บทที่ 974 หึงหวง (ฉบับเซียวจี่ vs ซิ่นหยาง)
……….
องค์หญิงซิ่นหยางรู้สึกอับอาย
นางนึกไม่ถึงจะได้พบกับเซียวจี่ในโอกาสเช่นนี้ เมื่อครู่นางพูดอะไรออกไปบ้าง ชายผู้นี้ได้ยินหรือไม่
องค์หญิงซิ่นหยางผู้สงบนิ่งกลับมีความคิดที่สับสนขึ้นมาในทันใด และยืนตะลึงงันอยู่กับที่ราวกับนกยูงที่โง่เขลา
อวี้จิ่นรับใช้องค์หญิงของตนมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางยืนเหม่อเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิง แม้แต่ตัวนางเองก็ตกใจแทบเสียสติ
ท่านโหวไม่ควรอยู่ที่ค่ายทหารหรอกหรือ
เหตุใดถึงปรากฏตัวที่หอพักม้าของตำบลลี่ได้
หรือว่า…
อวี้จิ่นเหลือบมององค์หญิงน้อยตัวร้าย หัวใจก็เต้นรัว
หากท่านโหวมาพบองค์หญิงน้อยผู้นี้ วันนี้สองสามีภรรยาคงแตกขาดเป็นแน่!
องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ก็มองตามองค์หญิงซิ่นหยางและสังเกตเห็นคนเดินมา นางรู้สึกมั่นใจในทันที ลุกขึ้นยืนจากพื้น ปัดหิมะบนร่ากายง และวิ่งไปหาเซียวจี่ราวกับนกนางแอ่นที่เบาหวิว
ทันใดนั้น องค์หญิงซิ่นหยางได้สติอีกครั้ง ขมวดคิ้วและมองนางเดินมาอยู่ข้างกายเซียวจี่ คว้าแขนของเซียวจี่อย่างสนิทสนม เอ่ยเสียงเย็นชาใส่นาง!
องค์หญิงซิ่นหยางที่ถูกยั่วยุแทบระเบิดอารมณ์ออกมา!
ทว่าสติสัมปชัญญะบอกกับนางว่าในฐานะองค์หญิง นางมีความสง่างามและศักดิ์ศรีของตนเอง ไม่จำเป็นต้องชิงรักหักสวาทกับหญิงอื่น
แต่ฉากนี้ช่างน่าเจ็บปวดใจชะมัด
นางไม่ได้ชิงรักหักสวาท แต่ความน่าเกรงขามองนางในฐานะองค์หญิงถูกท้าทาย!
ถูกต้อง เป็นเช่นนี้แหละ!
บุตรีของกลุ่มคนป่าเถื่อนเล็กๆ กล้าบังอาจมาวางอำนาจในดินแดนของแคว้นเจา จะมากเกินไปเสียแล้ว!
เมื่ออวี้จิ่นเห็นฉากนี้ ดวงตาก็เบิกกว้างอย่างรวดเร็ว
ท่านโหว เจ้าอยากตายใช่หรือไม่
เจ้าปล่อยให้ผู้หญิงนางหนึ่งจับแขนเจ้าต่อหน้าองค์หญิงอย่างนั้นหรือ
องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋จับแขนของเซียวจี่ โดยไม่ยอมปล่อย และชี้นิ้วไปที่องค์หญิงซิ่นหยาง และฟ้องด้วยเสียงออดอ้อน “เจ้ามาได้เวลาพอดี นางรังแกข้า!”
