[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่ 95 [3] รางวัลและการเพาะปลูก [Part 4]

ตอนที่ 95 [3] รางวัลและการเพาะปลูก [Part 4]

 

“จะว่าไป คุณเคท มีความเข้ากันได้กับเวทมนตร์หรือเปล่าคะ?”
“น่าจะมากกว่าไอริสล่ะมั้งคะ? ยังไงฉันก็เป็นลูกครึ่งแบล็กเอลฟ์นี่นา”
“…ว่าแล้วเชียว เป็นแบบนี้นี่เอง”
“อ๊ะ คุณผู้จัดการ สังเกตด้วยเหรอคะ?”
“ค่ะ สีผิวของคุณที่คล้ำกว่า กับหูที่ออกจะยาวกว่าอยู่นิดหน่อยด้วย ฉันเลยคิดว่า [อาจจะใช่ก็ได้]”

 

ฉันก็สงสัยอยู่นิดหน่อยนะ แต่ก็ลังเลที่จะถามตรงๆ ก็เลยปล่อยเลยตามเลยไปจนถึงตอนนี้

ตอนที่อยู่เมืองหลวง ฉันก็ได้เจอเผ่าพันธุ์อมนุษย์อยู่บ่อยๆ เลยนะ ส่วนตัวแล้ว ฉันก็ไม่ได้มีอคติอะไรกับพวกเขาด้วย แต่ตามหมู่บ้านเล็กๆ ในแถบชนบทแบบนี้ หลายครั้งมันจะต่างออกไป เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงไม่ได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แต่ตัวคุณเคทเองดูจะไม่ได้กังวลอะไรกับเรื่องนี้นะ เพราะเธอพูดออกมาเองแบบสบายๆ เลย

 

“ป- เป็นครั้งแรกของฉันเลยค่ะที่ได้เจอคนจากเผ่าพันธุ์อื่นด้วยน่ะ!”

 

โลเรียจังอุทานออกมาแบบนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจอะไรเลย กลับกัน เธอกลับจ้องคุณเคทแบบตาไม่กระพริบเหมือนกำลังดูอะไรซักอย่าที่หายากมากๆ อยู่ซะมากกว่า

 

“ฉันเป็นแค่ลูกครึ่งเท่านั้นเอง จะเรียกว่าเป็นเผ่าพันธุ์อื่นก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียวนะ… ลักษณะจากทางแบล็กเอลฟ์ไม่ค่อยปรากฎกับรูปร่างภายนอกของฉันเท่าไหร่ด้วย”

 

พอเธอปัดผมขึ้นมาทัดหูเพื่อให้เห็นใบหูชัดๆ มันก็ต่างจากของมนุษย์อยู่นะ แต่ก็เหมือนอย่างสีผิวของเธอนั่นแหละ มันต่างไปแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้หลุดไปจากขอบเขตความหลากหลายที่พบได้ในแต่ละบุคคลขนาดนั้น จริงๆ ผิวของชาวนาชาวไร่ที่ต้องทำงานกลางแจ้งทุกวันยังคล้ำกว่าผิวของคุณเคทด้วยซ้ำไปนะ ถ้าไม่ชี้ให้เห็นก็คงไม่ทันสังเกตหรอก

 

 

“เคทน่ะดูเหมือนพ่อ แต่นิสัยจะเหมือนแม่มากกว่า อ้อ เหตุผลที่เธอเป็นลูกครึ่งก็เพราะแม่เป็นเอลฟ์ด้วยล่ะนะ? ทั้ง 2 ท่านก็ดูดีทั้งหน้าตาทั้งนิสัยใจคอเลยล่ะ”
“ได้ยินเธอพูดถึงพวกท่านแบบนั้นแล้วน่าอายเหมือนกันนะ”

 

เพราะอะไรไม่รู้ คุณไอริสถึงได้ดูภูมิอกภูมิใจนัก ส่วนคุณเคทถึงจะเขินๆ แต่ก็ดูจะดีใจ จากที่แก้มของเธอคลี่ออกนั่นแหละ ดูแล้วคุณเคทน่าจะสนิทกับพ่อแม่ดีเลยล่ะนะ

 

“ว่าแต่ แบล็กเอลฟ์งั้นเหรอคะ เพราะแบบนี้เองสินะคะถึงได้เชี่ยวชาญด้านการยิงธนูขนาดนี้”

