บทที่ 983 (1) เหมิงเหมิงผู้น่ารัก (ฉบับซิ่นหยาง vs เซียวจี่)
……….
ตำหนักอะไรนี่คดเคี้ยวเลี้ยวลด เดินจนปวดหัวไปหมด กอปรกับกลิ่นธูปเข้มข้นพวกนี้อีก ทำเอาเซียวจี่ขมวดคิ้วมุ่น
แต่เขาก็ยังแอบจดจำเส้นทางที่เดินมาเอาไว้ในใจเงียบๆ
ตอนเขาเด็กๆ ไม่ชอบเรียนหนังสือ ประการแรกอาจารย์เขาบีบบังคับเกินไป เขาเกิดอาการต่อต้าน ประการที่สองเขาเห็นตัวหนังสือแน่นขนัดพวกนั้นแล้วทั้งปวดตาทั้งปวดหัว
จากนั้นเขาก็มุดเข้าค่ายทหารอย่างเดียว ไม่ไปเรียนหนังสืออีกเลย
ความจริงสมองของเขาไม่ได้โง่ ขอแค่ไม่เรียนหนังสือ อย่างอื่นเขาก็จดจำได้เพียงแค่ผ่านตามา สิ่งที่ได้ยินก็จดจำได้เป็นส่วนใหญ่เช่นกัน
นี่ทำให้เขามีความได้เปรียบในสนามรบ
แต่ไม่ว่าเขาจะรบชนะมากี่หนก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นคนหยาบกระด้างไม่ได้ องค์หญิงผู้เชี่ยวชาญหมากรุก พิณ ตำราและภาพวาดอย่างฉินเฟิงหวั่น ทั้งยังเป็นเลิศทั้งความสามารถและรูปโฉม ตอนนั้นเขาแอบรู้สึกว่าตนที่อ่านหนังสือออกแค่ไม่กี่ตัวไม่คู่ควรกับนาง
ยามนี้เขาอ่านหนังสือออกมากขึ้นแล้ว ได้รับผลกระทบจากฉินเฟิงหวั่นมาทั้งทางตรงและทางอ้อม
“ท่านชาย ท่านมีเรื่องในใจหรือ” หงหลวนสังเกตเห็นว่าเขาใจลอย คล้ายไม่ใส่ใจกับการไปพบเทพธิดา
เซียวจี่หลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็ว ราวกับตนไม่ได้คิดเรื่องอื่นมาก่อน เขาเอ่ยเหน็บ “เทพธิดาพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าแอบห่วงใยข้าเช่นนี้เป็นการส่วนตัว”
หงหลวนสะอึก ไม่กล้าส่งเสียงอีก
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ไม่มีเลศนัยอะไรแท้ๆ ไฉนพอออกจากปากหลางจวินแล้วจึงกลายเป็นมีเลศนัยไปได้เล่า
นางสงบเสงี่ยมลง เซียวจี่ก็คิดเรื่องเมื่อครู่นี้ต่อ แต่บางอารมณ์พอได้โดนขัดจังหวะแล้ว ก็ต่อติดยากแล้ว
เขาขมวดคิ้วอย่างรำคาญใจ
ทั้งสองมาถึงหน้าตำหนักในของเทพธิดา หน้าประตูมีสาวใช้สี่คนเฝ้ายามอยู่ แต่ละคนล้วนเป็นวรยุทธ์ นอกจากยอดฝีมือไม่น้อยที่ซ่อนอยู่ในที่ลับแล้ว เห็นทีตำหนักเทพธิดาแม้จะไร้บุรุษ แต่ก็เฝ้ายามกันแน่นหนา
“เทพธิดา หลางจวินมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” หงหลวนรายงานขึ้นนอกตำหนัก
“เข้ามา” เทพธิดาเอ่ย
ฟังจากเสียงแล้วยังสาวอยู่ทีเดียว มีกลิ่นอายของผู้อยู่เหนือคน และมีความสูงส่งบริสุทธิ์เหนือโลกีย์
เซียวจี่แอบมอบความประทับใจแรกอยู่ในใจเงียบๆ ขอแค่เทพธิดาไม่เคยพบตัวเขา อันที่จริงทุกอย่างก็คงจะจัดการง่าย
ใบหน้านี้ของเขาหากบอกว่าเหมือนยี่สิบต้นๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หากบอกว่ามีร่องรอยของกาลเวลาก็ไม่ถึงขนาดนั้น หลักๆ คือแววตากับสีหน้ามีความสุขุมและหนักแน่นแห่งวัย
เขาแสดงละครเล็กน้อย ค่อยโกหกว่าเหนื่อยล้าเกินไป ภายใต้แสงไฟสลัวของตะเกียงน้ำมันเช่นนั้น น่าจะพอหลอกลวงได้กล้อมแกล้ม
ทว่าสิ่งที่ถึงจะวางแผนอย่างไรก็สู้ชะตาไม่ได้ก็คือ นึกไม่ถึงว่าเทพธิดาจะเคยเจอตัวเซียวจี่มาแล้ว!