เซียวจี่ที่หายจากอาการตกตะลึง ใบหน้าหล่อเหลากลับสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง
เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเห็นแล้ว”
องค์หญิงตัวน้อยแห่งตงอี๋ที่ยินดีปรีดามององค์หญิงซิ่นหยางด้วยใบหน้าทะเล้น แล้วฟ้องเซียวจี่ต่อ “นอกจากนี้ นางยังกล้าโกหกว่านางเป็นองค์หญิงแห่งเมืองหลวง! เป็นภรรยาของเจ้า! เจ้าว่าน่าขันหรือไม่”
นางเอ่ยพลางดึงมือที่เกาะแขนเสี่ยวจีกลับ แล้วยืนเท้าเอวเอ่ยกับองค์หญิงซิ่นหยาง “เจ้าของตัวจริงมาแล้ว ดูซิว่าจะโกหกอย่างไรต่อ!”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่อยากเห็นหน้าคนทั้งสองแล้ว จึงเบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา
เซียวจี่เหลือบมองนางด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม สายตาราวกับทะลุผ้าคลุมอันบอบบางและตกลงบนใบหน้าของนาง แต่กลับเอ่ยกับองค์หญิงตัวน้อยแห่งตงอี๋ “นางไม่ได้โกหก นางเป็น… ภรรยาแต่งของข้าจริงๆ ”
คำพูดท่อนสุดท้ายทำให้องค์หญิงซิ่นหยางถึงกับกำหมัด ความอับอายที่ถูกกดด้วยความโกรธกริ้วในที่สุดก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ไอ้หมอนี่…ได้ยินมากแค่ไหนกันนะ
นางไม่ได้หมายถึงเช่นนั้นสักหน่อย!
นาง…
“นาง…นาง…นางเป็น…จริงๆ แต่ว่า…” องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋มององค์หญิงซิ่นหยางด้วยความไม่เชื่อ แล้วหันมองเซียวจี่ “นางมิใช่องค์หญิงแห่งเมืองหลวงหรอกหรือ เหตุใดถึงมาทางตะวันออกได้”
ดูสิ ไม่มีใครบนโลกที่เชื่อว่าองค์หญิงซิ่นหยางกับเซียวจี่มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาแม้แต่น้อย
แม้นางจะเดินทางหลายพันลี้เพื่อตามหาสามีถึงที่นี่ ในสายตาคนนอก ล้วนคิดว่านางมีเป้าหมายอื่น
องค์หญิงตัวน้อยแห่งตงอี๋ดึงแขนเสื้อของเซียวจี่และเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้แห่งแคว้นเจา…ส่งนางมาติดตามเจ้าใช่หรือไม่”
นางไม่ได้หูหนวก!
เซียวจี่ยิ้ม “เจ้าขึ้นรถม้าก่อน”
องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋มององค์หญิงซิ่นหยาง เปล่งเสียงเย็นชา แล้วหันหลังจากไป
เซียวจี่กำชับนางด้วยความหมายลึกซึ้งทันที “อย่าหยิ่งผยองให้มาก เป็นเด็กไม่ได้พิเศษอะไร”
องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซียวจี่จึงเอ่ยวาจาเช่นเดียวกับหญิงสาวผู้นั้น!
องค์หญิงซิ่นหยางยิ่งรู้สึกอับอาย เสียดายที่เอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา!
“อวี้จิ่น พวกเราไปกันเถิด!” นางชักสีหน้าโดยไม่มองเซียวจี่และเดินผ่านเขาไป
ทว่าไม่มีใครรู้ว่าช่วงเวลาที่นางเดินผ่านเขา จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกเต้นรัวอย่างแปลกประหลาด
อาจเป็นเพราะนางกลัวว่าเขาจะคว้ามือนางไว้และเอ่ยคำพูดที่ไม่ไว้หน้าตน
ผลลัพธ์คือไม่
เขาประพฤติตัวดีมาก
องค์หญิงซิ่นหยางบีบผ้าเช็ดหน้า เดินออกหอพักม้าโดยไม่หันกลับ
เซียวจี่ก็เดินออกมา ทั้งสองยืนอยู่หน้าประตูหอพักม้า ตรงกลางคั่นด้วยหนึ่งคันรถม้า
องค์หญิงซิ่นหยางมองตรงไปข้างหน้า
เซียวจี่สองมือล้วงอยู่ในกระบอกมืออุ่นขนสุนัขจิ้งจอก รูปร่างสูงใหญ่ ยืนตัวตรงสง่า ราวกับต้นสนและต้นไผ่
ตราบใดที่ชายผู้นี้ปิดปากเงียบ เขาจะเป็นชายหนุ่มผู้สง่างามและมีเสน่ห์ชวนหลงใหลที่สุดในแคว้นเจา
เขาหันมององค์หญิงซิ่นหยาง ยิ้มจางๆ พลางเอ่ย “ขึ้นรถ”
องค์หญิงซิ่นหยางยังคงไม่มองเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้ามีรถม้าของตัวเอง”
เซียวจี่เหลือบมองรถม้าของนางและเอ่ย “เจ้าแน่ใจหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้วด้วยความสับสน หันมองรถม้าของนาง แล้วเห็นฉากตรงหน้าจนแทบกระอักเลือด!