 

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเอลฟ์น่ะเชี่ยวชาญด้านการยิงธนูและเวทมนตร์

ในส่วนนี้ จะแบล็กเอลฟ์หรือไวท์เอลฟ์ก็ไม่ต่างกันเลย

จะว่าไป ในอดีตเหมือนแบล็กเอลฟ์จะถูกเรียกว่า [ดาร์กเอลฟ์] นะ

แต่ดูเหมือนจะมีแรงต่อต้านที่เรียกพวกเขาว่าดาร์กเอลฟ์แค่เพราะผิวของพวกเขาคล้ำกว่าแค่นิดๆ หน่อยๆ เขาว่ากันว่า ‘แค่ผิวเข้มกว่านิดหน่อย ถึงกับไปเรียกพวกเขาว่า [ดาร์กเอลฟ์] เลยงั้นเรอะ? แล้วมันควรเหรอที่เรียกเอลฟ์ผิวขาวกว่าว่า [ไลท์เอลฟ์] น่ะ? แบบนี้มันฟังเหมือนแบ่งฝ่ายเป็นดีกับเลวเลยไม่ใช่รึไง?’ หรืออะไรทำนองนี้นี่แหละ

เพราะอย่างนั้น ในอาณาจักรตอนนี้ เวลาจะกล่าวถึงเผ่าพันธุ์นี้ก็จะเรียกรวมว่าเอลฟ์ไปเลยโดยไม่สนใจถึงสีผิว ถ้าจำเป็นต้องแยกเฉพาะเจาะจง ก็จะเรียกว่าแบล็กเอลฟ์หรือไวท์เอลฟ์เอา

ในบางประเทศก็อาจจะยังเรียกว่าดาร์กเอลฟ์อยู่นะ มันไม่ได้จำเป็นว่าคำเรียกแบบนี้จะมีความหมายแฝงไปในทางที่ไม่ดีเสมอไป แต่ในประเทศนี้ที่นำนโยบายด้านการผสานความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์มาใช้ การเรียกพวกเขาว่าดาร์กเอลฟ์ในที่สาธารณะเลยก็อาจทำให้เกิดความไม่พอใจได้เลย เพราะฉะนั้นถึงจำเป็นต้องระมัดระวังการใช้คำพูดให้ดีล่ะนะ

ก็ด้วยปัจจัยแบบนี้เอง โดยทั่วไปแล้ว การเป็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ก็เลยไม่ได้นำไปสู่การแบ่งแยกทางสังคมอะไร แต่ในหมู่บ้านแถบชนบทที่ห่างไกลจากตัวเมืองแบบนี้ แค่การเป็นคนนอกก็อาจถูกกีดกันแบ่งแยกเลย ไม่ว่าจากเป็นเผ่าพันธุ์อะไรก็ตาม ก็นะ ด้วยเรื่องความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ผู้คนในแถบชนบทจะไม่ได้เห็นเผ่าพันธุ์อื่นๆ เท่าไหร่มันก็ไม่แปลกหรอก

 

“ไม่ใช่แค่การยิงธนูหรอกค่ะ แต่ฉันก็ได้เรียนเวทมนตร์มาบ้างเหมือนกัน เพียงแต่… แม่สอนคนอื่นได้แย่สุดๆ อย่างน้อยก็ในเรื่องของเวทมนตร์ล่ะนะคะ… แล้วฉันก็ไม่เคยได้เรียนเวทมนตร์จากใครคนอื่นมาก่อนเลย”
“อ่า มันเหมือนการสอนที่อาศัยความรู้สึกมากกว่านี่นะ ฉันเองก็ได้คำแนะนำเกี่ยวกับการยิงธนูมาบ้างเหมือนกันค่ะ ถึงมันจะไม่เหมาะกับฉันเท่าไหร่ ก็เลยยังทำออกมาไม่ดีซักที”

 

คุณไอริสย้อนนึกถึงสมัยก่อน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยแบบ ‘เข้าใจเลยล่ะ’

 

