ต้าเต๋อจื่อเห็นคุณชายขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับซุ่นจื่อ
เขารีบขยิบตาให้น้องสาว เพื่อบอกให้นางรับหน้าที่จุดโคมไฟต่อ
เขาต้องไปดูแลม้าให้เรียบร้อย
เดิมทีคิดว่าคุณชายจะเดินดูนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ไป ดูจากท่าทางตอนนี้น่าจะอยากอยู่สักพัก
ลู่พั่นนั่งที่เก้าอี้เงียบๆ ตรงหน้ามีน้ำชาหนึ่งกา
สายตามองไปยังโคมไฟที่ซุ่นจื่อกับเป่าจูช่วยกันจุดทีละดวง มองสังเกตโดยรอบ
‘เครื่องให้ความอุ่นแบบเคลื่อนที่’ ถูกเลื่อนเข้ามา ลู่พั่นลองเอามือไปวัดความร้อน
รู้สึกเหมือนด้านหลังมีอะไรนิ่มๆ จึงหยิบมาดู เป็นเบาะพิง
นิ่มและใหญ่กว่าเบาะพิงที่ใช้ในจวน
สิ่งที่วางประดับโต๊ะ เดิมทีน่าจะเป็นขวดยาขนาดเล็กหรือเปล่า แต่เอามาปักดอกไม้หนึ่งดอก
หยิบออกมาดู เป็นดอกไม้ปลอม
ใช้ผ้าทำ ฝีมือดีมากทีเดียว
ลู่พั่นมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าทุกโต๊ะมีเหมือนกันหมด ดอกไม้แต่ละดอกมีสีที่แตกต่างกัน
“คุณชายขอรับ คอแห้งหรือยัง ดื่มชาสิขอรับ” ซุ่นจื่อรินน้ำชาให้ลู่พั่น พอเห็นว่าเป็นชานมเขาก็กลืนน้ำลาย อันที่จริงเขาต่างหากที่กระหาย
ลู่พั่นจิบหนึ่งอึก คิดในใจ เป็นที่น่าพอใจ ไม่เหมือนคนอื่นดี
เขายืนขึ้น ชี้ไปที่กาน้ำชา
ซุ่นจื่อพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มทันที
คุณชายทำหน้าบึ้งตึงใส่เขามาทั้งวัน แต่กลับมองออกว่าเขากระหาย บอกให้เขาดื่มน้ำ
ในใจของคุณชายมีเขาอยู่จริงๆ สินะ
ลู่พั่นมองชั้นสองที่เดิมทีเปิดโล่งหมด ตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ตรงกลางถูกกั้นด้วยหนังสือกับเครื่องกระเบื้องวางประดับอยู่
ขณะที่กำลังจะหยิบหนังสือมาดูว่าเกี่ยวกับด้านไหน ซุ่นจื่อที่ดื่มชานมไปครึ่งกาก็ออกมาจากห้องน้ำพลางพูด “คุณชาย ดูสิขอรับ ห้องส้วมที่นี่ดูดีกว่าที่ค่ายเสินจีมากเลยขอรับ”
เวลานี้ลู่พั่นอยากย้อนถามตัวเองมากว่า
เขาเริ่มให้ซุ่นจื่อมาติดตามข้างกายตั้งแต่เมื่อไรกัน
ดูสีหน้าตื่นตูมนั่นสิ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนของเขา
ซุ่นจื่อน้อยใจ เขาไม่ได้ตื่นตูมนะ ก็พวกนางใช้แจกันขนาดใหญ่มาทำเป็นโถฉี่ เอาอ่างกระเบื้องมาทำเป็นอ่างล้างมือ
ซุ่นจื่อพึมพำ ถามต้าเต๋อจื่อที่เพิ่งขึ้นมา ชี้ไปทางห้องส้วม “ความคิดใครรึ”
ต้าเต๋อจื่อมองเป่าจูแล้วตอบ “น่าจะแม่นางซ่งขอรับ”
“คุณชายฟังดูสิ แม่นางซ่งล้างผลาญขนาดไหน”
ความหมายของซุ่นจื่อไม่ต้องบอกก็รู้กัน
เขาไม่ได้ตื่นตูมไร้การศึกษา
แค่สงสัยว่าผู้หญิงบ้านนอก ได้ ก็ไม่เชิงเป็นหญิงบ้านนอก
แต่พวกเราจะถือว่าครอบครัวซ่งฝูเซิงเมื่อก่อนร่ำรวย นั่นก็ไม่น่าใช่หรือเปล่า
คิดได้อย่างไร กล้าใช้แจกันขนาดใหญ่ที่ราคาแพงขนาดนั้นนำมาทำเป็นโถฉี่ได้อย่างไร
เขาท่านซุ่นจื่อเคยเห็นมาทุกอย่าง แต่สำหรับเขา ของดีก็เห็นเป็นของดีนะ
โถฉี่ ไอ๊หยา
เอาล่ะ ถือว่าเข้าใจแล้ว มิน่าคุณหนูสามถึงร่วมมือกับขนมฝูหลิงได้ ดูการตกแต่งภายในร้านนี่สิ เอาแค่โคมไฟพวกนี้ก็มีตั้งเท่าไร ไม่รู้จักกลัวว่าจะยุ่งยาก
ทั้งสองคนกลับเป็นคนประเภทที่ว่า ไม่เห็นของดีเป็นของดี
แต่เรื่องที่เขาสงสัยก็ยังคงเป็นคำพูดนั้นที่ว่า คุณหนูสามเป็นใคร นางเป็นสตรีจากจวนผู้สำเร็จราชการ แล้วซ่งฝูหลิงเป็นใคร
ทันใดนั้น ลู่พั่นก็ถามเป่าจู “แม่นางซ่ง นางมาบ่อยหรือไม่”
“หืม?”
