ตอนที่ 677 ตัดผมเดือนแรกของปีแล้วลุงจะตาย
……….
ตอนที่ 677 ตัดผมเดือนแรกของปีแล้วลุงจะตาย
หลังจากจางเหมยจากไป อารมณ์ของทุกคนก็ยังคงหนักอึ้ง
หู่จือจับมือหลินเซี่ย ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “แม่ ป้าคนนั้นเป็นใคร ผมไม่เคยเห็นหล่อนมาก่อนเลย หล่อนมาร้องไห้ที่บ้านเราทำไมเหรอครับ?ชช”
น้าคนนี้ครั้งที่แล้วเขาก็เคยมาร้องไห้ที่นี่
หลินเซี่ยไม่รู้จะตอบหู่จือว่าอย่างไร
เธอจึงโยนคำถามนั้นให้เฉินเจียเหอและเซี่ยไห่
เธอพูดว่า “หล่อนเป็นเพื่อนคุณพ่อกับคุณตารองน่ะ ถามพวกเขาก็แล้วกัน”
หู่จือมองเฉินเจียเหอและเซี่ยไห่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตาที่ฉลาดวาววับไปด้วยความอยากรู้
เซี่ยไห่ก็รู้สึกอึดอัดใจ และไม่รู้จะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร
พวกเขารู้ดีว่าถ้าจางเหมยร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าหู่จือ หู่จือต้องสงสัยแน่นอน
จะไม่ถามได้อย่างไร
พวกเขาต่างมองหน้ากัน และไม่กล้าพูดอะไรออกไป
เฉินเจียเหอพาหู่จือมาหาตนเอง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ราวกับตัดสินใจครั้งสำคัญ จึงถามเขาว่า “หู่จือยังจำรูปถ่ายที่พ่อเคยให้ดูไหม ลุงผู้บัญชาการในรูปนั้นน่ะ”
เซี่ยไห่และคนอื่นๆ มองเฉินเจียเหอด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
หู่จือพยักหน้าโดยแรง “จำได้ฮะ รูปนั้นอยู่ที่บ้านตาทวดของผมที่บ้านเกิด พ่อเคยบอกว่าลุงผู้บัญชาการเป็นวีรบุรุษด้วย พวกเราเพิ่งไปกวาดหลุมศพของลุงผู้บัญชาการมาเมื่อปีที่แล้ว”
เฉินเจียเหอหยุดพูดไปสองสามวินาที จากนั้นจึงบอกเขาว่า “ใช่ ลุงผู้บัญชาการเป็นวีรบุรุษจริง คุณป้าที่มาที่นี่ในวันนี้คือญาติของลุงผู้พันท่านนั้น”
เมื่อเฉินเจียเหอพูดจบ เซี่ยไห่และคนอื่นๆก็มองเขาด้วยความกังวลใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเฉินเจียเหอถึงได้บอกเรื่องนี้กับหู่จือ
เขาต้องการจะทำอะไร? ต้องการจะบอกความจริงแก่เด็กน้อยงั้นเหรอ?
หู่จือทำท่าพยักหน้า “โอ้ เดิมทีเป็นญาติของลุงผู้บัญชาการ หล่อนคิดถึงลุงผู้บัญชาการคนนั้นก็เลยร้องไห้นี่เอง”
เฉินเจียเหอไม่ได้พูดอะไรต่อ เซี่ยไห่และคนอื่นๆ ถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เอาล่ะ ต่อไปนี้ไม่ต้องถามเรื่องนี้อีกแล้วนะ คราวหน้าเมื่อป้าคนนั้นมา ก็ต้อนรับหล่อนดีๆ คุยกับหล่อนเยอะๆ”
เมื่อได้ยินคำสั่งของเฉินเจียเหอ หู่จือก็พยักหน้ารับคำอย่างจริงจังอีกครั้ง
“พ่อ ผมรู้แล้วครับ”
หลังจากที่เฉินเจียเหอพูดจบ ก็ส่งสัญญาณให้หู่จือไปเล่น
ไม่มีการพูดอะไรกันต่อ
สีหน้าของฟางจินเป่าดูโล่งใจราวกับรอดพ้นหายนะอันใหญ่หลวง
เมื่อครู่เขากลัวแทบตายว่าเฉินเจียเหอจะบอกความจริงกับหู่จือ
ถ้าเฉินเจียเหอใจร้อนขนาดนั้น เขาจะออกมาขัดขวางเป็นคนแรก
หู่จือยังเด็กมาก บอกความลับนี้ให้เขารู้ไม่ได้เด็ดขาด
ฟางจินเป่าหันไปถาม หู่จือด้วยรอยยิ้ม
“หู่จือ ภาพวาดของหนูอยู่ไหนล่ะ ลุงขอดูหน่อย”
หู่จือพูดว่า “ผมยังวาดไม่เสร็จเลย เดี๋ยวถ้าผมวาดเสร็จแล้วจะเอาให้ดูนะครับ”
พูดจบ หู่จือก็วิ่งปร๋อเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
พอหู่จือพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็แข็งค้างอยู่แบบนั้น แต่ละคนนั่งตัวตรง สีหน้าจริงจัง