ดินสอถ่านของหลงอีกลิ้งอยู่ใต้วงล้อ เพื่อที่จะนำดินสอถ่านออกมา หลงอีจึงถอดล้อรถออก…
เซียวจี่เอ่ยเสียงราบเรียบ “หรือเจ้าจะขึ้นรถม้าของฉังจิ่งก็ได้นะ”
บังเอิญว่าในเวลานี้ ฉังจิ่งกำลังขับรถม้าอันองอาจมา
องค์หญิงซิ่นหยางขึ้นรถม้าโดยไม่พูดไม่จา
ทันทีที่นางนั่งลง ม่านรถม้าก็เปิดออก นางคิดว่าเป็นอวี้จิ่น แต่เมื่อนางมองใกล้ๆ กลับกลายเป็นเซียวจี่!
องค์หญิงซิ่นหยางสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้ามิใช่มีรถม้าของตัวเองหรอกหรือ”
ริมฝีปากของเซียวจี่โค้งขึ้น “นี่คือรถม้าของข้า”
องค์หญิงซิ่นหยางตอบกลับอย่างเย็นชา “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเป็นของฉังจิ่ง!”
เซียวจี่นั่งลงข้างนาง ปัดฝุ่นบนชายเสื้ออย่างเกียจคร้าน พลางเอ่ย “ก็เป็นของข้าด้วย”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่อยากสนใจเขาอีกแล้ว!
ผู้คนในหอพักม้าคุ้นเคยกับการปรับตัวไปตามสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงจริงๆ หรือไม่ แต่หากสามารถนั่งรถม้าคันเดียวกันกับเซวียนผิงโหว จึงล่วงเกินมิได้
พวกเขารีบเตรียมรถม้าคันใหม่ให้กับอวี้จิ่น
หลงอีไม่ต้องการรถม้า เขาปีนข้ามกำแพง
ไม่ว่ารถม้าของชายแดนจะดูองอาจเพียงใด ก็ทำให้ตัวม้ายิ่งดูน่าเกรงขามเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าภายในจะหรูหรา
รถม้าไม่มีแม้กระทั่งเตาถ่าน ลมหนาวพัดผ่านช่องหน้าต่างที่ปิดไม่สนิท มือและเท้าขององค์หญิงซิ่นหยางเย็นเยือก และยกมือรัดชุดคลุมให้แน่น
เซียวจี่ยื่นกระบอกมืออุ่นร้อนๆ ให้กับนาง
“ไม่เอา” นางเอ่ย
เซียวจี่ดึงกระบอกมืออุ่นกลับด้วยสีหน้านิ่งเฉย ราวกับว่าการเฉยเมยและการปฏิเสธของนางเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
รถม้าเงียบสงบลง
“ค่ายทหาร” เซียวจี่ตอบ
“ข้าจะกลับเมืองหลวง” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยเสียงราบเรียบ
เซียวจี่เอนตัวพิงหน้าต่างด้านหลังอย่างสบายๆ มองนางด้วยความขำขันและเอ่ยอย่างเย้าแย่ “เป็นอะไร น้อยใจหรือ เมื่อครู่มิใช่วางอำนาจรังแกคนอื่นหรือหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางจ้องเขาตาเขม็งอย่างเย็นชา
เซียวจี่หรี่ตาลง “ฉินเฟิงหวั่น พฤติกรรมของเจ้าในยามนี้ เข้าใจได้ว่า…เจ้าหึงหวงได้หรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางโต้กลับโดยไม่คิด “ไม่ได้! ใครจะหึงหวงเจ้ากัน ข้างนอกเจ้าจะแต่งงานกับใคร มีเรื่องกับใคร เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า!”