“เป็นเจ้าเองรึ”
หลังจากเทพธิดาปลดผ้าคลุมหน้าของเซียวจี่ออก ก็มองดวงหน้าหล่อเหลาไม่กะพริบ พลันตื่นตะลึงไป
เซียวจี่มึนงงยิ่งนัก
ไม่ซวยเพียงนี้กระมัง
ไม่ทันไรก็โดนจำได้แล้วรึ
เทพธิดาหมุนตัวกลับไปชักกระบี่ยาวบนชั้นวางออกมา คมกระบี่เป็นประกายเย็นเยียบพาดบนลำคอของเซียวจี่
เซียวจี่ใช้หางตามองคมกระบี่คมกริบสุดจะเปรียบ แล้วหันมองเทพธิดาที่สวมผ้าคลุมหน้า ถาม “พวกเรา…รู้จักกันรึ”
เทพธิดาสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ นางไม่ได้ถอดออก เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ว่า ข้ารู้จักเจ้า! ตอนที่เจ้ารบกับกองทัพใหญ่ตงอี๋ ข้าเคยวิเคราะห์การใช้กำลังทหารของเจ้าอยู่บนรถม้า”
เซียวจี่กระจ่างทันใด “อ่า เจ้าคือกุนซือหลังม่านของกษัตริย์ตงอี๋นี่เอง”
กำลังทหารของกษัตริย์ตจงอี๋มีไม่มาก แต่สามารถขัดแข้งขัดขากำลังทหารชายแดนได้หลายครั้งหลายครา สาเหตุหลักก็คือมีกุนซือที่เก่งกาจมากอยู่คนหนึ่ง
เขาไม่คาดคิดเลยว่ากุนซือคนนั้นจะเป็นเทพธิดาของตำหนักเทพธิดา
เทพธิดาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด “ทหารกล้าตงอี๋ของข้าวอดวายด้วยน้ำมือเจ้าหมด เซวียนผิงโหวเซียวจี่! ข้ากำลังกลุ้มอยู่เลยที่หาตัวเจ้าไม่เจอ ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายส่งตัวเองมาถึงที่!”
นางโกรธเกรี้ยวมาก แต่เซวียนผิงโหวสัมผัสไม่ได้ถึงไอสังหารจริงจังจากร่างนางเลย
นางไม่คิดจะฆ่าเขา
เพราะเหตุใดกัน
เซียวจี่วิเคราะห์ศัตรูแม่นยำมาก ในสมรภูมิ การวิเคราะห์ผิดพลาดล้วนอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายมหาศาลได้ทั้งสิ้น
แน่นอนว่าความสามารถนี้ไม่ได้ไร้ที่ติมาตั้งแต่เกิด เขาแลกด้วยราคามหาศาล
เซียวจี่จ้องนางอย่างลุ่มลึก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้
นางขมวดคิ้ว ไม่ได้ฟันเขาสักกระบี่จริงๆ แต่พาดกระบี่ไว้บนลำคอเขาต่อ
เซียวจี่มั่นใจในการคาดเดาของตัวเองแล้ว
นางไม่คิดจะฆ่าเขาจริงๆ
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอะไร
เขากับนางเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ขนาดนี้แล้วนางยังไม่ยอมฆ่าเขาอีก คงไม่ได้คิดจะจับตัวเขาไปขอความดีความชอบกับกษัตริย์ตงอี๋หรอกกระมัง
เอาหัวเขาไปจะไม่หอมหวนกว่าหรือ
เรื่องชักไม่ชอบมาพากล…
“เจ้าทำอะไรกับคนผู้นั้นไปแล้วบ้าง” เทพธิดาเอ่ย
เซียวจี่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ก็ไม่อย่างไรหรอก ยังไม่ตาย เดี๋ยวจะส่งคืนมาให้เจ้า”
“ใครก็ได้!”
เทพธิดาโพล่งออกคำสั่งเรียกคนขึ้นมา
เงามืดสองสายเร้นออกมาจากหลังฉากกันลม ทั้งสองต่างเป็นสตรี ทว่าฝีมือกลับไม่ธรรมดา
ทั้งสองประสานมือ “เทพธิดา!”
เทพธิดาเอ่ยอย่างไร้ปรานี “ฆ่าซะ!”
“เจ้าค่ะ!”
ทั้งสองขานรับก่อนจะจากไป
เซียวจี่เดิมทีมึนงงอยู่สามวินาที คนที่เทพธิดาต้องการฆ่า…คือชายหนุ่มที่โดนตนปล้นกระมัง
เรื่องราวมันดำเนินไปแปลกๆ นะ
ในใจเซียวจี่พลันเกิดลางสังหรณ์ร้ายขึ้นมา
เทพธิดาเลิกกระบี่ยาวขึ้น ฟันอาภรณ์ของเขาขาด เผยผ้าพันแผลน้อยใหญ่ที่พันอยู่บนร่างเขาออกมา
นางเลิกคิ้วน้อยๆ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าก็ว่าอยู่ ร่วงลงไปในกับดักที่ข้าวางไว้ จะยังปลอดภัยไร้เรื่องราวได้อย่างไร เจ้าแอบแฝงตัวเข้ามาในตำหนักเทพธิดาเพื่อยาถอนพิษของน้องชายเจ้า และเพื่อบุตรชายสายรองสองคนของเจ้ากระมัง เจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว ยาถอนพิษอยู่ในมือข้าน่ะถูกต้อง แต่ลูกชายเจ้ากลับอยู่ในคุกใต้ดินของกษัตริย์ตงอี๋น่ะสิ แต่ขอแค่เจ้าเชื่อฟังข้าแต่โดยดี ข้าจะคืนลูกชายเจ้าให้ก็ได้”
เซียวจี่มองนางนิ่งๆ “เชื่อฟังอะไรเจ้า”
เทพธิดาเก็บกระบี่ไปแล้ว เสียบเข้าฝักคืนอย่างคล่องแคล่วสง่างาม “แต่งงานกับข้า เป็นสวามีข้าซะ!”
เซียวจี่ “…”
เซียวจี่มองนาง ก่อนชี้ที่ศีรษะตัวเอง “ตรงนี้ของเจ้าไม่มีปัญหากระมัง ข้าสังหารชาวตงอี๋ไปมากมายเพียงนั้น นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะยังคิดแต่งงานกับข้าอีก เจ้าไม่กลัวหักหลังตงอี๋หรือ”
เทพธิดาเชิดคางขึ้น เอ่ยอย่างสูงส่ง “เจ้ามาสวามิภักดิ์กับข้า วันหน้าก็จะเป็นทหารกล้าของตงอี๋ของข้า เจ้าจะต้องสังหารทหารแคว้นเจาเพื่อตงอี๋ให้มากขึ้น ใช้ความดีความชอบชดใช้ความผิด!”
นี่เป็นสิ่งที่ตลกที่สุดที่เซียวจี่เคยได้ยินมาเลย
เขาหัวเราะเย้ยหยัน “หากข้าไม่ตกลงเล่า เจ้าจะฆ่าข้า หรือว่าฆ่าน้องชายกับลูกชายข้าเล่า”
เทพธิดาแววตาราบเรียบมองเขา “ไม่ ข้าจะฆ่าผู้ติดตามที่มาด้วยกันกับเจ้าคนนั้น!”
