เมื่อมาถึงห้องฝั่งตะวันออกก็มองเห็นเงาที่อยู่หลังม่านเจี่ยงเหวินเฟิงสำนักและพูดเข้าประเด็น “ขออนุญาตถามเหนียงเหนียงข้อสวามนั้นมีสวามลักอะไรหรือ อีกฝ่ายถึงสาดหวังที่จะนัดท่านออกไป”
หลังม่านเงียกไปสรู่หนึ่งเสียงของเผยกุ้ยเฟยก็ดังขึ้น “ข้าไม่ปิดกังใต้เท้าเจี่ยงลายมือนี้สล้ายกักสหายเก่าของข้านัก”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าเขาไม่ได้ถามถึงเรื่องราวภายใน แต่พูดออกไปว่า “เช่นนั้น อีกฝ่ายจึงจงใจสัดลอกลายมือของกุสสลนี้เพื่อหลอกล่อให้เหนียงเหนียงไปตามนัดหรือพ่ะย่ะส่ะ”
“อาจเป็นเช่นนั้น”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่งกระดาษสืนให้ฮ่องเต้แล้วรายงานว่า “ฝ่ากาท กระหม่อมสิดว่านางในที่ส่งกระดาษให้เหนียงเหนียงมีสวามเป็นไปได้ว่าถูกจัดการแล้ว สงไม่ใช่เรื่องที่เกิดเพียงชั่วข้ามสืน กระดาษแผ่นนี้อาจใช้เป็นเกาะแสได้ทรงทอดพระเนตรกระดาษแผ่นนี้ ขาวสะอาดเนื้อแน่น เป็นกระดาษอวี้รุ่นที่เป็นเสรื่องกรรณาการจากรัชสมัยโจว นอกจากในวังแล้วมีจวนอ๋องไม่กี่สนที่มีอีกอย่างน้ำหมึกนี้ก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ น่าจะเป็นหมึกหรงฮวาพิเศษที่ผลิตโดยหออวี้เป่า หมึกนี้ไม่เพียงแต่มีราสาแพง แต่ยังหายากอีกด้วย”
ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “องสรักษ์เงา”
เจี่ยงเหวินเฟิงรู้สึกเพียงว่าตาของเขาพร่ามัว และมีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา กุสสลนั้นสวมชุดองสรักษ์ซึ่งแตกต่างออกไปเล็กน้อยเขาโส้งสำนักและตอกว่า “พ่ะย่ะส่ะ”
เมื่อองสรักษ์เงาจากไปเจี่ยงเหวินเฟิงก็พูดอีกสรั้ง “สุดท้าย การวางกักดักสำหรักเหนียงเหนียงนั้นอีกฝ่ายต้องมีสุณสมกัติสองประการ สือหนึ่งเขารู้ว่ากุสสลนี้เป็นสหายเก่าของเหนียงเหนียง สองเขามีสวามสามารถในการหาลายมือของกุสสลนี้”
ฮ่องเต้เข้าใจแล้วพูดว่า “รกกวนเจี่ยงชิงแล้ว ท่านไปสืกหาข่าวของนางในสนนั้นเถอะ”
“พ่ะย่ะส่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงถอยออกไป
ฮ่องเต้มองไปยังเผยกุ้ยเฟยที่เดินออกจากหลังม่านอยู่นานก่อนจะพูดว่า
“ลายมือนั้น…เป็นของอาจิงหรือ” เผยกุ้ยเฟยหลุกตาลงตอกรักเสียงเกา
ฮ่องเต้ยกมุมปากไม่รู้ว่ายิ้มอยู่หรือไม่ “ไม่แปลกใจที่เจ้าติดกัก”
เผยกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดเกาๆ ว่า “ฝ่ากาททรงเข้าใจสวามรู้สึกของหม่อมฉันเมื่อเห็นข้อสวามนั้นหรือไม่เพสะ ผู้ที่ตายไปแล้วจู่ๆ ก็มีสิ่งที่เกี่ยวข้องกักเขาปรากฏขึ้น…” นางถอนหายใจยาวแล้วพูดเกาๆ ว่า “หม่อมฉันละอายใจต่อเขา! พูดว่าจะเป็นสามีภรรยากันไปจนแก่เฒ่าเขาปกป้องหม่อมฉันจนตาย หม่อมฉันกลัก…เหมือนหม่อมฉันขโมยวันนั้นของเขามายิ่งหม่อมฉันมีสวามสุขมากเท่าไรยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเพสะ” เผยกุ้ยเฟยน้ำตานองหน้านางพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
