บทที่ 970 ท่านปรมาจารย์
……….
ลมตีเข้าหน้าจนแก้มของกู้เจียวและเซียวเหิงกระเพื่อมอย่างรุนแรง
แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น ต้องคอยปิดปากให้แน่น ถ้าเผลออ้าออกมานิดเดียวละก็มีหวังได้เสียวฟันแน่
หลงอีอยากอุ้มกู้เจียวมานานแล้ว
ก่อนหน้านี้ หลงอีอุ้มกู้เจียวไม่ได้ เพราะกู้เจียวท้อง
ไหนจะตอนคลอด
ไหนจะตอนอยู่ไฟอีก
แต่วันนี้ เขาทำได้แล้ว!
ส่วนเซียวเหิงเป็นแค่ตัวแถมเท่านั้น
ชาวประมงที่เกาะกำลังก้มหน้าจับปลาอยู่
ฟิ้ว!
เหล่าชาวประมงสัมผัสได้ว่ามีเงาประหลาดบินผ่านหัวของเขา!
พวกเขามองหน้ากันด้วยความมึนงง
แล้วสักพักหนึ่ง ฟิ้ว! เงานั้นก็วนกลับมาอีกครั้ง!
กู้เจียวเริ่มใกล้จะหมดความอดทน
นี่เจ้าวนอ้อมเกาะมาสองรอบแล้วนะ!
หลังจากวนรอบเกาะมาสามรอบ หลงอีที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดสนิทแล้ว จึงตัดสินใจร่อนจอดลงพื้นดิน
ส่วนฉังจิ่งที่เห็นหลงอีใช้วิชาตัวเบาบินรอบเกาะ ก็เดาได้ว่าพรรคพวกของเขาน่าจะมาถึงกันที่ท่าเรือแล้ว
ฉังจิ่งรู้จักกับเหลี่ยวเฉินและนักบวชชิงเฟิงอยู่แล้ว พวกเขาเคยร่วมต่อสู้ด้วยกันที่ชายแดน อีกทั้งเหลี่ยวเฉินยังเคยเดินทางมาพำนักที่แคว้นเจา และเข้าๆ ออกๆ จวนเซวียนผิงโหวอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าเขาไม่เคยเจอกับอู๋เฟิงซิวมาก่อน
“เขาเป็นน้องชายของข้า” นักบวชชิงเฟิงแนะนำเขา
ทันทีที่พวกเขาเอ่ยจบ ทั้งสองคนเห็นเฟิงอู๋ซิ่วอยู่ด้านข้าง กำลังดึงแขนเสื้อของเหลี่ยวเฉิน จิบน้ำลายแล้วเอ่ย “ท่านพี่ เมื่อครู่นี้ข้าเห็นไก่ฟ้าบนเกาะ คืนนี้มาย่างไก่กันเถอะ!”
ฉังจิ่ง “…”
นักบวชชิงเฟิง “…”
…
สำนักอั้นเย่มีการแบ่งออกเป็นสำนักภายนอกและภายใน แต่ทั้งหมดอยู่บนเกาะ ขั้นตอนการเป็นศิษย์ของสำนัก คือการเข้าทางสำนักภายนอกก่อน ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักและการคัดเลือกหลายชั้น ถึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่สำนักภายในได้
ศิษย์สำนักภายในสามารถเพลิดเพลินกับคัมภีร์วิทยายุทธและจิตวิทยาที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนัก และยังได้รับทรัพยากรด้านยาวิเศษที่หลากหลายมากขึ้นด้วย
แม้ว่าฉังจิ่งเป็นผู้นำสำนักรุ่นเยาว์ แต่เขาก็ได้รับการฝึกฝนจากสำนักภายนอกสู่สำนักภายในทีละขั้นตอน พี่สาวทั้งเจ็ดของเขาก็ด้วย
กู้เจียวและเซียวเหิงนับว่าเป็นสมาชิกคนสนิทของสำนัก ไม่ใช่ผู้มาเยือน ดังนั้นฉังจิ่งและหลงอีจึงพาพวกเขาไปที่พำนักโดยตรง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ที่พักของหลงอีกลับมีขนาดใหญ่กว่าของฉังจิ่งเสียอีก
แม้หลงอีจะอยากอวดที่พักของตัวเองให้ทั้งคู่ได้ยลกับตาแค่ไหน แต่ก็ต้องทำตามธรรมเนียมด้วยการพาพวกเขาไปทักทายฉังคุนก่อน
แล้วพวกเขาก็ได้พบเจอกับฉังคุน รวมถึงคุณหนูตระกูลฉังทั้งเจ็ด
ที่จริงทั้งเหลี่ยวเฉิน เซียวเหิง และกู้เจียวเป็นคนที่ฉังคุนรู้จักอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่เคยพบเจอกับสองพี่น้องตระกูลเฟิงมาก่อน
คุณหนูใหญ่ “น้องเจ็ด ดูนักบวชหนุ่มท่านนั้นสิ รูปงามเลยทีเดียว”
คุณหนูรอง “แต่ข้าว่าท่านเหลี่ยวเฉินงดงามกว่าอีก”
คุณหนูสาม “แต่ข้าว่าบุรุษที่ยืนอยู่ข้างท่านนักบวชดูเหมาะกับเจ้ามากกว่านะ น้องเจ็ดว่าอย่างไร”
คุณหนูสี่ “นั่นสิ นั่นสิ เจ้าลืมอีตาเย่ชิงนั่นได้แล้ว! รอสามปีมีหวังเจ้าได้อายุสามสิบก่อนแน่!”