ซุ่นจื่อก็กระพริบตาปริบๆ อย่างรวดเร็ว
แม่เจ้าเอ๋ย ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงแบบไม่มีสาเหตุด้วย รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
ซุ่นจื่อไม่มีเวลาสนใจวิเคราะห์ความรู้สึกหัวใจเต้นแรงของเขา หันไปขยิบตาให้เป่าจู
แม่สาวน้อยจอมซื่อ คุณชายถามเจ้าอยู่นะ เจ้าร้องหืม คือการตอบสนองแบบไหนกัน
“เรียนคุณชาย มาไม่บ่อยเจ้าค่ะ ไม่สิ มาแค่ครั้งสองครั้ง เป็นตอนวันก่อนเปิดร้านและวันเปิดร้านเจ้าค่ะ”
“แล้วนาง…” ลู่พั่นลังเลเล็กน้อย
ซุ่นจื่อคอยสังเกตสีหน้าของลู่พั่นด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอด กำลังตั้งใจวิเคราะห์อยู่ ดูท่าทางคุณชายเหมือนอยากถามแต่ก็ไม่อยากเอ่ยปาก จึงรีบพูดต่อให้ “แล้วช่วงนี้ แม่นางซ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมาหรือไม่”
เป่าจูส่ายหน้า นางไม่ทราบ
ซุ่นจื่อสังเกตสีหน้าของลู่พั่นต่อพลางถาม “เจ้าจะไม่ทราบได้อย่างไร เจ้าอยู่กับพวกนางทั้งวัน ไม่เคยได้ยินท่านย่าของนางพูดหรือว่าวันไหนนางจะมา”
“ไม่เคยได้ยินเจ้าค่ะ”
“นางจะไม่มีทางมาเลยรึ สถานการณ์แบบไหนนางถึงจะมา”
ซุ่นจื่อพบว่าลู่พั่นรีบร้อนลงไปแล้ว เขาโมโหจนแอบด่าเป่าจูอยู่ในใจอีกครั้ง แม่สาวน้อยจอมซื่อบื้อเอ๋ย
เขารีบหันไปกระซิบกำชับ
“พรุ่งนี้เจ้าก็ไปแอบสืบมา ห้ามบอกว่าพวกเราถาม
ไม่สิ ห้ามบอกว่าพวกเรามาที่ร้านเลยดีกว่า โดยเฉพาะห้ามพูดว่าคุณชายมา
พอไปสืบ ถ้าได้ยินว่าช่วงนี้แม่นางซ่งจะมา เจ้าก็ส่งเขาไปหาข้าที่ประตูข้างจวน จำไว้นะ” ชี้ไปที่ต้าเต๋อจื่อ
ซุ่นจื่อถึงได้รีบตามลู่พั่นลงไป “คุณชาย คุณชาย รอข้าด้วย”
เป่าจูกับต้าเต๋อจื่อยืนอยู่ที่ประตูร้าน มองส่งลู่พั่นกับซุ่นจื่อที่ขี่ม้าออกไป
จนกระทั่งลับตา เป่าจูถึงได้เอามือลูบหน้าอกอย่างโล่งใจ ถามต้าเต๋อจื่อด้วยสีหน้าตกใจ
“ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าแสดงออกว่าอึ้งมากไหม แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…
…นั่นคุณชาย คุณชายเชียวนะ เขาถึงกับมาสืบเรื่องสตรี…
…เอ๊ะ อย่าว่าแต่ข้าอึ้งเลย ท่านพี่ เรื่องนี้ ถ้าข้าไปบอกคุณหนูสาม คุณหนูสามก็ต้องอึ้ง เชื่อข้าไหมล่ะ…
…เกรงว่าคุณหนูสามก็คงรู้สึกว่า คุณชายบ้านไหนจะทำเรื่องแบบนี้ก็ได้ แต่คุณชายบ้านเราไม่มีทาง…
…แต่ว่า คุณชายเขาถามจริงๆ นะ”
ต้าเต๋อจื่อเองก็มีสีหน้าสงสัย แถมคนที่ถามถึงยังเป็นแม่นางซ่งหลานสาวของท่านย่าหม่า
ว่าแต่ จะสืบเรื่องแม่นางซ่งไปทำไมกัน
ทำอะไร อยากเจอตัวแม่นางซ่งโดยตรง มันจะไม่เหมาะหรือเปล่า
“น้องพี่ อย่าเพิ่งไปบอกคุณหนูสาม เรื่องยุ่งยากหลายอย่างล้วนออกมาจากปาก แต่ว่า อืม พรุ่งนี้เจ้าก็อย่าพูดกับท่านย่าหม่าเรื่องนี้ ฟังท่านซุ่นจื่อ คิดเสียว่าพวกเขาไม่ได้มาที่ร้าน”
“ท่านพี่ ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าจะไปบอกได้ยังไง ก็แค่ยกตัวอย่าง ไม่ถูกสิ ท่านพี่ ถ้าช่วงนี้แม่นางซ่งเกิดมาจริงๆ ล่ะ พวกเราต้องไปส่งข่าวหรือเปล่า แล้วพรุ่งนี้ข้าต้องแอบลองสืบไหม”
นั่นสิ
ต้าเต๋อจื่อมีสีหน้าลำบากใจ รู้สึกว่าจะทำอะไรก็ไม่ถูกไปเสียหมด
ช่างน่าสงสารเด็กวัยสิบกว่าขวบทั้งสองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก
“เอาเป็นว่า อย่างไรก็ต้องลองสืบข่าวดู จากนั้นพวกเราค่อยคิดอีกทีว่าจะไปส่งข่าวหรือไม่
บางทีพวกเราอาจคิดมากไปเองก็ได้
ต้องรู้นะว่าคุณชายเองก็เป็นคนที่ใช้ได้
ข้าดูแล้ว คุณชายแต่ละจวนในเมืองเฟิ่งเทียนเอามามัดรวมกันก็ยังสู้เขาคนเดียวไม่ได้
พวกเราน่าจะคิดมากไปเอง”
…
“ข้าคิดมากไปเองหรือเปล่านะ” ซุ่นจื่ออยู่นอกห้องอาบน้ำ พูดพึมพำกับตัวเอง
แต่เขาควบคุมความสงสัยภายในใจไม่ได้ เพราะคำพูดนั้น ‘แม่นางซ่ง นางมาบ่อยหรือไม่’
น้ำเสียงในตอนนั้นมัน จึ๊
เขาอยู่ข้างกายคุณชายมาหลายปี แน่ใจและมั่นใจว่า ไม่เคยได้ยินคุณชายพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
จะอธิบายยังไงดีล่ะ
ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความลังเล ไม่แน่ใจ เป็นความเขินอายที่ถามถึงสตรีเป็นครั้งแรกอย่างนั้นหรือเปล่า
แค่กๆ ซุ่นจื่อรีบส่ายหน้า
เขินอายรึ คุณชายไม่น่าเขินเป็นหรือเปล่า