“กับเรื่องการยิงธนู อย่างน้อยก็ยังสามารถสังเกตและทำตามได้ค่ะ แต่กับเวทมนตร์แล้วมันไม่เหมือนกันใช่มั้ยล่ะคะ? แถมยังไม่มีคนอื่นที่ใช้เวทมนตร์ได้ด้วย ถึงท่านจะว่า ‘รู้สึกถึงมันสิ!’ ก็เถอะนะ…”
“แบบนั้นคงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ถึงเรื่องที่จำเป็นต้อง ‘รู้สึกถึง’ พลังเวทให้ได้มันจะจริงก็เถอะ…”

 

เอาเถอะ การที่ [ใช้ได้] กับการ [สอนได้] มันต่างกันโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว

โดยเฉพาะอย่างเวทมนตร์เนี่ย ฉันว่าจำเป็นต้องอาศัยเรื่องของความรู้สึกร่วมด้วยอยู่เยอะเลยล่ะ

ส่วนตรงนี้ วิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุถือเป็นจุดสูงสุดของระบบการศึกษาของประเทศนี้อย่างแท้จริงเลย พวกเขาสอนอย่างเป็นระบบและอาศัยหลักการความเป็นเหตุเป็นผลด้วย

อาจารย์ช่วยเพิ่มทักษะการเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุให้ฉันก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าพื้นฐานก็ได้เหล่าบรรดาคุณครูที่วิทยาลัยช่วยปูให้… ถึงฉันจะไม่ได้รู้จักกับใครเป็นการส่วนตัวก็ตามที แต่ฉันก็ต้องขอบคุณทุกๆ ท่านเลยล่ะนะ

 

“เข้าใจแล้วค่ะ งั้น เดี๋ยวให้คุณเคทมาเรียนการใช้เวทมนตร์พร้อมกับโลเรียจังได้เลยนะคะ คงรับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จแน่นอน แต่ก็มาลองดูกันเถอะค่ะ”
“ได้แน่นอนค่ะ แค่ได้คำแนะนำบ้างก็ช่วยได้มากแล้ว ตามปกติแล้ว การจ้างนักเล่นแร่แปรธาตุมาช่วยสอนแบบนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายขนาดไหนเหรอคะ…”
“อ่า… มันไม่ใช่อะไรที่ฉันจะขอเปล่าๆ สินะคะ เออ… ฉันควรจะจ่ายค่าเรียนเท่าไหร่เหรอคะ? ถ้าหักจากค่าจ้างฉันไปซักครึ่งนึง―――”

 

ฉันรีบโบกมือให้โลเรียจังที่ทำหน้าตากังวล กับเรื่องความสมเหตุสมผลอย่างแปลกๆ ที่เข้ามาในหัวเธอทันทีเลย

 

“ไม่ต้องเลย! ไม่ต้องเลย! แค่สอนนิดๆ หน่อยๆ แบบนี้ ฉันเก็บเงินจากเพื่อนไม่ได้หรอกนะ! มันก็เป็นการขอเปล่าๆ แบบนี้นี่แหละ แต่กลับกัน ฉันคงสัญญาไม่ได้หรอกนะว่า ‘ค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้ไปก็ได้’ ”

 

ก็จริงอยู่นะที่การจ้างให้นักเล่นแร่ธาตุมาเป็นครูสอนพิเศษแบบนี้ต้องใช้เงินจำนวนมากเลย มากขนาดที่คนทั่วๆ ไปหาไม่ได้แน่ แต่ด้วยความสามารถระดับแบบฉันนี่ ยังห่างไกลกับระดับนั้นเยอะ

แน่นอนว่ามันต่างจากอาชีพหลักของฉันคือนักเล่นแร่แปรธาตุพอควรเลย แถมถ้าฉันโดนจับได้ว่าไปเก็บเงินจากการทำอะไรแบบนี้ล่ะก็ อาจารย์คงจะผิดหวังแน่ เผลอๆ อาจจะโมโหฉันด้วยซ้ำไป

 

“ได้เลยค่ะ ไม่มีปัญหา จะแค่ช่วยดูให้คร่าวๆ ระหว่างพักทานอาหารก็ได้”
“อืม มาลองคิดๆ ดูแล้ว แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้นะคะ? การควบคุมเวทมนตร์นั้นต้องอาศัยการฝึกฝนทีละน้อย การทุ่มแรงพยายามลงไปมากเกินไปอาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีก็ได้ แบบนั้นได้หรือเปล่าคะคุณเคท?”
“ค่ะ จะบ่นอะไรล่ะคะในเมื่ออุตส่าห์สอนให้ฟรี―――คือ ฉันก็ได้ฟรีเหมือนกันใช่มั้ยคะ? พวกเราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยคะ คุณผู้จัดการ?”

