ฟาดฟันสงครามด้วยดาบแห่งนักรบเวทมนตร์ 2 ซามูไรผู้หลงทาง ถูกอัศวินรับเลี้ยง!

ตอนที่ 2 ซามูไรผู้หลงทาง ถูกอัศวินรับเลี้ยง!

 

 

“คุโรโดะ… อ่อ โคลดท์ สินะ… ไม่ค่อยได้ยินชื่อแบบนี้ในตระกูลอัศวินเลยนะ”

 

“โคลท์สินะ…ถ้าย้อนกลับไปก็อาจจะเป็นตระกูลซามูไรจริงๆนั้นแหละ แต่ตอนนี้เองเป็นเพียงพนักงานบริษัทธรรมดาๆ”

 

ผมนึกถึงคุณปู่เคยพูดไว้ว่า บ้านเกิดของเราสืบเชื้อสายมาจากสำนักมารุเมะ  ซึ่งสร้างสรรค์วิชาไทชะริวเคนจุตสึขึ้นในยุคเซ็นโกคุ

 

“ซามูไรอย่างนั้นเหรอ? งั้นก็เป็นชาวยามาโตะสินะ?”

 

“น่าจะใช่ เอาแบบนั้นก็ได้”

 

ขณะที่ตอบแบบส่งๆ ผมก็ละความสนใจจากคู่สนทนา แล้วเริ่มสำรวจสภาพของตัวเองอีกครั้ง พบว่าร่างกายไม่ได้เป็นเพียงยักษ์ แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นเครื่องจักรขนาดมหึมา… ความรู้สึกไม่มั่นคงยากจะอธิบายได้พุ่งเข้าโจมตี

 

“ร่างกายนี่มันอะไรกัน…?”

 

“เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ฉันจะทำการแชร์จิตสำนึกคร่าวๆก่อน”

 

ทันใดนั้น ข้อมูลที่ไม่ควรรู้ก็หลั่งไหลเข้าสู่หัวของผม และผมก็เข้าใจร่วมกับเธอว่าตัวเองถูกกลืนรวมกับกล้ามเนื้อเทียมของเครื่องจักรนี้

 

“อัศวินยักษ์กับโลกที่กำลังจะล่มสลาย เป็นโลกที่ช่วยหดหู่สุดๆ”

 

“พูดแบบนี้ นายคงเป็นชาวยามาโตะจริงๆ สินะ”

 

ดูเหมือนว่าการแชร์จิตของข้อมูลจะเป็นแบบสองทาง เธอจึงเข้าใจเรื่องของผมด้วยเช่นกัน

 

“อืม อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาเรื่องการสื่อสารล่ะนะ”

 

“สื่อสาร?”

 

“ก็ฉันคุยกับนายรู้เรื่องไงล่ะ?”

 

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

 

จากความรู้ที่ส่งมาพร้อมกับบทสนทนา ทำให้ผมทราบว่าครึ่งหนึ่งของพวกที่ถูกเรียกว่า “ผู้มาเยือน” มักปรากฏตัวในสภาพที่สื่อสารไม่ได้ ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาจะเผชิญกับความยากลำบากมหาศาล หรือไม่ก็ตายอย่างรวดเร็ว

 

ผมรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ขณะมองดูทหารม้าและทหารราบร่วมมือกันผลักดันกองทัพสิ่งมีชีวิตประหลาดที่บุกมาจากป่าจนค่อยๆ ถอยร่นไป

 

“เราควรจะเข้าไปช่วยพวกเขาไหม?”

 

“ไม่ล่ะ ดูเหมือนว่าพวกขนาดใหญ่ทั้งหมดจะถูกจัดการไปแล้ว เราควรรีบซ่อมแซมตัวเครื่องจะดีกว่า”

 

เมื่อได้ยินคำพูดที่สงบนิ่งของเธอ ผมจึงมุ่งหน้าไปยังลานจอดเครื่องจักรที่ตั้งอยู่ห่างไปประมาณหลายร้อยเมตร ขณะเดียวกันก็เห็นอัศวินยักษ์หลายตัวที่เปื้อนเลือดของพวกไดซอรัสเดินทางกลับมาถึงแล้ว

 

ผมทำตามพวกเขาโดยคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และใช้มือซ้ายปลดล็อกเกราะหน้าอกซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องควบคุมตามความรู้ที่ได้รับมา จากนั้นก็เปิดเกราะออกไปด้านนอก

 

“…เปิดแบบนี้มันดูโบราณไปหน่อยไหม”

 

“นายก็คิดแบบนั้นใช่ไหมล่ะ…”

 

แม้จะไม่ได้ยินจากปากเธอโดยตรง แต่จากการแชร์จิตสำนึกทำให้ผมรู้ว่าชื่อของเธอคือ เลเวีย เด็กสาวคนนี้จัดการเคลื่อนย้ายเยื่อเทียมและกล้ามเนื้อที่หน้าท้องออก เผยให้เห็นทัศนียภาพธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ผ่านสายตาของผม

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะให้ตัวเครื่องจักรคุกเข่าลง แต่ความสูงที่ยังเหลืออยู่ก็ทำให้ไม่สามารถลงจากที่นี่ได้ง่ายๆ

 

“ขอโทษนะ เลเวีย”

 

“มีอะไรเหรอ?”

 

“ผมจะลงไปยังไงเหรอครับ?”

 

“ตรงนั้นมีลวดสำหรับขึ้นลงอยู่น่ะ”

 

เธอวางมือบนไหล่ของผมจากด้านหลัง ชี้ไปที่แผ่นเกราะหน้าอกที่เปิดออก ผมสีแดงของเธอพาดลงมาบนไหล่ และผมได้เห็นใบหน้าด้านข้างที่งดงามของเธอเป็นครั้งแรก

 

‘หืม… งดงามจริงๆ… ไม่สิ ต้องสงบจิตใจไว้!’

 

เพราะเคยถูกปู่หลอกให้ฝึกฝนเพื่อเป็นซามูไรจนถึงอายุหนึ่ง ช่วงวัยเรียนที่ผ่านมาฉันจึงไม่ถนัดเรื่องความสัมพันธ์กับผู้หญิงเท่าไหร่นัก จึงพยายามรักษาระยะห่างไว้ตามคำโบราณที่ว่า [คนมีปัญญาย่อมไม่เข้าใกล้อันตราย]

(อย่าแกว้งเท้าหาเสี้ยน นั้นแหละ)

 

ถึงแม้จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ผมก็ต้องเมินเฉย!… เมินเฉยเข้าไว้!

 

หลังจากที่ผมพยายามเมินเธอสุดชีวิต เลเวียก็มองด้วยสายตาที่สงสัย ผมจับสายลวดที่ติดอยู่ด้านหลังของแผ่นเกราะหน้าอก เกี่ยวไว้กับเท้าขวา แล้วค่อยๆ ไต่ลงไปถึงพื้น ที่นั่นเอง ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มที่วิ่งเข้ามาหยุดและมองผมด้วยความสงสัย

 

“…นายเป็นใคร?”

 

รอบตัวเขามีกลุ่มอัศวินในชุดเบารวมตัวกันอยู่ ในขณะที่เลเวียใช้มือกดกระโปรงไม่ให้เปิดขึ้น แล้วลอยตัวลงมาด้วยกระแสลมที่เกิดจากเวทมนตร์ เธอลงแตะพื้นอย่างนุ่มนวลก่อนจะก้มศีรษะให้กับอัศวินวัยกลางคนที่มีใบหน้าเคร่งขรึม

 

“หัวหน้ากองเซนอส ขอโทษที่ทำให้ท่านเป็นห่วงค่ะ”

 

“เลเวีย แล้วเจ้านั่นล่ะ? ดูเหมือนจะออกมาจากตัวเครื่องจักร”

 

“เขาบอกว่ามาจากยามาโตะ ชื่อว่ามาดาราเมะ โคลดท์ค่ะ เป็นหนึ่งใน ผู้มาเยือน”

 

“คนหลงทางจากโลกสุดปลายแห่งเหตุผลสินะ…”

 

สายตาจากรอบข้างยิ่งคมกริบขึ้น ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

 

“ท่านคงไม่มีที่ไปใช่ไหม… งั้นก็มากับพวกเราสิ”

 

“ไปที่ไหนงั้นเหรอครับ?”