คุณหนูเจ็ดเริ่มหมดความอดทน “อะไรของพวกพี่เนี่ย! ชอบเอ่ยเกินจริงอีกแล้วนะ! ข้าเพิ่งจะอายุยี่สิบเอ็ดเองนะ!”
คุณหนูห้าผู้ซึ่งเงียบมาตลอดก็พึมพำขึ้น “พวกเจ้าไม่คิดว่าผู้ชายที่อยู่ถัดจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นหน้าตาดีที่สุดรึ
แล้วคุณหนูทุกคนก็จับจ้องไปทางเซียวเหิงผู้ที่กำลังยืนกุมมือกู้เจียวอยู่
พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลานาน ทุกคนดูเหนื่อยล้าและโทรม แต่แทบไม่มีผลต่อความหล่อเหลาของพวกเขาเลย
โดยเฉพาะเซียวเหิง
เขาไม่เหมือนคนอื่นๆ
รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้น เหล่าคุณหนูทั้งหลายยังมิอาจหาคำอธิบายได้
คุณหนูรองทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะอนุมาน “เขาดูไม่ใช่คนที่มีกำลังภายใน แต่กลับดูน่าเกรงขามกว่าใครเพื่อน”
ฉังอวี้โพล่งขึ้น “แม่สาวน้อยคนนั้นงดงามยิ่งนัก!”
ฉังจิ่งเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งสองฝ่าย พลางเอ่ย “ข้าจะแนะนำให้ เขาผู้นี้ คือพ่อของข้า”
รวมถึงสมาชิกตระกูลฉังคนอื่นๆ
นักบวชชิงเฟิงประสานมือคำนับ “ข้า นักบวชชิงเฟิงแห่งไป๋หยวนกวน ขอคารวะท่านประมุขฉัง นี่คือน้องชายของข้า เฟิงอู๋ซิว”
ฉังคุนยิ้มพลางเอ่ย “ท่านนักบวชชิงเฟิง ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” เขามองไปที่เฟิงหวู่ซิ่วอีกครั้ง พลางคิดในใจ อืม อายุเหมาะสม รูปลักษณสง่างาม “ท่านจอมยุทธ์เฟิง ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานเช่นกัน”
เฟิงหวู่ซิ่วตระหนักรู้ในตนเอง เขาเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆ เท่านั้น ที่ฉังคุนเอ่ยกับเขาเช่นนั้นก็แค่เอ่ยตามมารยาทเท่านั้น
เขาโค้งคำนับอย่างสุภาพในฐานะรุ่นน้อง “ท่านประมุขฉัง”
และนั่นทำให้ฉังคุนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก
จากนั้นฉังจิ่งก็เดินไปทางพี่ๆ ทั้งเจ็ดของเขา “ท่านนี้คือคุณหนูใหญ่ฉังอิง ส่วนนี่คุณหนูรองฉังหลิง คุณหนูสามฉังอวิ๋น คุณหนูสี่ฉังซิ่ว คุณหนูห้าฉังหยิ่ง คุณหนูหกฉังจวิน และคุณหนูเจ็ดฉังอวี้”
ฉังอิงอายุน้อยกว่าองค์หญิงซิ่นหยางเพียงไม่กี่ปี ฉังหลิงและฉังอวิ๋นต่างก็อายุสามสิบกว่าแล้ว
ถึงกระนั้น พวกนางทุกคนล้วนแลดูอ่อนเยาว์ มีกลิ่นอายของความเป็นวีรสตรีที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุรุษ
กู้เจียวรู้สึกราวกับได้พบเจอนางฟ้าทั้งเจ็ด พวกนางล้วนมีหน้าตาสะสวยงดงาม มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ พวกนางทุกคนมีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
แล้วฉังจิ่งก็ได้แนะนำสหายให้เหล่าพี่สาวของเขา “ท่านนี้คือเซียวเหิง ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา ส่วนนี่คือแม่ทัพน้อยของค่ายทหารเฮยเฟิง กู้เจียว พวกเขาแต่งงานกันแล้ว”
ตามปกติแล้ว เวลาแนะนำสตรี ถ้าไม่ได้แต่งงาน ก็มักจะแนะนำว่าเป็นลูกสาวของตระกูลนั้นๆ หรือถ้าแต่งงานแล้ว ก็จะแนะนำว่าเป็นภรรยาของใคร