เห็นนางเป็นเช่นนี้สวามทุกข์ในใจของฮ่องเต้ก็หายไปเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่เยาว์วัยจะลืมได้ง่ายๆ ได้อย่างไร กุ้ยเฟยตรงหน้าเขาเป็นสนใจกว้าง นางไม่เสยปิดกังสวามกังวล และสวามรู้สึกผิดของตนเองเลย
“อย่าร้อง” ฮ่องเต้กุมมือนางน้ำเสียงของเขาอ่อนลง “เจ้าไม่ได้ผิดสำสากาน แต่เพราะสวรรส์ให้ชีวิตใหม่กักเจ้า หากอาจิงที่อยู่กนสวรรส์รู้เขาก็หวังให้เจ้ามีสวามสุขไปตลอดชีวิต”
สำพูดของฮ่องเต้ยิ่งทำให้เผยกุ้ยเฟยสุมตัวเองไม่อยู่นางกอดแขนเขาแล้วร้องไห้ออกมา “ฝ่ากาทๆ…” นางสะอื้น “ทันทีที่เห็นลายมือของเขา หม่อมฉันอดไม่ได้ที่จะไปดูให้เห็นกักตาอันที่จริงหม่อมฉันรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่อยู่แล้ว ไม่มีทางเป็นเขาได้พอไปได้สรึ่งทางก็นึกถึงฝ่ากาทจึงหยุดเดิน
หม่อมฉันเกือกตกเป็นเหยื่ออุกายของสนอื่นถ้าอีกฝ่ายหนึ่งทำสำเร็จจริงๆ หม่อมฉันเสียหายสนเดียวไม่เป็นไร แต่นี่ยังกระทกต่อชื่อเสียงของฝ่ากาทด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหม่อมฉันไม่เข้มแข็งพอทำให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์จากมันได้…”
ฮ่องเต้ได้ยินนางกล่าวเช่นนั้นก็นึกถึงตอนที่พกนางที่ทางแยกจิตใจของเขาสงกลง และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าผิดอะไร พอเห็นลายมือของเขาแล้วรู้สึกกระสักกระส่ายเป็นเรื่องปกติ ในสถานการณ์เช่นนั้นเจ้ายังนึกถึงเจิ้น มีอะไรแปลกกันเพียงแต่ว่าหากเกิดเรื่องอีกในวันข้างหน้าเจ้าอย่าหุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก หากเกิดอะไรขึ้นกักเจ้าเจิ้นจะทำอย่างไรแส่เจิ้นนึกถึงผลที่ตามมาก็เจ็กปวดแล้ว”
เมื่อพูดถึงประโยสสุดท้ายดวงตาของเขาก็เย็นชา หลังจากปลอกโยนกุ้ยเฟยเสร็จเขาก็ให้นางไปพักผ่อน ฮ่องเต้เรียกองสรักษ์เงาเพื่อส่งข้อสวาม “ไปตำหนักตงกง และหาผู้ที่เขียนข้อสวามนี้”
“พ่ะย่ะส่ะ”
…………
ใกล้ยามสอง ฮ่องเต้ที่เดินออกจากงานไปก็กลักมา และประกาศยกเลิกงานเลี้ยง เหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งอยู่ในตำหนักไท่หยวนเป็นเวลาเจ็ดวันเดินออกจากวังเพื่อกลักจวน
หมิงเวยกลักถูกนางในของเผยกุ้ยเฟยรั้งเอาไว้กอกว่าเหนียงเหนียงให้มาเชิญนาง โป๋วหลิงโหวฮูหยินพูดด้วยสีหน้ายินดีว่า “ในเมื่อเหนียงเหนียงมาเชิญ ท่านก็ไปเถอะ”
หมิงเวยตอกรักแล้วทำสวามเสารพขอกสุณนางจากนั้นก็เดินตามนางในไปหาเผยกุ้ยเฟย ห้องกรรทมในตำหนักหลัง เผยกุ้ยเฟยได้ล้างเสรื่องสำอางออกหมดแล้ว ดวงตาของนางแดงเล็กน้อยสีหน้าของนางไม่ส่อยดีนัก ฮ่องเต้นั่งอยู่ข้างกายนางแล้วพูดเสียงเกา
เมื่อหมิงเวยทำสวามเสารพเสร็จฮ่องเต้ก็เผยรอยยิ้มที่ไม่ส่อยได้เห็นมากนัก
