คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 841 ตระกูลอวี้กลายเป็นคลังเสบียงของผู้อื่น

ตอนที่ 841 ตระกูลอวี้กลายเป็นคลังเสบียงของผู้อื่น

ตอนที่ 841 ตระกูลอวี้กลายเป็นคลังเสบียงของผู้อื่น

……….

ตระกูลอวี้กลายเป็นคลังเสบียงของผู้อื่นอย่างนั้นหรือ

วาจาน่ากลัวอะไรเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร

อวี้เฉิงฉีมีลางสังหรณ์ไม่ดี มองไปยังฉินหลิวซี เห็นเฮยอู๋ฉังยืนอยู่ข้างนางด้วยท่าทางนอบน้อม ตกใจอยู่ในใจ จึงต้องระมัดระวังและนอบน้อมขึ้นมา ยกมือขึ้นประสานก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าอาวาสน้อย ไม่รู้ว่าคำของเจ้าอาวาสน้อยหมายความว่าอย่างไร”

เพื่อให้ทุกคนเห็นได้ชัดเจน นิ้วมีทำสัญลักษณ์ ชี้ไปยังรอยแยก “ดูเถิด ข้าบอกว่าพวกเจ้าเรียกหมาป่าเข้าบ้านหาเรื่องใส่ตัว ไม่ผิดอย่างแน่นอน ข้าไม่เคยเอ่ยโกหก”

ดังนั้นทั้งคนทั้งผีต่างมองไปตามทิศทางที่นิ้วนางชี้ มองเห็นภาพที่ทำให้คนรู้สึกเลือดจับตัวไม่อาจเคลื่อนไหว มึนงงขึ้นมาชั่วขณะ

“นี่ นี่คือ…”

อวี้ฉังคงยิ้มหยันเยือกเย็น

“นี่คือแสงทองแห่งกุศลและชะตาของตระกูลอวี้ของพวกเจ้า มองเห็นหรือไม่ ไหลออกไปเป็นเส้นสาย เอ่ยได้ว่า ไม่ว่าพวกเจ้าจะเสียสละลูกหลานผู้มีโชคชะตาไปมากเพียงใด ชะตาที่ได้มา สุดท้ายก็ต้องถูกขโมยไป” ฉินหลิวซีมองเหล่าผู้นำตระกูลอวี้อย่างถากถาง “พวกเจ้านี่นะ ใช้เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเอง ล่อเลี้ยงโชคชะตา จากนั้นส่งให้คนที่อยู่เบื้องหลัง ใจกว้างราวกับพระแม่อย่างพวกเจ้า ประหลาดใจ ตกใจหรือไม่”

“เป็นไปไม่ได้” เหล่าคนตระกูลอวี้ตาแดงชี้ไปยังผู้นำตระกูลอวี้ “เห็นอยู่ว่าเขาได้รับสิริมงคลมากมาย อีกทั้งโชคชะตาของตระกูลเรา…”

“พวกเจ้าเห็นโชคชะตาเป็นเช่นใดหรือไม่” ฉินหลิวซียิ้มเย็น “สำหรับเขาที่ได้รับสิริมงคลอายุขัย นี่จะมีอะไร วิชาสำเร็จแล้ว สิริมงคลของบุตรชายของเขามาอยู่ที่ตัวเขาทั้งหมด อย่างไรเขาก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ผู้สืบทอดอายุขัยของบุตรชาย รับความสิริมงคลนี้มาไว้ที่ตัวของตนเองก็ไม่แปลกนี่ แต่โชคชะตาของแบบนี้ ลึกลับซับซ้อน พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะตกมาเป็นของตระกูลอวี้ แม้แต่เขาที่ได้รับความสิริมงคลอายุขัยนี้ ตายก็ตายไม่ได้ แต่ก็ป่วยอยู่บ่อยๆ ใช่หรือไม่”

ผู้นำตระกูลอวี้เซล้มลงกับพื้น

เหล่าผู้อาวุโสในจวนเองก็ใบหน้าถอดสี โชคชะตาเป็นเช่นไร พวกเขาไม่รู้จริงๆ จะตกมาอยู่กับวงศ์ตระกูลหรือตกไปอยู่ในมือผู้อื่น เอ่ยตามตรง ฉินหลิวซีไม่เอ่ย ไหนเลยพวกเขาจะสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

“คนเลว เจ้าคนเลว” อวี้เสี่ยนเจิ้งที่อารมณ์ร้อนที่สุดโกรธจนอยากกลายเป็นผีร้าย กระโจนเข้าหาพลางดึงไม้เกาหลังออกมาจากด้านหลังตีออกไป

โอ้โห ตีกันแล้ว

ดวงตาของฉินหลิวซีสว่างไสวขึ้นมา แทบอยากเอาเมล็ดแตงโมขึ้นมาแทะนั่งชมละครสนุกๆ นางไม่ถามว่าไม้เกาหลังนั่นเอามาจากที่ใด มีสิ่งใดน่าถาม ไผ่หยกม่วง มีความแวววาวแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นของฝังร่วมกับศพของเขา