คุณชายทำเป็นแต่สีหน้าเย็นชา เรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องนั้นไม่ได้ ไสหัวไป ได้ หุบปาก ออกไป
ถูกต้อง ไม่ผิดแน่ เขาต้องเบลอเองแน่นอนที่คิดว่าในน้ำเสียงของคุณชายเจือไปด้วยความลังเลกับเขินอาย
แต่ซุ่นจื่อก็นึกถึงรูปร่างหน้าตาของซ่งฝูหลิงขึ้นมาอีกครั้ง
คิดในใจ
ถึงจะรูปร่างผอมแห้ง ยังโตไม่เต็มที่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคราวก่อนที่เขาไป พอเห็นหน้าก็เหนือความคาดหมายไปมาก
นึกไม่ถึงว่าพออาบน้ำแต่งตัวสะอาดสะอ้านก็หน้าตางดงามมากทีเดียว
เหมือนตอนลี้ภัยที่ไหนกัน สตรีที่วันๆ ขลุกอยู่แต่ในเรือนก็ไม่ได้ร่าเริงดูมีชีวิตชีวาเท่านางหรือเปล่า
แบบนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า คุณชายจะถูกใจรูปร่างหน้าตาของนาง
ผุย
ซุ่นจื่อตบปากตัวเองเบาๆ
เกลียดตัวเองที่จินตนาการ จนคุณชายกลายเป็นคนแบบไหนไปแล้ว
หากคุณชายชอบหญิงงามจริง ยามนี้คงเต็มหอซงเทาไปหมดแล้ว สองโต๊ะก็ยังไม่พอนั่ง นางคณิกาคงเดินกันจนวุ่นวาย
แต่น่าเสียดายที่คุณชายไม่ใช่คนแบบนั้น
หญิงคณิกามารินสุราให้ เป็นต้องล้มโต๊ะทิ้ง
แต่ว่านะ สมองของซุ่นจื่อจินตนาการไปไกลอย่างที่ควบคุมไม่อยู่อีกแล้ว ภาพที่คราวก่อนสองคนนั้นยิ้มพูดคุยกัน
นั่นสิ ครั้งนั้นคุณชายยิ้มด้วยนะ
อีกทั้งหลังจากที่ถูกหมี่โซ่วสะกิด ถามว่าทำไมต้องยิ้ม ยังเดินออกไปโดยไม่ได้ใส่ชุดคลุมขนจิ้งจอก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นข้างนอกหิมะตกอยู่
หิมะตกหนักขนาดนั้น ข้างนอกไม่ได้มีคนตะโกนเรียก ไม่ได้มีคนเรียก และก็ไม่มีเรื่องอะไร จะรีบร้อนออกไปทำไมกัน
พอนึกถึงตรงนี้ ซุ่นจื่อก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่บ่าวที่จงรักภักดีได้ไม่เต็มที่
มีพิรุธขนาดนั้น ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่สังเกตว่าคุณชายหูแดงหรือเปล่า มัวแต่คิดเรื่องกินข้าว
ถ้าหูแดงล่ะก็ นั่นก็แสดงว่าหนีไปเพราะเขินอาย ก็แสดงว่า…
“อาจารย์ ทำอะไรอยู่ พูดพึมพำอยู่คนเดียว” เสี่ยวเฉวียนจื่อสงสัยเหลือเกิน
“ออกไปๆๆ ข้านึกถึงไหนแล้วเนี่ย กำลังจะได้ข้อสรุปแล้วเชียว มารบกวนความคิดของข้า” ถีบเสี่ยวเฉวียนจื่อไปหนึ่งที
“คือว่าอาจารย์ คุณชายเรียกท่านอยู่ ได้เวลาเปลี่ยนน้ำแล้ว”
“เอ้า ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าไม่รีบบอกเล่า” ถีบเสี่ยวเฉวียนจื่อไปอีกหนึ่งที
เสี่ยวเฉวียนจื่อเอามือจับก้น ทำไมคนที่โดนถีบต้องเป็นเขาตลอดเลยนะ
ลู่พั่นสวมเสื้อผ้า หยิบหนังสือ นั่งที่หน้าโต๊ะ ปล่อยให้ซุ่นจื่อจัดการผมของเขา
ซุ่นจื่อเอาผ้าเช็ดให้อยู่สักพักแล้วหวี เหลือบมองหนังสือที่ถูกจ้องแน่นิ่งไม่เปลี่ยนหน้า หาเรื่องชวนคุย
“คุณชายขอรับ เครื่องคั้นน้ำกับเครื่องตีไข่นั่น ในที่สุดก็เสร็จแล้ว คุณชายไม่ต้องไปตีเหล็กที่เรือนหลังแล้ว…
…คืนนี้รีบพักผ่อนนะขอรับ…
…ช่วงหลายวันมานี้คุณชายตีเหล็กทุกวัน ฮูหยินยังถามถึง…
…คิดว่าคุณชายจะทำปืนใหญ่ในจวนอีกแล้ว กำชับมาเป็นพิเศษว่าแบบนั้นไม่ได้…
…แต่ข้าก็ไม่ได้พูดว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“อืม” ลู่พั่นพลิกหนังสือหนึ่งหน้า
“คุณชาย คุณชายว่าพี่สาวของหมี่โซ่ว ไม่สิ แม่นางฝูหลิง…
…หากนางได้เห็นเครื่องตีไข่ก็น่าจะดีใจมากหรือไม่ คุณชายช่วยนางแก้ปัญหาใหญ่เลยทีเดียว…
…ได้ยินว่าขนมพวกนั้น แต่ละอย่างล้วนต้องตีไข่”
ลู่พั่นวางหนังสือลง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ซุ่นจื่อ “…” ดูเอา จิบ จิบเข้าไป พอพูดถึงแม่นางฝูหลิงก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่
“ข้าว่านะคุณชาย พวกเราควรส่งคนไปเชิญแม่นางฝูหลิงมาสักรอบ จำเป็นต้องให้นางมา”
ลู่พั่น “เพราะอะไร”
ซุ่นจื่อกลืนน้ำลาย แต่งเรื่องต่อ
“คุณชายทำของเสร็จหมดแล้ว นางไม่ต้องมารับหรอกหรือ…
…อีกอย่าง คนอื่นมาเอาของเขาจะฟังเข้าใจหรือ นั่นเป็นของที่คุณชายกับแม่นางฝูหลิงหารือร่วมกัน…
…นางเป็นคนออกแบบ คุณชายคุยกับนางย่อมยุ่งยากน้อยกว่าบอกคนอื่นมิใช่หรือ…
…อีกทั้งคุณชายเอาแบบร่างมาจากมือนาง ก็ต้องมอบให้นางด้วยมือตัวเองหรือเปล่า…
…นอกจากนี้นะคุณชาย ข้ารู้สึกว่า ถ้าได้เจอหน้ากันจริง คุณชายควรเล่าให้แม่นางฝูหลิงฟังว่าพวกเราลำบากขนาดไหนกว่าจะทำออกมาได้…