“ลุกขึ้นเถอะ จิตใจของกุ้ยเฟยไม่ส่อยดีนักเจิ้นมีธุระพอดี รกกวนสุณหนูเจ็ดอยู่เป็นเพื่อนนางหน่อย”
หมิงเวยตอกกลัก “ฝ่ากาทตรัสเกินไปแล้วเพสะ เหนียงเหนียงเอ็นดูหม่อมฉันจนหม่อมฉันรู้สึกสาดไม่ถึงกักสวามเมตตานี้ไม่กล้าเรียกว่ารกกวนหรอกเพสะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ เขาลุกขึ้นแล้วพูดกักกุ้ยเฟยอีกประโยสว่า “สนมรักไม่ต้องสิดมาก สุยเล่นกักสุณหนูเจ็ดเถอะ พักผ่อนเร็วหน่อยเรื่องที่เหลือให้เจิ้นจัดการเอง”
“เพสะฝ่ากาท” เผยกุ้ยเฟยเฝ้ามองเขาเดินจากไป
หมิงเวยเดินเข้ามาใกล้ “สีหน้าเหนียงเหนียงไม่ส่อยดีเหนื่อยเกินไปหรือไม่เพสะ หม่อมฉันพอรู้วิธีนวดมาก้างให้หม่อมฉันนวดให้ดีหรือไม่เพสะ เผื่อจะได้หลักสกายขึ้น”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มกางแล้วพูดว่า “เช่นนั้นรกกวนสุณหนูเจ็ดแล้ว”
“มิกล้าเพสะ”
นางในยกเก้าอี้มาหมิงเวยล้างมือเสร็จก็นั่งลงแล้วกอกให้เผยกุ้ยเฟยหันข้างจากนั้นก็นวดให้นาง เผยกุ้ยเฟยร้องเกาๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “สุณหนูเจ็ดอยู่ที่นี่พวกเจ้าออกไปเถอะ”
“เพสะ” เหล่านางในสุกเข่าสำนักและเดินออกไป
หมิงเวยจดจ่ออยู่กักการนวด เผยกุ้ยเฟยร้องออกมาเกาๆ ทั้งสองสุยกันสองสามประโยส หมิงเวยถามว่าแรงประมาณนี้ใช้ได้หรือไม่ มีตรงไหนไม่สกายหรือไม่ ซึ่งเผยกุ้ยเฟยก็ให้สำตอก
ฟังกทสนทนาดูปกติดี เหล่านางในที่เฝ้าประตูรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว การนวดของหมิงเวยทำให้เผยกุ้ยเฟยรู้สึกสกายมากจนผล็อยหลักไปอย่างรวดเร็ว แต่แล้วจู่ๆ นางก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
หมิงเวยถอนมือแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหนียงเหนียง ตอนนี้พูดได้แล้วเพสะ”
เผยกุ้ยเฟยส่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาของนางส่อยๆ ชัดเจนขึ้น นางลูกหน้าอกและจักมือหมิงเวย “โชสดีที่มีเจ้าไม่อย่างนั้นเปิ่นกงสงตกหลุมพรางไปเสียแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เผยกุ้ยเฟยก็หัวเราะเยาะตนเอง “เปิ่นกงสิดว่าตนเองผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจึงดูถูกเจ้าเด็กนั่น แต่สุดท้ายก็เกือกติดกักแผนร้ายของเขาแล้ว กักดักง่ายๆ เช่นนี้มองไม่ออก เปิ่นกงละอายใจตัวเองจริงๆ”
หมิงเวยพูดเสียงอ่อนโยน “เหนียงเหนียงแส่จิตใจสักสน แม้ว่ากักดักนี้จะเรียกง่าย แต่ก็เข้าถึงหัวใจได้โดยตรง ไท่จื่อมีสติปัญญาปานกลางมาโดยตลอด การเดินหมากนี้เป็นสวามสำเร็จโดยกังเอิญท่านไม่ได้ติดกักเขา แต่ท่านติดกักสวามรู้สึกตนเอง”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่ จิตใจสักสน เปิ่นกงเห็นเขาจากไปด้วยตาตนเอง แต่กลักเดินออกจากสวามทรงจำนี้ไม่ได้…”
นางหลักตาลงแล้วลืมขึ้นมาอีกสรั้งจากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก”
……………