ฉังจิ่งไม่ทำเช่นนั้น
เพราะเขาจำคำขององค์หญิงซิ่นหยางและท่านน้าอวี้จิ่นได้
จากนั้น ลูกเขยทั้งหกก็ตามมาสมทบ
บรรยากาศในตระกูลของฉังคุนนั้นดีมาก คุณหนูทั้งเจ็ดเป็นคนตรงไปตรงมา จึงคุยกันถูกคอมาก
อาหารเย็นเป็นการต้อนรับแขกที่มีมาตรฐานสูงสุดของเกาะอันเย่ ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยปลาหลากหลายชนิด
วัตถุดิบหลักคือปลาทะเล กุ้งทะเล และปูทะเลที่ชาวประมงจับได้ วิธีการปรุงอาหารไม่ได้ซับซ้อน แต่เน้นที่การย่างปลา ดองเค็ม ต้มน้ำแกง และอาหารสด เพื่อรักษารสชาติและความสดใหม่ของวัตถุดิบให้มากที่สุด
เฟิงอู๋ซิวลงมือกินอย่างไม่ยั้งมือ
ท่าทางของเขาไม่ต่างอะไรกันกับกระรอกที่หิวโหย “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินปลาสดๆ แบบนี้โดยไม่ผ่านความร้อน ที่น่าทึ่งคือ มันไม่คาวเลย!”
“ลองกินปูดูสิ อร่อยนะ” ฉังจิ่งกล่าว
ตอนแรก เฟิงอู๋ซิวไม่ค่อยกล้าลอง แต่หลังจากได้ลิ้มลองปลาดิบแล้ว มันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเขาอย่างมาก เขาหยิบชิ้นปูที่เคลือบด้วยพริกน้ำมันแดงมาหนึ่งชิ้น หลับตาแล้วกัดลงไปเต็มคำ!
เนื้อปูใสดุจอัญมนีผสมกับไข่ปูรสเค็ม สัมผัสที่ทั้งนุ่มและชุ่มฉ่ำพร้อมระเบิดในปากของเขา และกระตุ้นต่อมรับรสทั้งหมด
พ่อครัวใช้วิธีนำปูไปล้างกับเหล้าเพื่อขจัดกลิ่นคาว จากนั้นนำไปหมักไว้ในน้ำดองที่ปรุงรส
โอ้โห!
อร่อยมาก!
ส่วนกู้เจียว หลังจากที่ได้ลองอาหารทุกอย่างทีละนิด นางพบว่าตัวเองชอบปลาต้มมากที่สุด ได้รสหวานกลมกล่อมจากธรรมชาติ
เดิมทีกู้เจียวคิดว่าเซียวเหิงจะไม่คุ้นเคยกับการทานของดิบ แต่หารู้ไม่ว่าเขาคุ้นเคยกับมันมากกว่าหลงอีเสียอีก
หลังจบมื้ออาหาร ฉังจิ่งพาเหลี่ยวเฉิน นักบวชชิงเฟิงและเฟิงอู๋ซิวไปยังห้องพักของพวกเขา ขณะที่กู้เจียวและเซียวเหิงยังอยู่ที่เดิมเพื่อรอคุยถึงจุดประสงค์ของการเดินทางในครั้ง
“ข้าอยากพบกับประมุขของเกาะคนแรก บางทีข้าอาจรู้จักกับเขามาก่อน” กู้เจียวเอ่ยอย่างมีชั้นเชิง
ตอนที่ประมุขคนแรกของเกาะเสียชีวิต กู้เจียวยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ ไม่มีความเป็นไปได้เลยว่าพวกเขาจะเคยพบกันมาก่อน
จากที่ฉังคุนได้เห็นสิ่งที่น่าทึ่งมากมายจากประมุขคนแรก จนเขาไม่กล้าใช้สามัญสำนึกเพื่อการตัดสินอย่างผิวเผิน
“ข้าขอถามอย่างเสียมารยาทนะ เจ้ากับเขา…มาจากที่เดียวกันใช่หรือไม่” ฉังคุนกล่าว
เขารู้ว่าเจ้าของเกาะคนแรกมาจากโลกอื่น และเนื่องจากกู้เจียวบอกว่านางอาจเป็นเพื่อนเก่ากับเขา บางทีนางก็อาจจะมาจากโลกอื่นด้วยเหมือนกัน
“ใช่” กู้เจียวตอบตามตรง
นางตรงไปตรงมามากจนฉังคุนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“ว่าตามตรงนะ ข้าเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว”
กู้เจียวจึงตอบไป “หากท่านอยากรู้ ข้าจะเล่าให้ฟัง แต่ข้าอาจต้องใช้เวลารบกวนท่านที่นี่นานหน่อย”