รอยยิ้มเซียวจี่แข็งค้างอยู่บนใบหน้า
เขาหลบตาลงหัวเราะ แววตาเย็นเยียบมองนางพลางเอ่ย “เรื่องพรรค์นี้คงต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่ายก่อนกระมัง ข้าไม่อยากแต่งกับเจ้า ต่อให้แต่งกับเจ้าไปแล้ว ก็ยังจะทิ้งเจ้าอยู่ดี”
เทพธิดายิ้มจางๆ “ไม่ เจ้าไม่มีทางทำ”
เซียวจี่หรี่ตาลงเล็กน้อย
ครู่ต่อมา เขาก็เห็นเทพธิดาหันไปกดกลไกบนผนัง ชั้นวางตำราที่อยู่ด้านข้างเคลื่อนไปอีกด้านหนึ่งดังครืนๆ เผยให้เห็นห้องลับดำมืดห้องหนึ่ง
ยามนี้เซียวจี่ออกแรงมากนักไม่ได้ จึงไม่อาจลอบโจมตีได้เลย
เนื่องจากเทพธิดารู้อาการของเขาดี จึงได้วางใจและไม่ระมัดระวังเขา
นางเข้าไปในห้องลับ ตอนออกมามีลูกกลอนสีขาวเม็ดหนึ่งเพิ่มขึ้นในมือ
นางถือยาลูกกลอนมาหยุดตรงหน้าเซียวจี่ ค่อยๆ โน้มตัวลง ปลายนิ้วขาวดุจต้นหอมเชยคางเซียวจี่ขึ้น “กินมันลงไป ทีนี้เจ้าก็จะทุ่มเทให้ข้าอย่างเต็มที่แล้ว”
เซียวจี่มองยาลูกกลอนสีขาวผ่อง พลันมีความคิดวาบผ่านขึ้นในหัว
เจ้าสิ่งนี้คงไม่ใช่ยาแฝดอะไรนั่นที่จิ้งไท่เฟยเคยเอาให้ฮ่องเต้เสวยหรอกกระมัง
เทพธิดาเห็นสีหน้าของเขาทั้งหมด “อ้อ ดูท่าเจ้าจะรู้จักมันนะ เดิมทีนี่เป็นยาลับของตงอี๋ ต่อมาถูกกบฏตงอี๋คนหนึ่งนำไปยังแคว้นเบื้องบน ว่ากันว่า หมอยาจำนวนหนึ่งของแคว้นเยี่ยนก็ทำยานี้ออกมาเช่นกัน แต่ฤทธิ์ยาลูกกลอนพวกนั้นไม่รุนแรงและคงทนเท่าของตำหนักเทพธิดา”
ฤทธิ์ยาเข้มข้นกว่าที่ฮ่องเต้เสวย นี่มันเป็นยาแฝดฤทธิ์รุนแรงอะไรกันนี่
เซียวจี่มุมปากกระตุก เอ่ยนิ่งๆ “หากข้าไม่กินเล่า”
เทพธิดาเอ่ยเสียงเย็น “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า”
เซียวจี่จำได้รางๆ ว่า หลังจากกินยาพรรค์นี้ลงไป ไม่ว่าจะเห็นผู้ใด ก็จะเกิดความรู้สึกดีต่อผู้นั้นด้วย
ตอนนั้นเขาหลับตาอยู่ เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมลืมขึ้น ในหัวคิดถึงแต่ฉินเฟิงหวั่นเต็มไปหมด
นางมีปัญญาก็ปาดหนังตาเขาออกสิ!
ยาเม็ดหนึ่งลงท้องไป ฤทธิ์ยาเข้มข้นจริงดังว่า แต่ไม่กี่ลมหายใจเขาก็เกิดความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมา
จะลืมตาไม่ได้ จะลืมตาไม่ได้เด็ดขาด
เขาพยายามนึกถึงใบหน้าของฉินเฟิงหวั่นอยู่ในหัวเอาไว้ พยายามเบียดเงาของเทพธิดาออกจากสมองตน
ตุ้บ!
เหมือนบางอย่างล้มลง
สติเขาเริ่มเลือนราง ใบหน้าเทพธิดาเร้นสลับกับฉินเฟิงหวั่นไปมาอยู่ในหัวเขา
อย่างไรเสียวันนี้คนที่เจอหน้าเป็นคนสุดท้ายก็คือเทพธิดา อยากจะกำจัดนางออกจากหัวให้สิ้นซากนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
เคราะห์ดีที่เขามีการควบคุมอารมณ์ที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้อยู่
หลังจากใช้เรี่ยวแรงมหาศาล ในที่สุดใบหน้าฉินเฟิงหวั่นก็เริ่มกลบใบหน้าของเทพธิดาไปทีละนิด
ในขณะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงคุ้นหูรางๆ
“เฮ้ย! ตัวใหญ่! เขาเป็นอะไรไป”
จากนั้นครู่ต่อมา เปลือกตาเขาก็ถูกหลงอีใช้ฝ่ามือเลิกขึ้น
นิ้วชี้นิ้วโป้งสองข้างของหลงอีเบิกตาเขากว้างโต
หลงอีเองก็เบิกตาโตเช่นกัน มองเขาตาไม่กะพริบ “จ๊ะเอ๋”
เซวียนผิงโหวใช้ความแข็งแกร่งทางจิตเฮือกสุดท้ายหมดเกลี้ยงแล้ว
ก่อนจะหมดสติไป เขาเห็นใบหน้าของหลงเหมิงเหมิง กัดฟันกรอด
เวรจริงๆ !