ฟางจินเป่ามองเฉินเจียเหอแล้วบ่นอย่างไม่พอใจ “เหล่าเฉิน คำพูดเมื่อกี้ของนายฟังดูสิ้นคิดไปหน่อยนะ ทำไมนายต้องเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจางเหมยกับผู้บัญชาการให้หู่จือฟังด้วยล่ะ? หู่จือฉลาดจะตาย เดี๋ยวเขาก็จับได้หรอก”
เฉินเจียเหอชงชาให้ทุกคน เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาแล้วค่อยๆ รินชาพลางอธิบาย “ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่บอกเขาก็คงจะถามไม่เลิกอยู่ดี ยังไงเขาก็ต้องรู้ในสักวันอยู่แล้ว”
แม้เฉินเจียเหอจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ แต่สีหน้าของเขากลับเคร่งเครียด ในใจตอนนี้สับสนวุ่นวายไปหมด
ตั้งแต่จางเหมยปรากฏตัว เขาก็รู้แล้วว่ามีบางอย่างที่เขาควบคุมไม่ได้ นั่นคือจางเหมยกับหู่จือเป็นแม่ลูกกัน
ในฐานะพ่อบุญธรรม เขาไม่สามารถขัดขวางพวกเขาไม่ให้พบกันได้
ดีที่สุดก็แค่ประวิงเวลาเพื่อให้หู่จือได้อยู่กับพวกเขานานที่สุด เพื่อให้เขาได้เติบโตอย่างมีความสุข มีวัยเด็กที่งดงาม ได้รับการศึกษาที่ดี และมีอนาคตที่ดีในภายภาคหน้า
เขาจะผูกมัดเด็กคนนี้เอาไว้ข้างกายได้ตลอดเชียวหรือ?
ตั้งแต่จางเหมยปรากฏตัว ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่เขาคิดไว้อีกต่อไป
เขาเองก็ไม่อยากให้หู่จือรู้ความจริงแล้วโกรธแค้นเขาในภายหลัง
เขาตกลงกับจางเหมยว่าจะให้พบกับหู่จือเดือนละครั้ง ก็เพื่อเป็นการให้หู่จือได้เตรียมใจเอาไว้สำหรับความจริงที่จะถูกเปิดเผยในภายหลัง
เด็กคนนั้นฉลาดเพียงนั้น ต่อให้ตอนนี้จะยังแยกแยะสถานะของจางเหมยไม่ออก แต่เมื่อเขาค่อยๆ เติบโตขึ้น เขาก็จะเข้าใจในภายหลัง
ฟางจินเป่าถอนหายใจ ไม่รู้จะพูดอะไร
เขารู้ว่าเฉินเจียเหอมีความรู้สึกที่ขัดแย้งและเจ็บปวดมากกว่าพวกเขา
ก่อนหน้านี้หู่จือเป็นลูกของเฉินเจียเหอโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เมื่อแม่ที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น เฉินเจียเหอในฐานะพ่อบุญธรรมจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมาก
ถังจวิ้นเฟิงจิบน้ำชาที่เฉินเจียเหอเพิ่งรินให้ เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ผมว่าเราก็อย่าโกรธแค้นจางเหมยนักเลย ผู้หญิงเลี้ยงลูกตัวคนเดียวมันก็ลำบากไม่ใช่น้อย”
พอถังจวิ้นเฟิงพูดจบ ฟางจินเป่าก็ทำหน้าบึ้ง มองเขาด้วยความไม่พอใจ “นี่นายยังจะสงสารหล่อนอีกเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงสบตาเขาและถามกลับ “กล้าพูดไหมว่าพี่ไม่สงสารหล่อน ถ้าพี่ไม่มีใจเมตตา เมื่อกี้พี่คงจะด่าหล่อนแรงๆ และไล่หล่อนออกไปแล้ว”
ก่อนที่จางเหมยจะมา ท่าทางของฟางจินเป่าดูเหมือนจะกลืนกินจางเหมยเข้าไปทั้งตัว
แต่พอจางเหมยมาถึง เขากลับนั่งนิ่งอยู่เฉยๆ แม้จะพูดอะไรกับจางเหมยบ้าง แต่เมื่อเทียบกับท่าทีเมื่อครู่ คำพูดเหล่านั้นช่างไม่เจ็บแสบเอาเสียเลย
พวกเขาเป็นสหายพี่น้องกัน ทำไมถึงจะไม่รู้จักนิสัยใจคอกัน
ปากร้ายใจดีกันทั้งนั้น
สายตาของฟางจินเป่าวาววับ เถียงคอแข็งเป็นเอ็น
“ก็ยอมรับแหละว่าหล่อนค่อนข้างน่าสงสาร แต่คนน่าสงสารมักจะมีด้านที่น่ารังเกียจ นายจะไปเห็นใจหล่อนทำไม คิดถึงเรื่องที่หล่อนทำไว้สิ ผู้หญิงปกติคนไหนเขาทำแบบนั้นกัน?”
