ร่างของจงซือหยากลายเป็นหมอกสีขาวและหนีจากมือของจิ่วเย่ว
หลังจากนั้น ทั้งสองก็ใช้ร่างความกลัว มนุษย์ทั่วไปไม่สามารถมองเห็นร่างของพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้ว่าการต่อสู้เป็นยังไงต่อ
อย่างไรก็ตาม จากการต่อสู้ช่วงสั้นๆ ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ายาเสียเปรียบ พลังมิติของจิ่วเย่วทำให้คนมากมายใจสั่น
นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตต่างมิติที่เข้าสิงร่างจิวเย่วยังมีออร่าที่ทรงพลัง มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่าจงซือหยาไม่ได้แข็งแกร่ง ราวกับเด็กต่อสู้กับผู้ให่
โจวเหวินเดินออกจากทะเลทรายและมาถึงเมืองที่ถูกทิ้งร้าง เมื่อเขาผ่านลูกบาศก์ เขาบังเอิเห็นฉากนี้และหยุดดูการต่อสู้
คนอื่นมองไม่เห็นการต่อสู้ระดับความหวาดกลัว แต่เมื่อกงล้อแห่งโชคชะตาของโจวเหวินทำงาน เขาก็มองเห็นได้ชัดเจนในทันที
โจวเหวินค่อนข้างกังวล สถานการณ์ของจงซือหยาไม่ดีนัก
เนื่องจากความสามารถของพลังต่างกัน จึงไม่มีการได้เปรียบหรือเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ระดับของจิ่วเย่วดูเหมือนจะอยู่แค่ระดับความกลัว
แต่การใช้พลังมิติและความเข้าใจได้มาถึงระดับที่น่ากลัวมาก มันเป็นไปไม่ได้ที่จิ่วเย่วตัวจริงสามารถเทียบได้ แม้แต่จงซือหยาก็ด้อยกว่ามาก
พวกที่มาจากต่างมิตินั้นไร้ยางอายจริงๆ พวกมันปล่อยให้สิ่งมีชีวิตระดับภัยพิบัติควบคุมร่างกายและใช้พลังของจิ่วเย่ว แม้ว่าระดับจะเท่ากัน แต่การใช้พลังและเทคนิคของมันนั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่ามาก ผู้พิทักษ์ที่จงซือหยาหลอมรวมมีพลังมิติ คู่ต่อสู้ของเขาก็พลังมิติเหมือนกัน แต่ความเข้าใจของคู่ต่อสู้นั้นลึกซึ้งกว่าของเขา คู่ต่อสู้ของเขารู้ความสามารถที่หลากหลายของจงซือหยาและรู้วิธีจัดการกับเขา แต่จงซือหยารู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับความสามารถของจิ่วเย่ว ความแตกต่างของข้อมูลจะส่งผลให้เสียเปรียบอย่างมาก โจวเหวินสามารถบอกได้ว่าจงซือหยาตกอยู่ในความลำบาก
นอกจากนี้ การต่อสู้ครั้งก่อนของจงซือหยาได้เปิดเผยความสามารถของเขามากเกินไป ทำให้คู่ต่อสู้ของเขาเข้าใจเขามากขึ้น
ทุกย่างก้าวของจงซือหยาดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การคาดการของจิ่วเย่ว การต่อสู้นั้นลำบากและอาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขาเพิ่มขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะเทคนิคการหลบหนีและความสามารถหุ่นเชิดที่หลากหลาย เขาคงถูกจิ่วเย่ว่าไปนานแล้ว
สุดท้าย เทคนิคการหลบหนีก็มีขีดจำกัด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีหุ่นเชิดจะไม่มีวันหมด โจวเหวินสามารถบอกได้ว่าสถานการณ์ของจงซือหยานั้นแย่มาก
ขณะที่จงซือหยาหลบหนี เขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักอีกครั้ง พลังอวกาศที่น่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าใส่ร่างกายของเขา
ตูม!