 

คุณเคทถามแบบนี้พร้อมสีหน้าหวั่นวิตกนิดหน่อย ซึ่งฉันก็ยิ้มตอบพร้อมพยักหน้าให้เป็นการรับรอง

 

“น- นายท่านผู้จัดการ ฉันเองก็ขอรับการสอนด้วยได้หรือเปล่าคะ?”
“ได้สิคะ แน่นอนอยู่แล้ว คุณไอริสเองก็เป็นเพื่อนฉันเหมือนกันนี่คะ!”

 

ไชโย! ยิ่งมากเพื่อน! ยิ่งมากความสนุก! นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องเงินอยู่แล้วล่ะ… ใช่มั้ย?

 

วันต่อมา คุณเอรินเข้ามาหาฉันที่บ้าน แล้วก็โค้งให้สุดตัวตั้งแต่เริ่มเลย

 

“คุณซาราสะ ก่อนอื่น ฉันต้องขอโทษด้วยนะ เราควรจะจัดการเรื่องค่าตอบแทนให้เธอแท้ๆ แต่กลับทำให้เธอต้องลำบากอีก ขอโทษด้วยจริงๆ”
“…อ่า หมายถึงเรื่องยกหน้าดินน่ะเหรอคะ? อันนั้นฉันเป็นคนอาสาทำเองค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก แล้วก็ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดีให้คู่แต่งงานใหม่ไปด้วยในตัวเลย”
“ดีใจนะที่เธอว่ายังงั้น แต่ในเมื่อเราจ่ายค่าตอบแทนให้พวกคุณอังเดรตามที่ตกลงกันแล้ว ก็ต้องจ่ายให้คุณซาราสะด้วยเหมือนกันสิถึงจะถูก”
“รักษามารยาทจังเลยนะค่า ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ… แต่ฉันสงสัยเรื่องสาเหตุมากกว่า ที่คุณเอรินต้องมาจัดการแบ่งเลย…”

 

ถ้าคุณผู้ใหญ่บ้านเป็นคนจัดการล่ะก็ เขาคงจะพูดอะไรอย่าง ‘โฮ่โฮ่โฮ่ สายนิดหน่อยนะ’ ล่ะมั้ง แต่ในส่วนนี้ คุณเอรินจะเข้มงวดกว่ากันเยอะเลย

พอฉันถามสิ่งที่คิดอยู่ออกไป คุณเอรินก็ถอนหายใจออกมาอย่างลำบากใจ

 

“ก็นะ ชาวบ้านที่ยังว่างอยู่มีน้อยกว่าที่ฉันคิดเอาไว้น่ะ… ก็เลยรวมแรงงานคนมาได้ไม่เท่ากับที่วางแผนไว้ คำนวณพลาดไปหน่อย”

 

ตอนนี้มีนักเก็บสะสมอยู่ในหมู่บ้านมากกว่าปีก่อนอีก

ดูแล้วหมู่บ้านกำลังเจอกับการขาดแรงงานคนอย่างคาดไม่ถึงเลย กับชาวบ้านที่ต้องให้การช่วยเหลืออย่างคุณจิสด์ที่เป็นช่างตีเหล็กก็มีงานเพิ่มขึ้น ช่างไม้อย่างคุณเกเบิร์ก หรือคนที่เริ่มทำงานที่เรียวกังควบโรงอาหารของคุณดีรัลก็เหมือนกัน

 

“แบบนี้เอง ฉันก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบกับสถานการณ์ด้วยเหมือนกันส่วนนึงนะคะ”
“ไม่ใช่แค่ส่วนนึงหรอก ทั้งหมดต้องขอบคุณเธอเลยต่างหาก คุณซาราสะ ฉันซาบซึ้งมากเลย… ถึง ดูเหมือนฉันจะทำให้คุณต้องเจอความไม่สะดวกด้วยก็เถอะนะ”
“ฉันได้ฟังสถานการณ์มาจากคุณไมเคิลแล้วค่ะ แล้วก็ได้เห็นความลำบากของเพื่อนบ้านด้วย… ด้วยความสามารถของฉัน ฉันจัดการงานนี้ให้จบได้ง่ายๆ อยู่แล้วน่ะค่ะ”
“ก็แบบนั้นล่ะนะ จะว่าไป ถ้าฉันจ่ายค่าตอบแทนให้ เวลาขยายพื้นที่ไร่ เธอพอจะมาช่วยได้หรือเปล่า?”

 

เห็นคุณเอรินยิ้มถามมาแบบนั้นแล้วก็อดขำไม่ได้เลย เรื่องขอโทษก็ส่วนนั้นนะ แต่นิสัยที่พยายามมองหาประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นี่ สมกับที่เป็นคนรับทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านเลย

 

“ถ้ามีเวลา ฉันก็ไม่ติดขัดอะไรหรอกค่ะ แต่ถึงตอนนั้น ไม่แน่ โลเรียจังอาจจะเรียนการใช้เวทมนตร์ได้แล้วก็ได้นะคะ ใครจะรู้?”

 

ฮุฮุ ฉันหัวเราะคิกคักกับเรื่องนี้ ซึ่งทำเอาคุณเอรินตกใจจนตาโตเลยล่ะ

 

“โลเรียจังน่ะเหรอ? คุณซาราสะ สอนให้โลเรียจังใช้เวทมนตร์เหรอ?”
“เธอสนใจอยากจะลองน่ะค่ะ ถึงเราเพิ่งจะเริ่มกันเอง”
“แบบนี้เอง… ถ้าขอให้โลเรียจังช่วยก็น่าจะง่ายกว่าขอให้นักเล่นแร่แปรธาตุอย่างคุณซาราสะนะ”
“อ่า ถึงจะเป็นโลเรียจัง แต่ก็ขอให้ช่วยจ่ายค่าตอบแทนตามเหมาะสมด้วยนะคะ”

 

ฉันก็เชื่อใจคุณเอรินนะ แต่เตือนไว้ก่อนก็ไม่เสียหายหรอก

ถ้าทำเหมือนกับว่าเธอก็แค่ชาวบ้านดาดดื่นทั่วไป แล้วมาเอาเปรียบแบบนั้นก็น่าสงสารแย่เลย

 

“แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเราไม่ตอบแทนคนมีพรสวรรค์ให้ดี เดี๋ยวพวกเขาก็ได้ออกไปจากหมู่บ้านกันพอดีสิ―แล้ว ฉันสรุปได้เลยสินะว่าเรื่องไร่สมุนไพรน่าจะไปได้สวยเลย คิดว่ายังไงบ้าง?”
“ฉันให้คำแนะนำไปนะคะ แต่ก็รับประกันไม่ได้หรอกค่ะว่าจะสำเร็จด้วยดีหรือเปล่า ความรู้ของฉันมีแค่ในการดูแลการเพาะปลูกเล็กๆ เท่านั้นเอง ในการดูแลไร่ใหญ่ๆ แบบนี้ คงต้องมีการลองผิดลองถูกกันหน่อยค่ะ”

 

ปัญหาอย่างแรกเลยคือ จะปลูกสมุนไพรชนิดไหนดี

สมุนไพรทางการแพทย์นั้นหลากหลายมากๆ มีตั้งแต่พันธุ์ที่ปล่อยทิ้งไว้ไม่ต้องพยายามอะไรก็โตเอาๆ ไปจนถึงพันธุ์ที่โตยาก ต้องให้ความใส่ใจดูแลประคบประหงมมันทุกวัน

ตามปกติแล้ว สมุนไพรแบบแรกก็สามารถพบได้ง่ายๆ ในป่าเลย ทำกำไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก

แบบหลังนี่กลับกันเลย ถ้าเก็บเกี่ยวพวกมันได้ ก็มีศักยภาพที่จะสร้างกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำเลย แต่สมุนไพรพวกนั้นน่ะ จะเมล็ดหรือหน่อต้นกล้าก็แพงทั้งนั้น ความล้มเหลวก็หมายถึงการขาดทุนมหาศาล การทุ่มแรงอุทิศเวลาดูแลแต่ละต้นๆ ในสวนเล็กๆ นี่ยังทำได้นะ แต่ถ้าต้องดูแลทั้งไร่เลยนี่ออกจะลำบากไปหน่อย