ยิ่งไม่ต้องถามว่าผีตีคนไยจึงตีได้ ถามก็คือเขาเป็นผีชรามากกว่าร้อยปี ทั้งยังมีบุญกุศลติดตัว พลังผีแค่นี้ไม่มี ตายเสียเปล่ามาหลายปีเพียงนี้ไม่ได้ไปเกิดใหม่

เหล่าผู้อาวุโสในตระกูลถูกทุบตีไม่อาจรักษาภาพลักษณ์ ร้องโอดโอยขึ้นมา

องครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังพวกเขามึนงงแล้ว แทบอยากมุดหนีลงไปในดิน

หวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูก อ่อนแอและน่าสงสาร

“บอกมา ผู้ใดริเริ่มความคิด เริ่มจากรุ่นของเจ้าเจ็ดของพวกเจ้า” อวี้เสี่ยนเจิ้งเอ่ยด้วยความโกรธ “แล้วนักพรตนอกรีตใดที่มาทำเรื่องเหลวไหลในตระกูลอวี้”

“เป็นพี่ใหญ่เรียกมาก่อนขอรับ เป็นชิงกู่จื่อของอารามเป่าหวา อิทธิฤทธิ์เต๋าสูงส่งลึกล้ำ มองออกถึงความเสื่อมถอยที่กำลังเสื่อมลงของตระกูลอวี้ของเรา ตอนนั้นหลังจากที่ท่านพ่อจากไป ตระกูลอวี้เผชิญกับเรื่องใหญ่หลายเรื่องจริงๆ” ผู้อาวุโสรองเอ่ยอยู่บนพื้น “นับตั้งแต่ต้าเฟิงก่อตั้งขึ้นมา อดีตฮ่องเต้ก็ไม่ชอบพอตระกูลอวี้ขึ้นมา ต่อให้พวกเรายินยอมรับใช้ แต่เขาก็ไม่ใช้ตระกูลอวี้ จากนั้นสตรีจากหลายตระกูลที่หมั้นหมายก็ตัดสัมพันธ์โดยไร้สาเหตุ ตอนนั้นร่างกายพี่ใหญ่ก็ไม่แข็งแรง จึงได้เกิดการปรับเปลี่ยนดวงชะตาขึ้นมา”

“เหลวไหลสิ้นดี ดอกไม้ไม่อาจแดงหนึ่งร้อยวัน กระทั่งแผ่นดินยังไม่อาจรุ่งเรืองยืนยาวไปเป็นหมื่นปี แล้วตระกูลตระกูลเดียวนั้นเล่า หากตระกูลหนึ่งเริ่มเสื่อมถอย เช่นนั้นควรหาต้นเหตุ เพราะลูกหลานไม่ได้เรื่องหรือเพราะการสั่งสอนไม่ถูกวิธี หากล้วนไม่สำเร็จเช่นนั้นชัดเจนว่าถึงเวลาจบสิ้น ไม่อาจฝืน เพียงคาถาอาคมเต๋าจะพลิกฟื้นกลับมาได้อย่างไร” อวี้เฉิงฉีเหลือบมองฉินหลิวซีเล็กน้อย คำนึงถึงหน้าของนางด้วย เอ่ยต่อ “ต่อให้สามารถพลิกฟื้นได้ นั่นคือการขัดขืนต่อลิขิตสวรรค์ เต๋ามุ่งในความยุติธรรม จะปล่อยให้พวกเจ้ายิ่งใหญ่เพียงผู้เดียวหรือ เจ้าถือในสิ่งที่ไม่ควร แน่นอนว่าต้องหาจากที่อื่นกลับมาเสริม และถูกหลอก นั่นคือบทลงโทษจากสวรรค์”

ฉินหลิวซีเอ่ยถาม “อวี้หมิงจังพามาเมื่อกี่ปีก่อน”

“เกือบสามสิบปีแล้ว” ผู้นำตระกูลอวี้เอ่ยด้วยใบหน้าซีดขาว

เริ่มเร็วเพียงนั้นเลยหรือ

ฉินหลิวซีครุ่นคิด

อวี้ฉังคงมองนางเล็กน้อย เอ่ยถาม “ต่อให้ลุงเจ็ดปรับเปลี่ยนโชคชะตา เช่นนั้นดวงวิญญาณสายเลือดของเขาเล่า”

ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปาก

“หรือเหมือนท่านพ่อของข้า เอาไปทำเป็นค่ายอาคมหรือ” ลมหายใจของเขาสะดุด

“พวกข้า พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใดกันแน่ เป็นไต้ซือผู้นั้นบอก ต้องโปรดสัตว์ มิเช่นนั้นพวกเขาจะมีความโกรธแค้นในใจ ทำให้ตระกูลอวี้ไม่สงบสุข…”

