ตอนที่ 1020 เสแสร้งแสดงละคร
……………………………………………………………………..
เมื่อได้ยินคำพูดของหยานตงแล้วเย่เชียนและคนอื่นๆก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มและพวกเขาก็รู้สึกชื่นชมหยานตงมากขึ้นเรื่อยๆเพราะการกระทำของเขานั้นดีต่อประเทศชาติอย่างมาก ซึ่งทำให้เย่เชียนพอใจมากเพราะไม่ว่าจะมีความขัดแย้งภายในมากเพียงใดแต่เมื่อต้องเผชิญกับศัตรูภายนอกหรือต่างชาติแล้วเราก็ต้องลืมความแค้นและร่วมมือกัน ซึ่งนี่คือความภาคภูมิใจในตนเองและความสามัคคีของชาติ
เมื่อออกจากบ้านพักแล้วหยานตงก็โบกมือเพื่อให้กองทหารของเขาถอยทัพและหลังจากนั้นเขาก็เหลือบมองไปที่เย่เชียนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หนูเอ็งว่างหรือเปล่า?..ไปดื่มชาด้วยกันสักหน่อยมั้ย?”
เย่เชียนก็พยักหน้าและพูดว่า “ตกลง..ผมต้องขอขอบคุณผู้อาวุโสหยานสำหรับเรื่องนี้ด้วย” จากนั้นเขาก็หันไปมองหลี่เหว่ยกับชิงเฟิงแล้วพูดว่า “พวกนายกลับไปกับจือเหวินก่อนส่วนม่อหลงกับฉันจะไปกับผู้อาวุโสหยาน” จากนั้นเย่เชียนก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวไปหาจือเหวินและพูดว่า “อย่าโทษตัวเองไปเลยเพราะเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วและความขัดแย้งระหว่างพวกเรากับสำนักม่อจื๊อก็มีมานานแล้ว..เพราะงั้นคุณกลับไปพักผ่อนเถอะเดี๋ยวผมจะจัดการหวังหว่านยู่ทีหลัง”
จือเหวินก็พยักหน้าอย่างหนักหน่วงและกอดเย่เชียนและหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเย่เชียนและพูดอย่างขอโทษว่า “ฉันขอโทษฉันมันไร้ประโยชน์”
“ยัยโง่..คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษ” เย่เชียนพูด
“ใช่!..พี่สะใภ้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย..มันเป็นเพราะตู้ฟู่เหว่ยนั้นทำตัวบ้าๆราวกับว่าเขาเก่งที่สุดในโลก..ผมล่ะไม่ชอบหน้าเขาเลย” หลี่เหว่ยพูด
เมื่อได้ยินหลี่เหว่ยพูดจือเหวินก็โล่งใจและมีความสุขมาก ก่อนหน้านี้ก็เย่เชียนและตอนนี้หลี่เหว่ยก็ปลอบใจเธออีกดังนั้นเธอจึงสงบได้ ส่วนหยานตงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนสมัยฉันหนุ่มๆฉันเอาแต่ทำงานและไล่ตามความฝันจนหวงฟู่ชิงเตี๋ยนแย่งซินเอ๋อร์ไปจากฉัน..พวกเอ็งยังหนุ่มยังแน่นเพราะงั้นถ้ามีอะไรที่อยากจะทำก็รีบๆทำซะ!”
ซินเอ๋อร์ที่หยานตงหมายถึงก็คือฮัวหยาซินผู้นำสำนักหยุนหยานเหมินและเย่เชียนก็ไม่สนใจที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ยุ่งเหยิงของพวกเขาในตอนนั้น ซึ่งเมื่อเย่เชียนได้ยินหยานตงพูดแบบนี้เขาก็รู้สึกชื่นชมหยานตงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาเลือกที่จะไล่ล่าความฝันมากกว่าความรักนั่นเอง
ไม่ต้องสงสัยเลยเพราะท่ามกลางนักศิลปะการต่อสู้โบราณมากมายที่เย่เชียนเคยพบนั้นหยานตงคือคนที่เขาชื่นชมมากที่สุดและนี่อาจเป็นโชคชะตา หากไม่มีไป๋ฮวยล่ะก็เย่เชียนกับหยานตงอาจจะยังตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นศัตรูอย่างไม่รู้จบก็ได้