…คุณชายรื้อประกอบใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ปรับปรุงอยู่สี่รอบเชียวนะ”
ลู่พั่น “เรื่องนั้นไม่ต้อง”
“ต้องสิ ต้องสิ ไม่ได้พูดเพื่อให้นางรู้สึกติดค้างน้ำใจ แต่เพื่อป้องกันวันหน้า เกิดเจ้าสองเครื่องนี้ไม่พอใช้ นางจะไปหาช่างฝีมือคนอื่นให้ทำอีก แล้วเกิดคนผู้นั้นแสร้งทำเป็นเข้าใจ บอกว่าทำง่ายมาก หลอกนางขึ้นมา คุณชาย มันมีความเป็นไปได้นะขอรับ คนในห้องทำขนมตั้งเท่าไร ดังนั้นคุณชายต้องเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด ละเอียดยิบเลยขอรับ”
ทันใดนั้นลู่พั่นก็หันไปถามซุ่นจื่อ “ใหญ่ขนาดนี้จะไม่พอใช้เลยรึ”
ซุ่นจื่อ “…” รู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง
ตามคาด
ลู่พั่นลุกขึ้น จัดเสื้อตัวในให้เรียบร้อย “ถ้าเช่นนั้นก็ทำไว้อีกสองสามเครื่อง”
ซุ่นจื่ออยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
ทำไมปากเขาต้องหาเรื่องด้วยนะ เขาอยากนอน
“คุณชาย พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะขอรับ”
พอไปถึงเรือนหลัง ซุ่นจื่อเข้าไปในห้องตีเหล็กแล้วก็ยังไม่ละความพยายาม
“อันที่จริงนะขอรับคุณชาย คุณชายรู้สึกหรือไม่ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือคนอื่น ช่วยประคองขึ้นม้าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดแจงให้ทั้งหมด หากจัดการให้ทุกอย่าง อีกฝ่ายก็จะรู้สึกว่า อืม คือ…”
“ไปดึงกล่องลม”
ลู่พั่นเริ่มถอดเสื้อแล้ว
…
“เด็กคนนี้นี่ ทำอะไรก็ต้องสมบูรณ์แบบ มีอะไรที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นที่ไหนกัน นิสัยแบบนี้ไม่ดี จริงๆ นะลูกแม่ เจ้าต้องเปลี่ยน” เฉียนเพ่ยอิงรองพื้นรองเท้าของซ่งฝูหลิงให้หนาขึ้นพลางบ่น
เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ
ซ่งฝูหลิงลูกสาวของนางเขียนเรื่องเล่าใช่ไหมล่ะ
ในนั้นมีเกี่ยวกับว่าประเทศไหนสู้กับประเทศไหน ตอนนั้นมีหลายประเทศที่ร่วมมือกันใช่ไหมล่ะ วุ่นวายกันมากทีเดียว
หากจะบรรยายเป็นตัวหนังสือก็เปลืองแรง
เพราแต่ละประเทศเริ่มบินจากดินแดนของตัวเอง บินมาจากทั่วทุกสารทิศ
สุดท้ายไปลงที่ไหน เส้นทางเป็นอย่างไร นี่ก็อธิบายยากแล้ว ลูกสาวของนางเขียนๆ อยู่ก็โยนดินสอทิ้ง เขียนจนโมโห
ก็จริง ทวีปนี้ ช่องแคบอังกฤษนั่น อธิบายยากจริงๆ ว่าใช้ทางลัดยังไง
จากนั้น จากนั้นก็เอามือตีหน้าผาก ลูกสาวของนางตัดสินใจสร้างโมเดลจำลองเอง
ทั้งยังเอามือเท้าสะเอวพูดอย่างจริงจัง “เขียนไม่ออกลูกก็จะทำแบบจำลอง อธิบายด้วยแบบจำลอง ลูกไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้”
ด้วยเหตุนี้ถึงต้องการตื่นแต่เช้าตามท่านย่าของนางเข้าเมืองให้ได้ จะไปเดินซื้อของ เลือกกระดาษชนิดหนึ่งที่สามารถแทนที่ ‘เทปกาว’ ได้
ท่านย่าของนางถามว่ามันเป็นอย่างไร ลูกสาวนางตอบว่า ไม่ต้องช่วย นางจะไปหาซื้อด้วยตัวเอง ทั้งยังต้องซื้อเชื้อเพลิง ผงหญ้า ตามหาแผ่นหญ้า
เพราะผงหญ้า เมื่อคืนนางถึงกับเทอาหารม้าของเสี่ยวหงออกมา
อาหารม้าพวกนั้นรองผู้บัญชาการเกิ่งทิ้งไว้เป็นพิเศษให้เสี่ยวหงสองถุง เป็นอาหารที่ผสมเสร็จแล้ว ในนั้นผสมกันไว้อย่างดี ลูกสาวนางกลับได้เรื่อง คุ้ยหญ้าแห้งที่อยู่ในอาหารม้าออกมา เสี่ยวหงได้แต่มองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ
นี่ยังไม่ถือว่าอาการหนักสุด เรื่องที่ทำให้เฉียนเพ่ยอิงหมดคำจะพูดมากที่สุดคือ ทำโมเดลจำลองจำเป็นต้องใช้ผงยิปซัม
ต้องทราบก่อนว่า ถึงแม้สมัยโบราณจะมีผงยิปซัม แต่คนที่นี่ไม่ได้ใช้ของแบบนี้บ่อย
คิดอย่างโง่ๆ รูปปั้นปูนพลาสเตอร์แพร่มาจากทางตะวันตก ก็แสดงให้เห็นว่าทางตะวันตกนิยมใช้ของสิ่งนี้ บรรพบุรุษของพวกเราไม่ได้เห็นของพวกนี้อยู่ในสายตา
มันหาไม่ได้ง่ายๆ
ลูกสาวนางบอกว่า “ในเมื่อมี ก็ไม่เชื่อว่าจะหาซื้อไม่ได้ การแสดงทุบหินบนอกก็ใช้ของสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ต้องลองไปถามนักแสดงริมถนนดู”
เล่นเอาเหล่าซ่งตกใจรีบพูดขึ้น “เจ้าอย่าได้ไปถามนักแสดงริมถนนเชียวนะ แบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการบอกว่าเจ้ารู้ว่าเป็นการเล่นกลหรอกรึ ไปร้านขายยาดีกว่า ร้านยาน่าจะต้องใช้”