ร่างกายของจงซือหยากระแทกเข้ากับสนามประลองและไม่สามารถใช้ร่างความกลัวได้อีกต่อไป เสื้อคลุมสีขาวของเขาถูกย้อมด้วยเลือด บาดแผลบนหน้าอกของเขาสร้างรูตรงอกของเขา
เขาจับด้ามดาบด้วยมือที่เปื้อนเลือดและพยุงร่างกายของเขาไว้ เขาแทบจะยืนไม่ไหว บาดแผลของเขายังคงมีเลือดออกมา ดูเหมือนเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย
“นี่มันไม่ยุติธรรม!” เด็กสาวกำหมัดแน่นและตะโกนอย่างโกรธจัด
มีหลายคนที่มีความคิดแบบเดียวกับเธอ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันไม่ยุติธรรม แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ในโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม
จิ่วเย่วยังอยู่ในร่างความกลัวของเขา เขามองไปที่จงซือหยาซึ่งเต็มไปด้วยเลือดและกล่าว “เจ้าโชคดีที่ยังไม่ตายจากการโจมตีครั้งนี้ เจ้าไม่ใช้โอกาสนี้ยอมแพ้ เจ้าต้องการที่จะตายจริงๆ”
จากที่พูด จจิ่วเย่วพร้อมที่จะโจมตีและ่าจงซือหยา
“แกอยู่ระดับภัยพิบัติ?” จงซือหยาถามในขณะที่เขาจับด้ามดาบด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อพยุงร่างกายของเขาไม่ให้ล้ม
“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ได้โง่” จิ่วเย่วตอบ
“ระดับภัยพิบัตินั้นแข็งแกร่งมาก” จงซือหยากล่าว
“นั่นเป็นระดับที่มนุษย์อย่างเจ้าคาดไม่ถึง นอกจากนี้ยังเป็นพลังที่เจ้าไม่เข้าใจ ในสายตาของข้า เจ้าก็ไม่ต่างจากมด ดังนั้นอย่าพยายามเป็นศัตรูกับข้า เพราะนั่นจะนำความหายนะมาสู่มนุษย์” จิ่วเย่วกล่าวตามความเป็นจริง
“น่าเสียดาย” จงซือหยากถอนหายใจ
“เสียดายอะไร” จิ่วเยว่ถามด้วยความขมวดคิ้ว
“น่าเสียดายที่แกทำพลาด” จงซือหยากล่าว
“พลาด? พลาดอะไร” จิ่วเย่วมองไปที่จงซือหยาด้วยความสนใจ สำหรับเขาคำพูดของจงซือหยาเป็นเหมือนเรื่องตลก
“แกไม่ควรมาที่นี่” จงซือหยากล่าวอย่างจริงจัง
“ทำไมข้าไม่ควรมาที่นี่” จิ่วเย่วถามต่อ
“การ่าแกตอนนี้มันไม่ได้อะไร ฉันต้องการ่าแกระดับภัยพิบัติ เพราะฉะนั้น แกไม่ควรมาที่นี่” จงซือหบายังคงจริงจังมาก ไม่ได้แสดงอาการล้อเล่น
ทว่าจิ่วเย่วหัวเราะราวกับว่าเขาได้ยินเรื่องตลกที่ตลกมาก “เจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาส่าข้าเพียงเพราะเราทั้งคู่อยู่ในระดับความกลัวง้นหรือ? เจ้าต้องโง่ขนาดไหนถึงมีความคิดแบบนี้? แม้ว่าระดับของเราจะเท่ากัน แต่พลังและความเข้าใจของเรานั้นต่างกัน พลังในการต่อสู้ที่แท้จริงของข้านั้นอยู่คนละโลก ข้าเพียงแค่ต้องขยับนิ้วเพื่อ่าเจ้า มันไม่มีประโยชน์แม้ว่าเจ้าจะทำลายตัวเอง เจ้าไม่สามารถทำร้ายข้าได้”
จิ่วเย่วพูดแสดงความดูถูก แต่ไม่มีใครสามารถหักล้างสิ่งที่เขาพูดได้ ยาถูกมองว่าเกือบจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ แต่ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่สิงร่างจิ่วเย่ว เขาถูกกดดันจนไม่แม้แต่จะโต้กลับได้
ทุกคนเงียบไป พวกเขาไม่สามารถระบายความโกรธ
ยาเป็นคนที่ถูกดูถูกบนสนามประลอง แต่คำพูดดูถูกของจิ่วเยว่นั้นรวมถึงมนุษย์ทุกคน
ถึงอย่างนั้น จงซือหยาไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร เขามองไปที่จิ่วเย่วและพูด “ถูกต้อง ระดับของแกนั้นสูงมาก ความเข้าใจในพลังและกของแกนั้นเหนือกว่าฉันมาก น่าเสียดายที่แกไม่เข้าใจมนุษย์”
“ทำไมข้าต้องเข้าใจมนุษย์” จิ่วเย่วไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกับจงซือหยาอีกต่อไป เขายกมือขึ้นและคว้าเขาไว้ ช่องว่างระหว่างทั้งสองหายไปอย่างไร้ร่องรอย จงซือหยาปรากฏตัวต่อหน้าเขาราวกับว่าเขาได้ยื่นคอของเขาไปที่มือ
จงซือหยาซึ่งถูกจิ่วเย่วจับที่คอ ดวงตาของเขาเริ่มมีสีแดง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่เขาพูดต่อ “ถ้าแกเข้าใจมนุษย์ แกควรรู้ว่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทำชอบผิดพลาดและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คนอย่างแกที่มีอายุขัยเป็นหมื่นปีและยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้เรื่อยๆ ไม่มีทางเข้าใจว่ามนุษย์เรียนรู้ได้รวดเร็วขนาดไหนเนื่องจากอายุขัยของพวกเขามีแค่ไม่กี่ร้อยปี”
เมื่อพูดแบบนั้น ออร่าของจงซือหยาก็เปลี่ยนไปพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวปะทุราวกับภูเขาไฟ ผลักมือของจิ่วเย่วออกไป
“ไม่เหมือนแก ฉันไม่ได้เกิดเมื่อหมื่นปีก่อน แต่หมื่นปีต่อมา ฉันจะเหมือนยักษ์เมื่อยืนต่อหน้าแก” ออร่าของจงซือหยาน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เขาได้ใช้ร่างความกลัวและหายตัวไปจากสายตาของทุกคน อย่างไรก็ตาม เสียงที่บ้าคลั่งของเขายังคงก้องกังวาน
“แกใช้เวลาเป็นหมื่นปีเพื่อเข้าสู่ระดับนี้ จริงๆแล้วแกก็แค่คนโง่ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นาน”