ฟางจินเป่าด่าต่ออย่างโกรธเคือง “สามีเพิ่งตาย หล่อนก็รีบแต่งงานใหม่แล้ว ขาดผู้ชายไม่ได้หรือยังไง”
ฟางจินเป่ายิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาเสียใจสุดๆ ที่ในตอนจางเหมยยังอยู่ เขาไม่ได้ซักถามหล่อนว่าทำไมถึงรีบแต่งงานใหม่อย่างใจร้อนเช่นนั้น
เมื่อกี้เขาควรจะด่าหล่อนซักชุดให้หายโมโหด้วยซ้ำ
ถังจวิ้นเฟิงบอก “เรื่องเมื่อก่อนส่วนใหญ่เป็นความคิดของพี่ชายในตระกูลหล่อน ครอบครัวของหล่อนจงใจจะหาคู่ให้หล่อน ผู้หญิงอย่างหล่อนจะต่อต้านอะไรได้ ผู้หญิงวัยยี่สิบกว่ายังไม่มีความคิดเป็นของตัวเองนัก พอเจอเรื่องใหญ่แบบนั้นก็รู้สึกว่าฟ้าถล่มลงมาแล้ว นอกจากแต่งงานแล้วหล่อนจะทำอะไรได้?”
ถังจวิ้นเฟิงในฐานะตำรวจได้ผ่านคดีต่างๆ มามากมาย จึงได้เห็นผู้คนมากมาย
แม้แต่เหล่าอาชญากร เหตุจูงใจในการก่ออาชญากรรมบางครั้งก็ทำให้พวกเขาแปลกใจ
จางเหมยเป็นหญิงสาวอ่อนแอและไม่มีความสามารถในการเอาตัวรอด สามีจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของหล่อน
สามีของหล่อนด่วนจากไป เหลือเพียงลูกน้อยไว้ดูต่างหน้า นอกจากเชื่อฟังคำพูดของครอบครัวฝ่ายแม่แล้วหล่อนจะทำอะไรได้อีก?
เซี่ยไห่ยกถ้วยชาขึ้นจิบ พร้อมถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า
“ความจริงแล้วสิ่งที่จวิ้นเฟิงพูดมาก็ถูก ในเรื่องนี้พี่ใหญ่ของจางเหมยมีส่วนเกี่ยวข้องมาก ในปีนั้นพวกเขากลัวว่าถ้าจางเหมยไม่แต่งงานใหม่ ก็จะพาลูกกลับบ้านเกิดให้พวกเขารับผิดชอบเลี้ยงดูลูก ดังนั้นจึงกดดันจางเหมย โยนหู่จือให้เจียเหอ แล้วให้จางเหมยรีบแต่งงานใหม่ พวกเขาแค่อยากกำจัดแม่ลูกเจ้าปัญหาคู่นี้ออกจากบ้านโดยเร็วที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะไม่ต้องแบกรับภาระ”
ฟางจินเป่าโกรธมาก ตบโต๊ะจนเกือบกระแทกถ้วยชาของลู่เจิ้งอวี่ที่ยังไม่ยกขึ้นมา “ไอ้สารเลวพวกนั้นมันเป็นอะไรกัน”
ลู่เจิ้งอวี่มือไว รีบประคองถ้วยชาไว้ได้ทัน
ฟางจินเป่าโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ใช้เวลาครู่ใหญ่ จึงตัดสินใจ “เดี๋ยวพาหู่จือไปตัดผมที่ร้าน”
“หือ?”
หลินเซี่ยเดิมทีนั่งอยู่ข้างๆ ฟังพวกเขาพูดโต้ตอบวิพากวิจารณ์จางเหมยกับญาติพี่น้องฝ่ายหญิงอยู่เงียบๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของฟางจินเป่า จึงมองด้วยสีหน้าแปลกๆ
ฟางจินเป่าสบตาหลินเซี่ยที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงโผงผาง
“น้องสะใภ้ เธอไม่รู้เหรอ ตัดผมเดือนแรกของปีจะทำให้ลุงตาย เราตัดผมหู่จือในเดือนแรกของปีนี้เถอะ ปีนี้ไม่เห็นผลก็ตัดต่อไป เอาปีละครั้ง จนกว่าไอ้เลวนั่นมันจะตาย!”
หลินเซี่ย “!!!”
“เป็นความคิดที่ดี” ลู่เจิ้งอวี่มองเหล่าสหายพี่ชาย พูดราวกับเป็นเรื่องจริงจัง “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันจะได้ผลจริงๆ นะ ผมจำได้ว่ามีหลานคนหนึ่งแถวบ้านเราไปตัดผมในวันปีใหม่ วันรุ่งขึ้นลุงของเขาก็ตกคูน้ำครำแล้วจมน้ำตาย”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนๆ หนึ่งมันมีหลายมุมหลายด้าน จะตัดสินแบบขาวล้วนดำล้วนไม่ได้หรอก
สู้ต่อหน้าไม่ได้ก็เลยสู้ด้วยคุณไสยงี้เหรอพี่ใหญ่ฟาง
ไหหม่า(海馬)