เมื่อนึกถึงไป๋ฮวยแล้วเย่เชียนก็ขมวดคิ้วเพราะเย่เชียนไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของไป๋ฮวยจะหายดีหรือไม่ก็ตามแต่เย่เชียนก็รู้ดีว่าเขาจะไม่เป็นอะไร เพราะท้ายที่สุดไป๋ฮวยก็คอยช่วยเย่เชียนทางอ้อมมาโดยตลอดภายใต้ข้ออ้างของการแก้แค้น หากไป๋ฮวยไม่ยอมล่ะก็เย่เชียนไม่รู้เลยว่าชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
ดังที่หวงฟู่ชิงเตี๋ยนพูดถ้าเป็นไปได้อาจจะดีสำหรับไป๋ฮวยที่จะเข้าร่วมกองกำลังพิเศษของประเทศจีน
ในเวลานี้หวังฉิงเซิงเป็นคนที่ดีใจมากที่สุดเพราะเขาไม่เพียงแค่ประสบความสำเร็จในการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเย่เชียน,หยานซื่อฉุยและหวังหวานยู่เท่านั้นแต่เขายังได้รับตำแหน่งใหม่อีกด้วยเพราะเมื่อถึงเวลาเขาจะได้ครอบครองบัลลังก์ของหวังหว่านยู่อย่างง่ายดาย
เขาไม่รู้โดยธรรมชาติว่าหยานซื่อฉุยถูกเย่เชียนทำให้บาดเจ็บสาหัสและมีความขัดแย้งกับตู้ฟู่เหว่ยอย่างร้ายแรงแบบนี้ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสามฝ่ายนั้นก็ค่อนข้างที่จะซับซ้อนอย่างมาก
หวังหว่านยู่ราชาแห่งภาคตะวันตกเฉียงเหนือสามารถมีทุกวันนี้ได้นั้นก็เพราะการสนับสนุนของคนอื่นมาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะหยิ่งผยองแค่ไหนแต่เขาก็ไม่โง่พอที่จะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆเพราะเมื่อนึกถึงสิ่งที่เย่เชียนพูดครั้งสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องทำสิ่งต่างๆอย่างใจเย๋นเพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งของหวังหว่านยู่ แต่ทว่าหวังหว่านยู่นั้นก็ระวังไม่ให้สุนัขตัวนี้แว้งกัดเขาดังนั้นเขาจึงจงใจสั่งให้หวังฉิงเซิงไปส่งโอ่วหยางหมิงซวนกลับไปยังที่พักและจุดประสงค์ก็เพื่อดูปฏิกิริยาของหวังฉิงเซิงนั่นเอง
แน่นอนว่าตั้งแต่เขากลับมาหวังฉิงเซิงก็รู้สึกดีใจอย่างมากและที่มุมปากของเขาก็มักจะทำให้เกิดรอยยิ้มอย่างอธิบายไม่ถูก การแสดงออกแบบนั้นแน่นอนว่าหวังหว่านยู่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในดวงตาของเขา ซึ่งช่วงนี้หวังฉิงเซิงดูกระตือรือร้นในงานของเขาและแทบจะไม่ต้องสั่งเลยเพราะเขกระตือรือร้นที่จะทำสิ่งต่างๆเอง ซึ่งเขาพยายามถามทางอ้อมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมทั้งหมดจนหวังหว่านยู่เริ่มรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆว่าตระกูลโอ่วหยางคิดที่จะเลี้ยงสุนัขตัวใหม่อย่างหวังฉิงเซิงและนี่คือสิ่งที่หวังหว่านยู่ไม่สามารถทนได้เลย
ในตอนนี้หวังหว่านยู่สั่งให้ลูกน้องเรียกหวังฉิงเซิงไปที่ห้องของเขาและหวังหว่านยู่ก็แสดงรอยยิ้มที่พึงพอใจที่มุมปากของเขาและคิดอย่างลับๆ ‘อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ!’
เมื่อหวังฉิงเซิงได้ยินลูกน้องบอกว่าหวังหว่านยู่เรียกเขาให้ไปพบแล้วหวังฉิงเซิงก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็เดินไปหาหวังหว่านยู่แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “หัวหน้าเรียกผมมาแบบนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ?”