 

“จะไปไหนน่ะเหรอ? แน่นอนว่าไปทำลาย ประตูวิญญาณ ที่พวกสิ่งมีชีวิตประหลาดสร้างขึ้นเองในดินแดนของเรา”

 

หัวหน้ากองที่มีผมสีขาวแซมกล่าวราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่ผมยังไม่เข้าใจเลยว่าประตูวิญญาณคืออะไร ถึงอย่างนั้น หากไปด้วยก็เหมือนจะพัวพันกับเรื่องยุ่งยาก ผมจึงลังเลที่จะจับมือที่ยื่นมาให้ และพยายามเรียบเรียงสถานการณ์ในหัว

 

ข้อมูลที่ได้รับจากการแชร์จิตสำนึกนั้นมีจำกัด ผมรู้เพียงว่านี่เป็นโลกที่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่จู่โจมมนุษย์โดยไม่ถามเหตุผลใดๆ การถูกทิ้งไว้กลางป่าขนาดใหญ่นี้ โดยไม่รู้ว่าจะหาอาหารและน้ำได้จากที่ไหน หรือแม้แต่พืชที่นี่กินได้หรือเปล่า ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาตัวรอด

 

นอกจากนี้ ยังมีพวกสัตว์อสูรขนาดเล็กที่ผมเคยมองลงมาจากคลอซอรัสก่อนหน้านี้เดินเพ่นพ่านอยู่เช่นกัน ทำให้การเดินทางข้างหน้าดูจะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย

 

‘ฆ่าไอพวกตัวใหญ่งั้นหรอ…’

 

ผมนึกถึงความรู้สึกที่ได้จัดการไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมทำไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจจับมือที่ยื่นมาให้ตรงหน้า

 

ในใจลึกๆ ผมก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามีความคาดหวังเล็กๆ ต่อสถานการณ์นี้ ที่จะได้ลองใช้วิชาเพลงดาบแบบการต่อสู้ที่เคยฝึกมาอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่เคยมีโอกาสใช้จริงในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน

 

“ช่วงนี้คงต้องขอฝากตัวด้วยครับ หัวหน้ากองเซนอส”

 

“แน่นอนสิ! ยินดีต้อนรับ เจ้าหน้าใหม่!”

 

“โอ๊ย! เจ็บนะ! อ๊ากกก!”

 

หัวหน้ากองเซนอสยิ้มกว้าง ก่อนจะจับมือผมด้วยแรงเต็มที่ ผมพยายามสุดกำลังที่จะต้านทานไม่ให้มือถูกบดจนแหลก ขณะที่เขาเองก็เพิ่มแรงบีบเข้าไปอีก

 

“อึ่ก! อ๊ากกก! ไอเวรเอ้ย ต้องการอะไรกันแน่เนี่ย!”

 

ผมเผลอหลุดจากการใช้ภาษาสุภาพ พร้อมกับออกแรงบีบมือตอบกลับไปอย่างสุดกำลัง

 

“ฮึ่ม! โคลดท์ เจ้าก็มีมัดกล้ามไม่เลวเลยนี่นา!”

 

“คุณพ่อ… พอได้แล้วค่ะ”

 

เด็กสาวผมสีบลอนด์เข้ามาแทรกพร้อมแตะที่แขนของหัวหน้ากองเบาๆ ทำให้ช่วงเวลาที่ไร้ประโยชน์นี้สิ้นสุดลงในที่สุด

 

 

ไม่มีอะไรจะพูดอะ แต่อยากพิมพ์ ฮิๆ

 

ฟาดฟันสงครามด้วยดาบแห่งนักรบเวทมนตร์

ฟาดฟันสงครามด้วยดาบแห่งนักรบเวทมนตร์

Score 10
Status: Completed
มาดาราเมะ คุราโตะ พนักงานออฟฟิศธรรมดาที่หลงใหลในศิลปะดาบ ถูกพาไปยังโลกคู่ขนานโดยไม่คาดคิด ที่ซึ่งมนุษยชาติต้องต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เรียกว่า "อเบอร์เรชัน" เขาได้พบว่าตัวเองอยู่ในอาณาจักรเลเซล ไนท์ อาณาจักรเล็กๆ ที่พึ่งพาเครื่องจักรเวทมนตร์ยักษ์ที่เรียกว่า "คลอซอลัส" เพื่อป้องกันภัยคุกคาม

Options

not work with dark mode
Reset