ท่านย่าหม่าได้ฟังก็ “พวกร้านยาเหลี่ยมจัด ย่าฟังอยู่สักพักก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าต้องการซื้ออะไร ย่ารู้แหล่ง”
“ที่ไหนหรือท่านย่า”
ท่านย่าหม่า “ร้ายขายโลงศพ”
ซ่งฝูหลิงดวงตาเป็นประกาย
ความเป็นไปได้สูงมาก ของสิ่งนั้นสามารถกันความชื้นได้ คนโบราณฝังศพ อาจได้ใช้จริงๆ
เฉียนเพ่ยอิงปวดหัว
เขียนนิยายก็ยังเขียนได้ไม่เท่าไร นี่จะทำโมเดลจำลองอีก แล้วยังจะไปร้านขายโลงศพอีก
เพื่อให้คนฟังเข้าใจ มันต้องขนาดนี้เชียวรึ
“ถูกต้อง”
ท่านลุงซ่งยิ้มพลางตะโกน “เดินทางดีๆ นะ”
หันกลับมาปลอบเฉียนเพ่ยอิง “เด็กมันเล่นสนุกน่ะ ได้ยินว่าข้างนอก เวลาที่อธิบายไม่เข้าใจยังต้องทั้งร้องทั้งทำท่าทางประกอบ พวกเราแค่วงเล็กๆ ปล่อยนางไปเถอะนะ”
เฉียนเพ่ยอิงคิดในใจ พวกท่านคงฟังเรื่องเล่าจนติดแล้วจริงๆ สินะ
ต้าเต๋อจื่อเห็นคุณชายขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับซุ่นจื่อ
เขารีบขยิบตาให้น้องสาว เพื่อบอกให้นางรับหน้าที่จุดโคมไฟต่อ
เขาต้องไปดูแลม้าให้เรียบร้อย
เดิมทีคิดว่าคุณชายจะเดินดูนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ไป ดูจากท่าทางตอนนี้น่าจะอยากอยู่สักพัก
ลู่พั่นนั่งที่เก้าอี้เงียบๆ ตรงหน้ามีน้ำชาหนึ่งกา
สายตามองไปยังโคมไฟที่ซุ่นจื่อกับเป่าจูช่วยกันจุดทีละดวง มองสังเกตโดยรอบ
‘เครื่องให้ความอุ่นแบบเคลื่อนที่’ ถูกเลื่อนเข้ามา ลู่พั่นลองเอามือไปวัดความร้อน
รู้สึกเหมือนด้านหลังมีอะไรนิ่มๆ จึงหยิบมาดู เป็นเบาะพิง
นิ่มและใหญ่กว่าเบาะพิงที่ใช้ในจวน
สิ่งที่วางประดับโต๊ะ เดิมทีน่าจะเป็นขวดยาขนาดเล็กหรือเปล่า แต่เอามาปักดอกไม้หนึ่งดอก
หยิบออกมาดู เป็นดอกไม้ปลอม
ใช้ผ้าทำ ฝีมือดีมากทีเดียว
ลู่พั่นมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าทุกโต๊ะมีเหมือนกันหมด ดอกไม้แต่ละดอกมีสีที่แตกต่างกัน
“คุณชายขอรับ คอแห้งหรือยัง ดื่มชาสิขอรับ” ซุ่นจื่อรินน้ำชาให้ลู่พั่น พอเห็นว่าเป็นชานมเขาก็กลืนน้ำลาย อันที่จริงเขาต่างหากที่กระหาย
ลู่พั่นจิบหนึ่งอึก คิดในใจ เป็นที่น่าพอใจ ไม่เหมือนคนอื่นดี
เขายืนขึ้น ชี้ไปที่กาน้ำชา
ซุ่นจื่อพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มทันที
คุณชายทำหน้าบึ้งตึงใส่เขามาทั้งวัน แต่กลับมองออกว่าเขากระหาย บอกให้เขาดื่มน้ำ
ในใจของคุณชายมีเขาอยู่จริงๆ สินะ
ลู่พั่นมองชั้นสองที่เดิมทีเปิดโล่งหมด ตอนนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ตรงกลางถูกกั้นด้วยหนังสือกับเครื่องกระเบื้องวางประดับอยู่
ขณะที่กำลังจะหยิบหนังสือมาดูว่าเกี่ยวกับด้านไหน ซุ่นจื่อที่ดื่มชานมไปครึ่งกาก็ออกมาจากห้องน้ำพลางพูด “คุณชาย ดูสิขอรับ ห้องส้วมที่นี่ดูดีกว่าที่ค่ายเสินจีมากเลยขอรับ”
เวลานี้ลู่พั่นอยากย้อนถามตัวเองมากว่า
เขาเริ่มให้ซุ่นจื่อมาติดตามข้างกายตั้งแต่เมื่อไรกัน
ดูสีหน้าตื่นตูมนั่นสิ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนของเขา
ซุ่นจื่อน้อยใจ เขาไม่ได้ตื่นตูมนะ ก็พวกนางใช้แจกันขนาดใหญ่มาทำเป็นโถฉี่ เอาอ่างกระเบื้องมาทำเป็นอ่างล้างมือ
ซุ่นจื่อพึมพำ ถามต้าเต๋อจื่อที่เพิ่งขึ้นมา ชี้ไปทางห้องส้วม “ความคิดใครรึ”
ต้าเต๋อจื่อมองเป่าจูแล้วตอบ “น่าจะแม่นางซ่งขอรับ”
“คุณชายฟังดูสิ แม่นางซ่งล้างผลาญขนาดไหน”
ความหมายของซุ่นจื่อไม่ต้องบอกก็รู้กัน
เขาไม่ได้ตื่นตูมไร้การศึกษา
แค่สงสัยว่าผู้หญิงบ้านนอก ได้ ก็ไม่เชิงเป็นหญิงบ้านนอก
แต่พวกเราจะถือว่าครอบครัวซ่งฝูเซิงเมื่อก่อนร่ำรวย นั่นก็ไม่น่าใช่หรือเปล่า
คิดได้อย่างไร กล้าใช้แจกันขนาดใหญ่ที่ราคาแพงขนาดนั้นนำมาทำเป็นโถฉี่ได้อย่างไร
เขาท่านซุ่นจื่อเคยเห็นมาทุกอย่าง แต่สำหรับเขา ของดีก็เห็นเป็นของดีนะ
โถฉี่ ไอ๊หยา
เอาล่ะ ถือว่าเข้าใจแล้ว มิน่าคุณหนูสามถึงร่วมมือกับขนมฝูหลิงได้ ดูการตกแต่งภายในร้านนี่สิ เอาแค่โคมไฟพวกนี้ก็มีตั้งเท่าไร ไม่รู้จักกลัวว่าจะยุ่งยาก
ทั้งสองคนกลับเป็นคนประเภทที่ว่า ไม่เห็นของดีเป็นของดี
แต่เรื่องที่เขาสงสัยก็ยังคงเป็นคำพูดนั้นที่ว่า คุณหนูสามเป็นใคร นางเป็นสตรีจากจวนผู้สำเร็จราชการ แล้วซ่งฝูหลิงเป็นใคร
ทันใดนั้น ลู่พั่นก็ถามเป่าจู “แม่นางซ่ง นางมาบ่อยหรือไม่”
“หืม?”