ผู้อาวุโสรองก้มหน้า ละอายใจไม่อาจเอ่ยต่อไปได้ คำแก้ตัวเช่นนี้ เขาเอ่ยเองยังรู้สึกยากจะเอ่ย

“เหลวไหล”

“ไร้สาระ”

“โง่เขลาอย่างกับหมู”

เหล่าบรรพบุรุษทุกรุ่นโกรธพร้อมชี้หน้าก่นด่า ข่วนสะเปะสะปะอยู่บนร่างกายของพวกเขา คนเช่นนี้มาเป็นลูกหลานของพวกเขา โกรธจนไม่อาจตายตาหลับได้

อวี้เฉิงฉีด่าจนไม่อยากด่าแล้ว เหนื่อยใจ เขาเพียงมองไปทางฉินหลิวซี เอ่ยถาม “เจ้าอาวาสน้อย ตระกูลอวี้ของข้าต้องติดกับดักไปกับคนโง่ไร้ยางอายพวกนี้หรือ”

“ถูกยึดเอาบุญกุศลและโชคชะตาไปนั่นแน่นอนอยู่แล้ว จะเป็นคนที่มีฉายานามว่าชิงกู่จื่อนั้นเอาไปหรือคนที่อยู่เบื้องหลังของเขาคงไม่อาจบอกได้ แต่เขาลงมือง่าย รังแกพวกเขาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว มีจุดหนึ่งก็คือการปรับดวงชะตาสำเร็จแล้ว โชคชะตาเกิดขึ้นสำเร็จอย่างแท้จริง แต่ถูกชิงไปก็เป็นเช่นเดียวกัน เท่ากับว่ามีสองวิชา” ฉินหลิวซีเอ่ย เดินไปยังสุสานใหญ่บรรพบุรุษตระกูลอวี้

เหล่าผู้คนและผีต่างเดินตามไป

อวี้ฉังคงเห็นผู้นำตระกูลอวี้ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น ดึงสายตากลับมาอย่างเยือกเย็น อุ้มเอาโลงศพเล็กเดินตามไป

มาถึงหน้าสุสานใหญ่ ฉินหลิวซียืนอยู่หน้าสุสาน มองสำรวจเล็กน้อย จากนั้นเริ่มเดิมอ้อม ขุดเอาของขึ้นมาจากบางตำแหน่ง หยก เครื่องราง หิน ไม้ รวมไปถึงยันต์สีเหลือง อีกทั้งยังมีคนของเล่นตัวเล็กหนึ่งตัว

ฉินหลิวซีเปิดยันต์สีเหลืองนั้นออก วิเคราะห์อย่างละเอียด เอ่ย “เป็นการบูชา” นางมองไปยังของที่กองอยู่บนพื้น เอ่ย “ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินครบแล้ว ตำแหน่งที่ฝังคือปัญจธาตุส่งเสริม บุญกุศลโชคลาภทั้งหมดจะรวมกันที่นี่ ใช้คนของเล่นเป็นสื่อกลางดึงมันออกไป”

นางถือคนของเล่นสำรวจให้ละเอียด เอ่ย “และคนของเล่นนี้ เต็มไปด้วยกระดูกและเลือดของมนุษย์ มันถูกฝังอยู่ใจกลางของค่ายอาคม ดึงไปพร้อมๆ กัน หมายความว่า การกราบไหว้ต่อบรรพบุรุษในยามปกติของพวกเจ้า ก็จะตกมาอยู่ที่คนของเล่นตัวนี้ ส่งไปยังคนนอก เขาเอาโชคลาภไป เอ่ยได้ว่าอย่างเปิดเผย อย่างไรก็เป็นพวกเจ้าที่เต็มใจกราบไหว้ด้วยตนเอง”

ดังนั้นเขาดูดพลังเย็นไป จนเย็นเข้ากระดูกไปแล้ว

ฉินหลิวซีครุ่นคิด ใช้แรงบีบ คนของเล่นไม่มีหัวใจถูกนางบีบแตก มียันต์เขียนวันเดือนปีเกิดร่วงออกมาหนึ่งแผ่น

นางนับนิ้วคำนวณดวงวันเกิดนี้ คนผู้นี้อายุแปดสิบแล้ว

“อึก” นักพรตเต๋าผู้อยู่หลังอารามเป่าหวาลืมตาขึ้น กุมหน้าท้องที่เจ็บปวด มุมปากมีเลือดไหลออกมา หันมองไปยังเทวรูปเทพที่ตนกราบไหว้ภายในถ้ำ เห็นประกายสีทองจางๆ เปล่งออกมา ต้องก้าวไปหยิบธูปกราบไหว้ จากนั้นกัดฟันออกจากปากถ้ำ

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset