ตอนที่ 2 จะให้ใช้มือถือแบบเก่ามันก็…
‘ขอโทษนะครับ คุณครู ดูเหมือนว่าผมจะเป็นหวัดครับ’
เหตุการณ์ผิดปกตินี้มันยากที่จะยอมรับได้ในทันที ดังนั้นผมจึงตัดสินใจหยุดเรียนไปก่อนในวันนี้
ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมจะได้มาโกหกขาดเรียนในวัยนี้อีกครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นการโทรศัพท์แจ้งครูประจำชั้นของโรงเรียนมัธยมด้วยโทรศัพท์มือถือพับ ผมก็หายใจลึก ๆ อย่างช้า ๆ
“เอาล่ะ ใจเย็นลงได้บ้างแล้ว”
ไม่สิ ที่จริงก็ยังไม่ได้สงบใจเลย มือของผมยังคงสั่นอยู่ และหัวใจยังเต้นแรงพร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ที่ยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าผมไม่บอกตัวเองให้ใจเย็น ผมคงทนไม่ไหวแน่
อันดับแรกเลย ผมต้องจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ตอนนี้คือวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 2008
ในห้องของผมมีสิ่งต่าง ๆ อย่างเครื่อง PSP ที่มีเกม Monster Hunter อยู่ในเครื่อง, โทรทัศน์จอแก้วแบบยังไม่ได้รองรับระบบดิจิตอล, ใต้โทรทัศน์มีเครื่องเล่น VHS และ PlayStation 2 รุ่นบาง
แกร่ก แกร่ก แกร่ก
กระเป๋าเงินแบบติดแถบตีนตุ๊กแกซึ่งดูเชยมากมีเงินอยู่เพียง 6,000 เยน และมีธนบัตร 2,000 เยนซึ่งหายากปะปนอยู่ด้วย 1 ใบ
ไม่มีสิ่งใดที่ดูเหมือนเครื่องไทม์แมชชีน หรือสิ่งที่สามารถพาผมย้อนเวลาได้เลย เอาจริง ๆ นะ การที่ตัวผมอ่อนเยาว์ลงแบบนี้ มันคงไม่ใช่การเดินทางข้ามเวลา แต่เป็นการย้อนเวลากลับไปในตัวของผมเอง หรือที่เรียกว่า “ไทม์ลูป”
จากนั้น ผมก็เริ่มค้นหาวิธีที่จะกลับไปยังช่วงเวลาที่ผมจากมา
ลองนอนต่อดูอีกครั้ง
ลองเล่นเกมออนไลน์ที่เคยปิดให้บริการไปแล้วและยังติดอยู่ในความทรงจำ
ลองจับโทรศัพท์มือถือพับไว้แล้วตะโกนว่า ‘เวลาเอ๋ย จงกลับมา!’
แต่ไม่มีสิ่งใดได้ผลเลย เมื่อรู้ตัวอีกที เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงตอนเย็นแล้ว
[“เป็นหวัดเหรอ? หายไว ๆ นะ ( ゚Д゚)”]
เพื่อนในชั้นมัธยมต้นของผมที่ชื่อทามุระส่งอีเมลมาหาผม พอผมตอบกลับไปว่า ‘มันเป็นอะไรร้ายแรงยิ่งกว่าหวัด’ เขาก็ตอบกลับมาด้วยความห่วงใยว่า ‘หรือว่าเป็นไข้หวัดใหญ่?’
คิดดูแล้ว หลังจากที่ขึ้นมัธยมปลายเราก็แยกย้ายกันไป และไม่ได้เจอกันอีก ความคิดถึงผสมผสานกับความเหงาเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของผม
“…ลองออกไปเดินเล่นดูหน่อยดีกว่า”
ผมนั่งอยู่ในห้องแบบนี้ก็คงคิดหาวิธีแก้ไขอะไรไม่ออกอยู่ดี อีกอย่าง ผมก็เริ่มรู้สึกซึมเศร้าขึ้นมานิด ๆ แล้ว
ผมจึงใส่โค้ทแล้วออกจากบ้านไป
ภาพในปี 2008 ไม่ได้แตกต่างจากปัจจุบันมากนัก แต่มีสองสิ่งที่ต่างกันอย่างชัดเจน
สิ่งแรกคือ คนที่ใส่หน้ากากมีจำนวนน้อยมาก เพราะในยุคนั้นยังไม่มีการระบาดของโควิด-19
สิ่งที่สองคือ ไม่มีใครเดินไปพร้อมกับดูสมาร์ทโฟน ทุกคนใช้แต่โทรศัพท์มือถือพับกันแทน
ถึงแม้ว่าสมาร์ทโฟนจะเริ่มวางขายแล้ว แต่ในญี่ปุ่นยังไม่แพร่หลายมากนักในช่วงเวลานั้น
“นี่เราย้อนเวลากลับมาจริง ๆ สินะ”
หลังจากเดินไปประมาณ 30 นาที ผมก็มาหยุดอยู่ที่สะพานที่เชื่อมต่อไปยังเมืองข้าง ๆ
ผมวางแขนพิงกับราวสะพานแล้วมองลงไปที่แม่น้ำ ลมหนาวพัดมาวูบใหญ่ ทำให้รู้สึกเย็นไปถึงกระดูก
“……”
บางที ผมอาจจะไม่ได้กลับไปยังยุคปัจจุบันอีกแล้วก็ได้
เมื่อมองเงาของตัวเองในผิวน้ำ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม
“…พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ยังไม่ได้ลองวิธีนี้เลยนี่นา…”
ผมปีนขึ้นไปบนราวสะพานแล้วมองลงไปที่แม่น้ำ ด้านล่างมีน้ำขุ่น ๆ จากฝนที่เพิ่งตกเมื่อคืน และกระแสน้ำที่ดูเชี่ยวขึ้นเล็กน้อย
การเดินทางข้ามเวลาโดยการเผชิญหน้ากับความตาย มันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ในเรื่องเล่า
ถ้าผมกระโดดลงไปจากตรงนี้ บางทีผมอาจจะกลับไปยังอนาคตได้ก็ได้?
อย่างเช่นในเรื่อง สาวน้อยผู้กระโดดข้ามเวลา ที่ตัวละครใช้การกระโดดหรือกระโจนลงน้ำเพื่อเดินทางข้ามเวลา
“…ไร้สาระน่า”
มันช่างโง่เง่า ถ้าผมตายจริง ๆ จะทำยังไง?
ตอนนี้ตัวผมเองก็หนาวจนทนไม่ไหวแล้ว กลับไปบ้านแล้วลองหาวิธีอื่นน่าจะดีกว่า
แต่ในตอนที่ผมกำลังจะปีนลงจากราวสะพานนั้นเอง…
“กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง เสียงนั้นฟังดูอ่อนเยาว์กว่าที่ผมจำได้เล็กน้อย
เมื่อหันกลับไป ผมก็พบกับเด็กสาวมัธยมต้นคนหนึ่ง
เธอมีผมสีเงินยาวปานกลางที่ติดกิ๊บสีฟ้า
ตัวเล็ก ผอมบาง หน้าอกก็ดูเรียบแบน
เธอสวมชุดนักเรียนเบลเซอร์พร้อมกระเป๋านักเรียนใบใหญ่สะพายอยู่ที่หลัง
ผมไม่เคยเห็นเธอมาก่อน แต่เสียงและสีหน้าของเธอบอกให้ผมรู้ว่า เธอคือคนที่ผมคิดถึง
“… ยูกิ?”
เด็กสาวมัธยมต้นที่อยู่ตรงหน้าคือภรรยาของผมในอนาคต