เซียวจี่เลิกคิ้ว “อ้อ”
องค์หญิงซิ่นหยางหันมองด้วยสีหน้าเย็นชา
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นิ่งเงียบไป รถม้าก็เงียบสงัดจนเหลือเพียงเสียงลมหนาวที่แผดร้องกังวาล
เซียวจี่ผอมกว่ายามที่อยู่ในเมืองหลวง ริมฝีปากก็ซีดลงไม่น้อย
ฎีกาที่ส่งกลับเมืองหลวงไม่ได้กล่าวถึงความยากลำบากของสงครามครั้งนี้ แต่ยามนี้เมื่อมาถึงขั้นตอนเจรจา องค์หญิงซิ่นหยางก็เข้าใจดีว่าทหารชายแดนต้องเผชิญกับความสูญเสียและไฟที่โหดร้ายเพียงใด
เซียวจี่…ได้รับบาดเจ็บแล้วละสิ
เมื่อพวกเขาเดินทางถึงครึ่งทาง หิมะก็เริ่มโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า องค์หญิงซิ่นหยางเป็นห่วงอวี้จิ่น จึงยกม่านมองไปด้านหลัง นางไม่ได้เห็นเพียงรถม้าของอวี้จิ่น แต่ยังเห็นรถม้าขององค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ด้วย
คำพูดที่ผุดมาถึงริมฝีปาก “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ถูกกลืนกลับไป
หิมะตกหนักทำให้การเดินทางช้าลง เดินทางเพียงชั่วยามก็มืดค่ำแล้ว
ขบวนรถมาหยุดที่ประตูค่ายทหาร
ฉังจิ่งกระโดดลงจากรถม้า “ถึงแล้ว!”
เซียวจี่มององค์หญิงซิ่นหยาง ราวกับรอให้นางลงจากรถก่อน
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ขยับ “เจ้าลงจากรถก่อน”
เซียวจี่เหลือบมองนาง ถอดชุดคลุมออกและคลุมให้นาง
“ข้าไม่…”
ก่อนที่นางจะเอ่ยจบ เซียวจี่โน้มตัว สองมือโอบนาง แล้วอุ้มนางขึ้น
นางเนื้อตัวแข็งทื่อ
เซียวจี่เอ่ย “ฉังจิ่ง ไปเอาน้ำร้อนมาหน่อย”
“อ้อ” ฉังจิ่งเดินไปอย่างเชื่อฟัง
เซียวจี่คลุมนางไว้จนมิดชิดด้วยชุดคลุมของเขา แม้แต่ปลายเท้าก็ยังไม่โผล่ออกมา
แต่ทันทีที่เขาอุ้มนางขึ้นยืน นางเหลือบมองรูโหว่ขนาดใหญ่บนหน้าต่างรถ
เมื่อครู่เขาพิงหน้าต่างรถ เพื่อใช้หลังบังรูโหว่ขนาดใหญ่ไว้ใช่หรือไม่
หลังลงจากรถม้า ลมหนาวพัดโชยเข้ามา เขากดคางลงเพื่อปิดช่องว่างของชุดคลุม และใบหน้าของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยชุดคลุม
นางพิงแนบอกแน่นๆ จนหัวใจรัว เสื้อผ้าของเขาเย็นเฉียบ ลมหายใจของเขาก็ร้อนผ่าว แผ่กระจายผ่านเสื้อผ้าหลายชั้นจนถึงแก้มของนางทีละน้อย
เหล่าทหารในค่ายทหารล้วนตกตะลึงทันทีที่เห็นเซวียนผิงโหวอุ้ม…กลับมา
“ท่านโหวอุ้มใครหรือ องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ใช่หรือไม่”
ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม
ทหารอีกนายหนึ่งเอ่ย “คงใช่แหละ นอกจากนาง ช่วงนี้ไม่มีใครเข้าใกล้ท่านโหวได้เลย”
หัวใจขององค์หญิงซิ่นหยางเต็มไปด้วยความหนาวสั่น นางยกแขนที่เยือกแข็งขึ้น แล้วผลักเขาออก “วางข้าลง!”
เซียวจี่ไม่ได้วางนางลง แต่อุ้มเข้าไปในเรือนพักชั่วคราวของตน
ชายแดนลำบากแสนเข็ญ เรือนที่พักจึงเรียบง่ายกว่าเมืองหลวงมาก เซียวจี่ไม่เคยจุดไฟถ่าน แต่จะเก็บไว้ให้ทหารที่ได้รับบาดเจ็บ
ฉังจิ่งยกน้ำร้อนเข้ามา
“ออกไป” เซียวจี่เอ่ยกับฉังจิ่ง
“อ้อ” ฉังจิ่งลาออกตามคำสั่ง
เซียวจี่วางนางลงบนเตียงของตน คุกเข่าข้างหนึ่งแล้วยกกระโปรงนางขึ้น
นางสีหน้าเปลี่ยน “เสียวจี่ เจ้าจะทำอะไร!”
เซียวจี่รีบถอดรองเท้าและผ้าคลุมเท้าของนางออก พละกำลังของเขาแข็งแกร่งมาก นางก็หนาวเย็นจนสูญเสียการรับรู้และไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน
ทันใดนั้น ความหวาดกลัวชายหนุ่มก็ปะทุขึ้นในใจ ใบหน้าของนางก็ซีดขาวลง
เซียวจี่ยกถังไม้มา พับขากางเกงขึ้นสูง และใช้มือทดสอบอุณหภูมิของน้ำ ถึงวางเท้าสองข้างที่เหน็บชาจากความหนาวเย็นลง
ทำเช่นนี้เสร็จแล้ว เขาเงยหน้าจ้องใบหน้าที่ค่อยๆ มีเลือดฝาดขององค์หญิงซิ่นหยาง สีหน้าดูมีความหมายลึกซึ้ง “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรกับเจ้าหรือ”
องค์หญิงซิ่นหยางหรี่ตาลง “ไม่มีอะไร”
เซวียนผิงโหวยิ้มเยาะ “คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าไม่ใช่ผู้ชายที่ครอบครองได้ง่ายๆ ”
องค์หญิงซิ่นหยาง “…!!”
หลังจากนั้นไม่นาน นางสงบลงและยิ้มเยาะ “ใช่ หัวใจของเจ้ามีเพียงองค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋เท่านั้น”
เซวียนผิงโหวยืนขึ้นหยิบผ้ามา แล้วนั่งลงข้างกายนาง “จุ๊ หึงหวงหนักเลยนะนี่”
องค์หญิงซิ่นหยางกำลังจะอ้าปากโต้กลับ แต่เห็นเขาโค้งตัวลง หยิบขาที่เปียกของนางออกจากน้ำร้อนที่ค่อนข้างเย็น วางลงบนผ้าสะอาดและแห้งสนิท แล้ววางลงบนขาของเขา
“เจ้า…”
ดวงตาขององค์หญิงซิ่นหยางสั่นไหว รีบดึงขากลับ
“อย่าขยับ” เขากดเท้าอันบอบบางของนาง นางเป็นองค์หญิง ไม่ต้องมัดเท้าเหมือนเด็กสาวผู้ยากไร้ เท้าเรียวงามของนางวางลงบนมือที่หยาบกร้านและเต็มไปด้วยรอยแผลเของเขา ทำให้รู้สึกถึงความงดงามอันโหดร้ายที่เข้ากันไม่ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เท้าเปื่อยแล้ว” เขาเอ่ย “ยาอยู่ใต้หมอนข้างมือเจ้า”
องค์หญิงซิ่นหยางหยิบยาทาเท้าเปื่อยออกมาพลางเอ่ย “ข้าทาเอง”
“การเจรจาคือเรื่องจริง เป็นความคิดของข้าเอง” จู่ๆ เซียวจี่ก็เอ่ยถึงบทสนทนานี้ “แต่ข้ากับเจินเอ๋อร์ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบที่เจ้าคิด”
องค์หญิงซิ่นหยางรู้ในทันทีว่าเจินเอ๋อร์คือชื่อขององค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋ นางจึงชักสีหน้าดึงผ้ามา!
เซียวจี่เอ่ย “เจินเอ๋อร์คือลูกสาวของน้องชายข้า เป็นหลานสาวแท้ๆ ของข้าเอง”
องค์หญิงซิ่นหยางตกตะลึง “นางไม่ใช่…องค์หญิงน้อยแห่งตงอี๋หรอกหรือ”
เซียวจี่มองนางพลางตอบ “แม่ของนางเป็นชาวตงอี๋จริงๆ แต่พ่อของนางไม่ใช่ตงอี๋หวัง แต่เป็นเซียวหมิง กษัตริย์ตงอี๋รู้ชาติกำเนิดของนางโดยบังเอิญ และรับนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมชั่วคราว แล้วส่งนางมาเจรจากับกองทัพข้า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ มุมปากของเขาก็โค้งขึ้น “ฉินเฟิงหวั่น ยังหึงหวงอยู่อีกหรือไม่”
……….