อีกอย่าง พวกที่ฉันจะปลูกก็คือกลุ่มสมุนไพรที่ต้องการการดูแลมากๆ ด้วยสิ

เพราะพวกมันหายาก เมื่อเก็บเกี่ยวมาแล้วก็จำเป็นต้องจัดการพวกมันในทันที เลยแทบจะไม่มีสมุนไพรพันธุ์นี้เข้ามาเลย ฉันก็ต้องพยายามหน่อยล่ะนะถึงจะปลูกพวกมันให้ได้

เมื่อตอนที่เฮล เฟลม กริซลีไปพังพวกมันซะเละ ฉันถึงกับน้ำตาเช็ดหัวเข่าจริงๆ เลยล่ะ นี่ถ้าเกิดหนังพวกมันไม่ได้เป็นวัตถุดิบล่ะก็ ฉันคงระบายความโกรธใส่พวกมัน สับมันให้เป็นชิ้นๆ แล้วหว่านมันเป็นปุ๋ยในสวนไปแล้วล่ะ

 

“ถ้ามันออกมาไม่ได้ เราอาจจำเป็นต้องปลูกสมุนไพรกลุ่มที่ราคาถูกและโตง่ายไปก่อนค่ะ แบบนี้สามารถยอมรับได้หรือเปล่าคะ? ถ้าเป็นแบบนั้น เราอาจจะไม่สามารถขยายไร่สมุนไพรให้ใหญ่ขึ้นตามที่วางแผนไว้ได้”

 

ถ้าไปปลูกสมุนไพรที่ราคาถูกอยู่แล้วปริมาณมากๆ ราคารับซื้อของพวกมันก็จะตกลงอีกแน่นอน

 

“ฉันขอฝากให้มือโปรอย่างคุณซาราสะเป็นคนดูแลเลยแล้วกันนะ แต่ถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นจากการที่ไมเคิลเลินเล่อเองหรืออะไรแบบนั้นล่ะก็ ขอให้บอกฉันรู้ด้วยนะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกให้เอง อย่างดีเลยล่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้วกันค่ะ ― ฉันไม่คิดว่าแค่คำพูดอย่างเดียวจะพอหรอกนะคะ”

 

คุณเอรินพูดแบบนั้นพร้อมกับรอยยิ้มและชูมือที่กำแน่นขึ้นมา แต่จะคาดหวังให้คู่ใหม่ปลามันคู่นี้รับมือกับทุกอย่างได้ดีก็ออกจะไม่ยุติธรรมเท่าไหร่หรอกนะ

 

TN: ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r

[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่

[นิยายแปล] ร้านป้ายแดงของสาวนักแปรธาตุมือใหม่

Score 10
Status: Completed
แทบจะเป็นหนทางเลี้ยงชีพทางเดียวเลยที่จะเจริญขึ้นมาได้สำหรับเด็กกำพร้าตัวคนเดียว นั่นคือการเอาหนังสือรับรองการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชาติมาให้ได้! ซาราสะ เด็กสาวที่จบจากวิทยาลัยหลวงฝึกสอนนักเล่นแร่แปรธาตุ สถานที่ที่ไม่ต้องการอะไรอื่นนอกจากความสามารถของผู้เรียน ได้รับการเสนอร้านแห่งนึงมาจากอาจารย์ของเธอ เธอเริ่มออกเดินทางภายใต้การมองส่งของอาจารย์ผู้ใจกว้าง เฝ้าฝันถึงชีวิตที่สวยงามกว่าทั่วๆ ไปในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ แต่ว่า ในสถานที่แบบนี้ ถ้าเธอไม่เปิดร้านล่ะก็ ชีวิตแบบนั้นก็ไม่มีวันมาถึงแน่―― เธอที่รายล้อมด้วยพนักงานทำงานพิเศษที่น่ารัก กับชาวบ้านที่เป็นมิตร เป้าหมายอยู่ที่การเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุของประเทศอย่างเต็มตัวให้ได้! ชีวิตทำงานอันสโลว์ไลฟ์เริ่มเปิดให้บริการแล้ว! (เรื่องนี้แปลจากฉบับ LN ภาษาญี่ปุ่น)

Options

not work with dark mode
Reset