ฉังคุนรีบโบกมือปัด “รบกวนอะไรกัน เจ้าเป็นแขกคนสำคัญของพวกเรานะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอ เจ้าอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้”
เขาเอ่ยด้วยใจจริง
กู้เจียวพยักหน้า “ตกลง”
“ข้าจะพาเจ้าไปหาประมุขคนแรกของเกาะนะ”
ฉังคุนพาพวกเขาทั้งสองไปยังพื้นที่ต้องห้ามของเกาะ ซึ่งเป็นเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ด้านหลังจวนของตระกูลฉัง มันถูกล้อมรอบด้วยอนุสาวรีย์ที่เจ้าของเกาะคนแรกแกะสลักไว้
แม้แต่ฉังจิ่งเองก็ยังไม่เคยย่างกรายเข้ามาที่นี่
ส่วนหลงอีเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากเดิมทีเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามอยู่แล้ว
เมื่อเดินผ่านอนุสาวรีย์เขตแดน กู้เจียวก็ยกมือขึ้นและลูบมันเบาๆ ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงปรมาจารย์ของนาง
แววตาของเซียวเหิงร้อนผ่าวอีกครั้ง
อะไรกัน ผ่านมาตั้งนานแล้ว ยังลืมไม่ได้อีก
ใครคือผู้ชายที่สำคัญที่สุดในใจของเจ้า!
เซียวเหิงยังคงเดินตามกู้เจียวและฉังคุนไปเรื่อยๆ พร้อมกับทำหน้าบูดบึ้ง
ฉังคุนเอ่ย “นี่คือที่ซึ่งประมุขเกาะคนแรกเคยอาศัยอยู่ และหลงอีก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย”
จู่ๆ กู้เจียวก็นึกขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “ตอนที่หลงอีเด็ก เขาใช้ชื่อว่าอะไรหรือ”
ฉังคุนหันไปมองหลงอีที่กำลังเงยหน้ามองฟ้าอยู่ด้านหลัง
“เหมิงเหมิง”
กู้เจียว “…”
จากนั้นหลงอีก็พานางเยี่ยมชมทุกซอกทุกมุมของห้อง ทว่าเซียวเหิงไม่สนใจ พลางคิด ไยเขาต้องไปเดินดูข้าวของของคนคนนั้นด้วย
เขาจึงมานั่งดื่มชากับฉังคุนแทน
กู้เจียวมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของท่านปรมาจารย์ก่อน และพบว่ามีลายมือมากมายที่เขาทิ้งไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์ของเขาในช่วงเวลาและสถานที่นี้
จากนั้นมีสูตรทางคณิตศาสตร์บางอย่างที่ใช้ให้เหตุผลเกี่ยวกับพิกัดที่นางทิ้งไว้
กู้เจียวมองไปที่ลายมือที่คุ้นเคยและรู้สึกถึงความเศร้าโศกที่ไม่สามารถบรรยายได้ในใจ “เขารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาที่นี่และทิ้งพิกัดไว้ ความทรงจำของข้าแท้จริงแล้วมีอะไรหายไปบ้างนะ”
ท่านปรมาจารย์แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนที่ชอบเปิดเผยความลับให้คนอื่นได้ล่วงรู้ เกรงว่าที่นี่คงไม่ใช่ห้องทำงานจริงๆ ของเขา
“หลงอี มีที่อื่นอีกไหม”
หลงอีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนพากู้เจียวไปที่ห้องลับแห่งหนึ่ง เขาชี้ไปที่ร่องในกำแพงแล้วเอ่ย “เข้าไปไม่ได้”
ร่องในกำแพงที่ว่าเหมือนกันกับที่ตำหนักราชครูไม่มีผิด
หรือว่านี่จะเป็นพิกัดที่ท่านปรมาจารย์ทิ้งไว้
กู้เจียวนึกถึงกล่องยาน้อยของนางขึ้นมาทันที
ทว่าเจ้ากล่องยากลับไม่ปรากฏดั่งใจ
กู้เจียวจึงเดินออกจากเนินเขาด้านหลัง กลับไปที่ห้องของนางกับเซียวเหิง หน้าดำคร่ำเครียดหยิบกล่องยาเล็กๆ บนโต๊ะขึ้นมา
กู้เจียวบ่นอุบอิบ “ต้องให้ข้ามาหยิบเองกับมือรึไง!”
……….