผ่านจะเป็นวันที่พันธมิตรสี่เส้าของเราถูกทำลาย ด้วยเหตุนี้ เราจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับคนที่มีอำนาจ หากเราต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…”