“ใช่” หวังหว่านยู่พูดต่อ “นั่งลงก่อน”
หวังฉิงเซิงก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดสำหรับการแสดงออกของหวังหว่านยู่และเขาก็งุนงงอย่างมากและเขาก็รู้สึกกังวลใจเพราะดูเหมือนว่าหวังหว่านยู่จะเริ่มสงสัยในเขาแล้ว ซึ่งเขาพยายามไม่ตกใจเพราะหากผิดพลาดอะไรล่ะก็ความพยายามที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเหล่า “ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นครับ?” หวังฉิงเซิงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อสงบสติอารมณ์เอาไว้
“ไม่มีอะไรหรอกแค่คุยกันเฉยๆ” หวังหว่านยู่หยิบบุหรี่ออกมาแล้วจุดไฟ จากนั้นก็ยื่นบุหรี่ให้หวังฉิงเซิงและพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเหมืองกราไฟต์..ไม่มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
“การก่อสร้างได้เริ่มไปแล้ว” หวังฉิงเซิงพูด “ผมเชื่อว่าจะมีผลลัพธ์ที่ดีในไม่ช้านี้และยอดขายก็ต้องมากขึ้นด้วยและอาจมีกำไรถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
หวังหว่านยู่ก็พยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “แกทำได้ดีเลยทีเดียวและมันไม่ไร้ประโยชน์เลยที่ฉันเลี้ยงแกมา” หลังจากหยุดwxชั่วขณะหวังหว่านยู่ก็พูดต่อ: “ฉลองกันหน่อย..แกรับใช้ฉันมานานหลายปีและถึงแม้ว่าฉันมักจะไม่ค่อยใส่ใจกับสิ่งที่พูดแต่มันอาจทำร้ายจิตใจของแกแต่แกควรรู้ว่าฉันก็เกลียดคนทรยศเพราะงั้นหากมีอะไรไม่พอใจฉันล่ะก็แกสามารถพูดออกมาดังๆอย่างตรงไปตรงมาได้เลยและฉันจะตระหนักไตร่ตรองเพื่อที่เราจะได้ทำงานร่วมกันได้ดีมากขึ้น”
“หัวหน้าก็พูดเกินไป..ผมจะไม่พอใจคุณได้ยังไง..ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานภายใต้การดูแลของคุณและถ้าไม่ใช่เพราะความกรุณาของหัวหน้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาล่ะก็ผมคงไม่สามารถเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้เลย..ความสำเร็จดังกล่าวผมรู้สึกขอบคุณหัวหน้าอย่างมาก” หวังฉิงเซิงพูดอย่างประจบประแจง
“ถ้าแกมีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะ” หวังหว่านยู่พูดด้วยรอยยิ้มและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาทัศนคติที่เป็นมิตรแต่กลับมีเจตนาฆ่าที่ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้เลย
“ถ้ามีอะไรผิดพลาดผมหวังว่าหัวหน้าจะไม่โกรธ” หวังฉิงเซิงพูด “อันที่จริงแล้วในใจของผมคิดมาเสมอว่าคุณคือผู้มีพระคุณและผมก็ไม่ต้องกังวลกับการทำสิ่งต่างๆภายใต้คำสั่งของคุณ..อย่างน้อยๆก็ไม่มีใครท้าทายพวกเราได้เพราะงั้นผมยินดีที่จะเป็นสุนัขรับใช้ของหัวหน้าไปตลอด”
แน่นอนว่าหวังหว่านยู่ไม่ได้จริงจังกับฉากเหล่านี้แต่เขาก็ยังหัวเราะอย่างมีความสุขและพูดว่า “จริงๆแล้วบางครั้งฉันก็ทำเกินไป แต่แกก็น่าจะเข้าใจฉันดีที่สุดเพราะทำทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเราและแกก็ควรรู้เอาไว้ด้วยว่าอย่าทรยศฉันไม่อย่างนั้นแกจะตายโดยไม่มีแม้แต่หลุมฝังศพ!”
หวังฉิงเซิงก็พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก หลังจากหยุดไปชั่วขณะหวังหว่านยู่ก็พูดต่อ “ครั้งสุดท้ายที่แกส่งนายน้อยโอ่วหยางกลับไปเขาได้พูดอะไรกับแกบ้างหรือเปล่า?”
“ก็ได้ๆ..ทั้งหมดนี่คือเรื่องจริง” หวังฉิงเซิงคิดอย่างลับๆแต่สีหน้าของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย นี่คือการแสดงออกที่อ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนเดิม “ผมไม่ได้พูดอะไรเลยแต่นายน้อยโอ่วหยางพูดเกี่ยวกับหัวหน้าแต่ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า”
“จริงเหรอ?” การแสดงออกของหวังหว่านยู่ดูเย็นชาและพูดว่า “เขาพูดว่าไงบ้าง?”
“หัวหน้าน่าจะรู้จักเขามากกว่าผมและนอกจากนี้สถานะของผมก็ยังต่ำต้อยเพราะงั้นผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรกับเขาหรอกครับ..เขาแค่บอกว่าคุณเป็นหัวหน้าที่ดีและถ้าติดตามคุณต่อไปผมก็จะได้ดี” หวังฉิงเซิงพูด
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันได้ยินมา” หวังหว่านยู่ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “มันเป็นเพราะฉันรู้จักนายน้อยโอ่วหยางดีกว่าแกเพราะงั้นเขาถึงได้บอกฉันเกี่ยวกับสิ่งที่แกพูด..เพราะงั้นฉันจะให้โอกาสแกได้พูดความจริงออกมาด้วยตัวเอง!”
หวังฉิงเซิงถึงกับตกใจและตระหนักถึงคำพูดของหวังหว่านยู่ในตอนนี้ ซึ่งไม่รู้เลยว่าเขาจะรู้รายละเอียดจริงๆหรือแค่ลองใจตัวเองเช่นนั้นแต่ในไม่ช้าหวังฉิงเซิงก็ตัดสินใจแสดงละครเสแสร้งอย่างรวดเร็วเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทางตื่นตระหนกบนใบหน้าของเขาแล้วพูดว่า “หัวหน้าครับอย่าเพิ่งเข้าใจผิด..ผมไม่รู้ว่าคุณไปได้ยินอะไรมาแต่ชีวิตของผมพร้อมที่จะรับใช้หัวหน้าและต่อให้แลกด้วยชีวิตก็ตาม!”
.
.
.