ซุ่นจื่อก็กระพริบตาปริบๆ อย่างรวดเร็ว
แม่เจ้าเอ๋ย ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงแบบไม่มีสาเหตุด้วย รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
ซุ่นจื่อไม่มีเวลาสนใจวิเคราะห์ความรู้สึกหัวใจเต้นแรงของเขา หันไปขยิบตาให้เป่าจู
แม่สาวน้อยจอมซื่อ คุณชายถามเจ้าอยู่นะ เจ้าร้องหืม คือการตอบสนองแบบไหนกัน
“เรียนคุณชาย มาไม่บ่อยเจ้าค่ะ ไม่สิ มาแค่ครั้งสองครั้ง เป็นตอนวันก่อนเปิดร้านและวันเปิดร้านเจ้าค่ะ”
“แล้วนาง…” ลู่พั่นลังเลเล็กน้อย
ซุ่นจื่อคอยสังเกตสีหน้าของลู่พั่นด้วยความระมัดระวังอยู่ตลอด กำลังตั้งใจวิเคราะห์อยู่ ดูท่าทางคุณชายเหมือนอยากถามแต่ก็ไม่อยากเอ่ยปาก จึงรีบพูดต่อให้ “แล้วช่วงนี้ แม่นางซ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมาหรือไม่”
เป่าจูส่ายหน้า นางไม่ทราบ
ซุ่นจื่อสังเกตสีหน้าของลู่พั่นต่อพลางถาม “เจ้าจะไม่ทราบได้อย่างไร เจ้าอยู่กับพวกนางทั้งวัน ไม่เคยได้ยินท่านย่าของนางพูดหรือว่าวันไหนนางจะมา”
“ไม่เคยได้ยินเจ้าค่ะ”
“นางจะไม่มีทางมาเลยรึ สถานการณ์แบบไหนนางถึงจะมา”
ซุ่นจื่อพบว่าลู่พั่นรีบร้อนลงไปแล้ว เขาโมโหจนแอบด่าเป่าจูอยู่ในใจอีกครั้ง แม่สาวน้อยจอมซื่อบื้อเอ๋ย
เขารีบหันไปกระซิบกำชับ
“พรุ่งนี้เจ้าก็ไปแอบสืบมา ห้ามบอกว่าพวกเราถาม
ไม่สิ ห้ามบอกว่าพวกเรามาที่ร้านเลยดีกว่า โดยเฉพาะห้ามพูดว่าคุณชายมา
พอไปสืบ ถ้าได้ยินว่าช่วงนี้แม่นางซ่งจะมา เจ้าก็ส่งเขาไปหาข้าที่ประตูข้างจวน จำไว้นะ” ชี้ไปที่ต้าเต๋อจื่อ
ซุ่นจื่อถึงได้รีบตามลู่พั่นลงไป “คุณชาย คุณชาย รอข้าด้วย”
เป่าจูกับต้าเต๋อจื่อยืนอยู่ที่ประตูร้าน มองส่งลู่พั่นกับซุ่นจื่อที่ขี่ม้าออกไป
จนกระทั่งลับตา เป่าจูถึงได้เอามือลูบหน้าอกอย่างโล่งใจ ถามต้าเต๋อจื่อด้วยสีหน้าตกใจ
“ท่านพี่ เมื่อครู่ข้าแสดงออกว่าอึ้งมากไหม แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ…
…นั่นคุณชาย คุณชายเชียวนะ เขาถึงกับมาสืบเรื่องสตรี…
…เอ๊ะ อย่าว่าแต่ข้าอึ้งเลย ท่านพี่ เรื่องนี้ ถ้าข้าไปบอกคุณหนูสาม คุณหนูสามก็ต้องอึ้ง เชื่อข้าไหมล่ะ…
…เกรงว่าคุณหนูสามก็คงรู้สึกว่า คุณชายบ้านไหนจะทำเรื่องแบบนี้ก็ได้ แต่คุณชายบ้านเราไม่มีทาง…
…แต่ว่า คุณชายเขาถามจริงๆ นะ”
ต้าเต๋อจื่อเองก็มีสีหน้าสงสัย แถมคนที่ถามถึงยังเป็นแม่นางซ่งหลานสาวของท่านย่าหม่า
ว่าแต่ จะสืบเรื่องแม่นางซ่งไปทำไมกัน
ทำอะไร อยากเจอตัวแม่นางซ่งโดยตรง มันจะไม่เหมาะหรือเปล่า
“น้องพี่ อย่าเพิ่งไปบอกคุณหนูสาม เรื่องยุ่งยากหลายอย่างล้วนออกมาจากปาก แต่ว่า อืม พรุ่งนี้เจ้าก็อย่าพูดกับท่านย่าหม่าเรื่องนี้ ฟังท่านซุ่นจื่อ คิดเสียว่าพวกเขาไม่ได้มาที่ร้าน”
“ท่านพี่ ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าจะไปบอกได้ยังไง ก็แค่ยกตัวอย่าง ไม่ถูกสิ ท่านพี่ ถ้าช่วงนี้แม่นางซ่งเกิดมาจริงๆ ล่ะ พวกเราต้องไปส่งข่าวหรือเปล่า แล้วพรุ่งนี้ข้าต้องแอบลองสืบไหม”
นั่นสิ
ต้าเต๋อจื่อมีสีหน้าลำบากใจ รู้สึกว่าจะทำอะไรก็ไม่ถูกไปเสียหมด
ช่างน่าสงสารเด็กวัยสิบกว่าขวบทั้งสองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก
“เอาเป็นว่า อย่างไรก็ต้องลองสืบข่าวดู จากนั้นพวกเราค่อยคิดอีกทีว่าจะไปส่งข่าวหรือไม่
บางทีพวกเราอาจคิดมากไปเองก็ได้
ต้องรู้นะว่าคุณชายเองก็เป็นคนที่ใช้ได้
ข้าดูแล้ว คุณชายแต่ละจวนในเมืองเฟิ่งเทียนเอามามัดรวมกันก็ยังสู้เขาคนเดียวไม่ได้
พวกเราน่าจะคิดมากไปเอง”
…
“ข้าคิดมากไปเองหรือเปล่านะ” ซุ่นจื่ออยู่นอกห้องอาบน้ำ พูดพึมพำกับตัวเอง
แต่เขาควบคุมความสงสัยภายในใจไม่ได้ เพราะคำพูดนั้น ‘แม่นางซ่ง นางมาบ่อยหรือไม่’
น้ำเสียงในตอนนั้นมัน จึ๊
เขาอยู่ข้างกายคุณชายมาหลายปี แน่ใจและมั่นใจว่า ไม่เคยได้ยินคุณชายพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
จะอธิบายยังไงดีล่ะ
ในน้ำเสียงเจือไปด้วยความลังเล ไม่แน่ใจ เป็นความเขินอายที่ถามถึงสตรีเป็นครั้งแรกอย่างนั้นหรือเปล่า
แค่กๆ ซุ่นจื่อรีบส่ายหน้า
เขินอายรึ คุณชายไม่น่าเขินเป็นหรือเปล่า
คุณชายทำเป็นแต่สีหน้าเย็นชา เรื่องนี้ไม่ได้ เรื่องนั้นไม่ได้ ไสหัวไป ได้ หุบปาก ออกไป
ถูกต้อง ไม่ผิดแน่ เขาต้องเบลอเองแน่นอนที่คิดว่าในน้ำเสียงของคุณชายเจือไปด้วยความลังเลกับเขินอาย
แต่ซุ่นจื่อก็นึกถึงรูปร่างหน้าตาของซ่งฝูหลิงขึ้นมาอีกครั้ง
คิดในใจ
ถึงจะรูปร่างผอมแห้ง ยังโตไม่เต็มที่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคราวก่อนที่เขาไป พอเห็นหน้าก็เหนือความคาดหมายไปมาก
นึกไม่ถึงว่าพออาบน้ำแต่งตัวสะอาดสะอ้านก็หน้าตางดงามมากทีเดียว
เหมือนตอนลี้ภัยที่ไหนกัน สตรีที่วันๆ ขลุกอยู่แต่ในเรือนก็ไม่ได้ร่าเริงดูมีชีวิตชีวาเท่านางหรือเปล่า
แบบนั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า คุณชายจะถูกใจรูปร่างหน้าตาของนาง
ผุย
ซุ่นจื่อตบปากตัวเองเบาๆ
เกลียดตัวเองที่จินตนาการ จนคุณชายกลายเป็นคนแบบไหนไปแล้ว
หากคุณชายชอบหญิงงามจริง ยามนี้คงเต็มหอซงเทาไปหมดแล้ว สองโต๊ะก็ยังไม่พอนั่ง นางคณิกาคงเดินกันจนวุ่นวาย
แต่น่าเสียดายที่คุณชายไม่ใช่คนแบบนั้น
หญิงคณิกามารินสุราให้ เป็นต้องล้มโต๊ะทิ้ง
แต่ว่านะ สมองของซุ่นจื่อจินตนาการไปไกลอย่างที่ควบคุมไม่อยู่อีกแล้ว ภาพที่คราวก่อนสองคนนั้นยิ้มพูดคุยกัน
นั่นสิ ครั้งนั้นคุณชายยิ้มด้วยนะ
อีกทั้งหลังจากที่ถูกหมี่โซ่วสะกิด ถามว่าทำไมต้องยิ้ม ยังเดินออกไปโดยไม่ได้ใส่ชุดคลุมขนจิ้งจอก ทั้งๆ ที่ตอนนั้นข้างนอกหิมะตกอยู่
หิมะตกหนักขนาดนั้น ข้างนอกไม่ได้มีคนตะโกนเรียก ไม่ได้มีคนเรียก และก็ไม่มีเรื่องอะไร จะรีบร้อนออกไปทำไมกัน
พอนึกถึงตรงนี้ ซุ่นจื่อก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำหน้าที่บ่าวที่จงรักภักดีได้ไม่เต็มที่
มีพิรุธขนาดนั้น ทำไมตอนนั้นเขาถึงไม่สังเกตว่าคุณชายหูแดงหรือเปล่า มัวแต่คิดเรื่องกินข้าว
ถ้าหูแดงล่ะก็ นั่นก็แสดงว่าหนีไปเพราะเขินอาย ก็แสดงว่า…
“อาจารย์ ทำอะไรอยู่ พูดพึมพำอยู่คนเดียว” เสี่ยวเฉวียนจื่อสงสัยเหลือเกิน
“ออกไปๆๆ ข้านึกถึงไหนแล้วเนี่ย กำลังจะได้ข้อสรุปแล้วเชียว มารบกวนความคิดของข้า” ถีบเสี่ยวเฉวียนจื่อไปหนึ่งที
“คือว่าอาจารย์ คุณชายเรียกท่านอยู่ ได้เวลาเปลี่ยนน้ำแล้ว”
“เอ้า ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าไม่รีบบอกเล่า” ถีบเสี่ยวเฉวียนจื่อไปอีกหนึ่งที
เสี่ยวเฉวียนจื่อเอามือจับก้น ทำไมคนที่โดนถีบต้องเป็นเขาตลอดเลยนะ
ลู่พั่นสวมเสื้อผ้า หยิบหนังสือ นั่งที่หน้าโต๊ะ ปล่อยให้ซุ่นจื่อจัดการผมของเขา
ซุ่นจื่อเอาผ้าเช็ดให้อยู่สักพักแล้วหวี เหลือบมองหนังสือที่ถูกจ้องแน่นิ่งไม่เปลี่ยนหน้า หาเรื่องชวนคุย
“คุณชายขอรับ เครื่องคั้นน้ำกับเครื่องตีไข่นั่น ในที่สุดก็เสร็จแล้ว คุณชายไม่ต้องไปตีเหล็กที่เรือนหลังแล้ว…
…คืนนี้รีบพักผ่อนนะขอรับ…
…ช่วงหลายวันมานี้คุณชายตีเหล็กทุกวัน ฮูหยินยังถามถึง…
…คิดว่าคุณชายจะทำปืนใหญ่ในจวนอีกแล้ว กำชับมาเป็นพิเศษว่าแบบนั้นไม่ได้…
…แต่ข้าก็ไม่ได้พูดว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“อืม” ลู่พั่นพลิกหนังสือหนึ่งหน้า
“คุณชาย คุณชายว่าพี่สาวของหมี่โซ่ว ไม่สิ แม่นางฝูหลิง…
…หากนางได้เห็นเครื่องตีไข่ก็น่าจะดีใจมากหรือไม่ คุณชายช่วยนางแก้ปัญหาใหญ่เลยทีเดียว…
…ได้ยินว่าขนมพวกนั้น แต่ละอย่างล้วนต้องตีไข่”
ลู่พั่นวางหนังสือลง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ซุ่นจื่อ “…” ดูเอา จิบ จิบเข้าไป พอพูดถึงแม่นางฝูหลิงก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้วใช่หรือไม่
“ข้าว่านะคุณชาย พวกเราควรส่งคนไปเชิญแม่นางฝูหลิงมาสักรอบ จำเป็นต้องให้นางมา”
ลู่พั่น “เพราะอะไร”
ซุ่นจื่อกลืนน้ำลาย แต่งเรื่องต่อ
“คุณชายทำของเสร็จหมดแล้ว นางไม่ต้องมารับหรอกหรือ…
…อีกอย่าง คนอื่นมาเอาของเขาจะฟังเข้าใจหรือ นั่นเป็นของที่คุณชายกับแม่นางฝูหลิงหารือร่วมกัน…
…นางเป็นคนออกแบบ คุณชายคุยกับนางย่อมยุ่งยากน้อยกว่าบอกคนอื่นมิใช่หรือ…
…อีกทั้งคุณชายเอาแบบร่างมาจากมือนาง ก็ต้องมอบให้นางด้วยมือตัวเองหรือเปล่า…
…นอกจากนี้นะคุณชาย ข้ารู้สึกว่า ถ้าได้เจอหน้ากันจริง คุณชายควรเล่าให้แม่นางฝูหลิงฟังว่าพวกเราลำบากขนาดไหนกว่าจะทำออกมาได้…
…คุณชายรื้อประกอบใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ปรับปรุงอยู่สี่รอบเชียวนะ”
ลู่พั่น “เรื่องนั้นไม่ต้อง”
“ต้องสิ ต้องสิ ไม่ได้พูดเพื่อให้นางรู้สึกติดค้างน้ำใจ แต่เพื่อป้องกันวันหน้า เกิดเจ้าสองเครื่องนี้ไม่พอใช้ นางจะไปหาช่างฝีมือคนอื่นให้ทำอีก แล้วเกิดคนผู้นั้นแสร้งทำเป็นเข้าใจ บอกว่าทำง่ายมาก หลอกนางขึ้นมา คุณชาย มันมีความเป็นไปได้นะขอรับ คนในห้องทำขนมตั้งเท่าไร ดังนั้นคุณชายต้องเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด ละเอียดยิบเลยขอรับ”
ทันใดนั้นลู่พั่นก็หันไปถามซุ่นจื่อ “ใหญ่ขนาดนี้จะไม่พอใช้เลยรึ”
ซุ่นจื่อ “…” รู้สึกเหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง
ตามคาด
ลู่พั่นลุกขึ้น จัดเสื้อตัวในให้เรียบร้อย “ถ้าเช่นนั้นก็ทำไว้อีกสองสามเครื่อง”
ซุ่นจื่ออยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา
ทำไมปากเขาต้องหาเรื่องด้วยนะ เขาอยากนอน
“คุณชาย พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะขอรับ”
พอไปถึงเรือนหลัง ซุ่นจื่อเข้าไปในห้องตีเหล็กแล้วก็ยังไม่ละความพยายาม
“อันที่จริงนะขอรับคุณชาย คุณชายรู้สึกหรือไม่ว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ยกตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือคนอื่น ช่วยประคองขึ้นม้าก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดแจงให้ทั้งหมด หากจัดการให้ทุกอย่าง อีกฝ่ายก็จะรู้สึกว่า อืม คือ…”
“ไปดึงกล่องลม”
ลู่พั่นเริ่มถอดเสื้อแล้ว
…
“เด็กคนนี้นี่ ทำอะไรก็ต้องสมบูรณ์แบบ มีอะไรที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นที่ไหนกัน นิสัยแบบนี้ไม่ดี จริงๆ นะลูกแม่ เจ้าต้องเปลี่ยน” เฉียนเพ่ยอิงรองพื้นรองเท้าของซ่งฝูหลิงให้หนาขึ้นพลางบ่น
เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ
ซ่งฝูหลิงลูกสาวของนางเขียนเรื่องเล่าใช่ไหมล่ะ
ในนั้นมีเกี่ยวกับว่าประเทศไหนสู้กับประเทศไหน ตอนนั้นมีหลายประเทศที่ร่วมมือกันใช่ไหมล่ะ วุ่นวายกันมากทีเดียว
หากจะบรรยายเป็นตัวหนังสือก็เปลืองแรง
เพราแต่ละประเทศเริ่มบินจากดินแดนของตัวเอง บินมาจากทั่วทุกสารทิศ
สุดท้ายไปลงที่ไหน เส้นทางเป็นอย่างไร นี่ก็อธิบายยากแล้ว ลูกสาวของนางเขียนๆ อยู่ก็โยนดินสอทิ้ง เขียนจนโมโห
ก็จริง ทวีปนี้ ช่องแคบอังกฤษนั่น อธิบายยากจริงๆ ว่าใช้ทางลัดยังไง
จากนั้น จากนั้นก็เอามือตีหน้าผาก ลูกสาวของนางตัดสินใจสร้างโมเดลจำลองเอง
ทั้งยังเอามือเท้าสะเอวพูดอย่างจริงจัง “เขียนไม่ออกลูกก็จะทำแบบจำลอง อธิบายด้วยแบบจำลอง ลูกไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้”
ด้วยเหตุนี้ถึงต้องการตื่นแต่เช้าตามท่านย่าของนางเข้าเมืองให้ได้ จะไปเดินซื้อของ เลือกกระดาษชนิดหนึ่งที่สามารถแทนที่ ‘เทปกาว’ ได้
ท่านย่าของนางถามว่ามันเป็นอย่างไร ลูกสาวนางตอบว่า ไม่ต้องช่วย นางจะไปหาซื้อด้วยตัวเอง ทั้งยังต้องซื้อเชื้อเพลิง ผงหญ้า ตามหาแผ่นหญ้า
เพราะผงหญ้า เมื่อคืนนางถึงกับเทอาหารม้าของเสี่ยวหงออกมา
อาหารม้าพวกนั้นรองผู้บัญชาการเกิ่งทิ้งไว้เป็นพิเศษให้เสี่ยวหงสองถุง เป็นอาหารที่ผสมเสร็จแล้ว ในนั้นผสมกันไว้อย่างดี ลูกสาวนางกลับได้เรื่อง คุ้ยหญ้าแห้งที่อยู่ในอาหารม้าออกมา เสี่ยวหงได้แต่มองตาปริบๆ อยู่ข้างๆ
นี่ยังไม่ถือว่าอาการหนักสุด เรื่องที่ทำให้เฉียนเพ่ยอิงหมดคำจะพูดมากที่สุดคือ ทำโมเดลจำลองจำเป็นต้องใช้ผงยิปซัม
ต้องทราบก่อนว่า ถึงแม้สมัยโบราณจะมีผงยิปซัม แต่คนที่นี่ไม่ได้ใช้ของแบบนี้บ่อย
คิดอย่างโง่ๆ รูปปั้นปูนพลาสเตอร์แพร่มาจากทางตะวันตก ก็แสดงให้เห็นว่าทางตะวันตกนิยมใช้ของสิ่งนี้ บรรพบุรุษของพวกเราไม่ได้เห็นของพวกนี้อยู่ในสายตา
มันหาไม่ได้ง่ายๆ
ลูกสาวนางบอกว่า “ในเมื่อมี ก็ไม่เชื่อว่าจะหาซื้อไม่ได้ การแสดงทุบหินบนอกก็ใช้ของสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ต้องลองไปถามนักแสดงริมถนนดู”
เล่นเอาเหล่าซ่งตกใจรีบพูดขึ้น “เจ้าอย่าได้ไปถามนักแสดงริมถนนเชียวนะ แบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการบอกว่าเจ้ารู้ว่าเป็นการเล่นกลหรอกรึ ไปร้านขายยาดีกว่า ร้านยาน่าจะต้องใช้”
ท่านย่าหม่าได้ฟังก็ “พวกร้านยาเหลี่ยมจัด ย่าฟังอยู่สักพักก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าต้องการซื้ออะไร ย่ารู้แหล่ง”
“ที่ไหนหรือท่านย่า”
ท่านย่าหม่า “ร้ายขายโลงศพ”
ซ่งฝูหลิงดวงตาเป็นประกาย
ความเป็นไปได้สูงมาก ของสิ่งนั้นสามารถกันความชื้นได้ คนโบราณฝังศพ อาจได้ใช้จริงๆ
เฉียนเพ่ยอิงปวดหัว
เขียนนิยายก็ยังเขียนได้ไม่เท่าไร นี่จะทำโมเดลจำลองอีก แล้วยังจะไปร้านขายโลงศพอีก
เพื่อให้คนฟังเข้าใจ มันต้องขนาดนี้เชียวรึ
“ถูกต้อง”
ท่านลุงซ่งยิ้มพลางตะโกน “เดินทางดีๆ นะ”
หันกลับมาปลอบเฉียนเพ่ยอิง “เด็กมันเล่นสนุกน่ะ ได้ยินว่าข้างนอก เวลาที่อธิบายไม่เข้าใจยังต้องทั้งร้องทั้งทำท่าทางประกอบ พวกเราแค่วงเล็กๆ ปล่อยนางไปเถอะนะ”
เฉียนเพ่ยอิงคิดในใจ พวกท่านคงฟังเรื่องเล่าจนติดแล้วจริงๆ สินะ