บทที่ 967 งามที่สุดในแคว้น
……….
ซ่างกวานเยี่ยนกำชับให้พวกเขาช่วยกันจับตาดูเจ้าเด็กแฝดให้ดี หลังเห็นว่าเด็กๆ ออกอาการตกใจ
ขณะที่กู้เจียวกลับมองเจ้าสองหน่อที่นอนอยู่ในเปลอย่างกระตือรือร้นยิ่งกว่านกน้อยที่ตื่นเช้าเสียอีก พลางนึกในใจ นี่มันใช่อาการตกใจเสียที่ไหนกันละ
เรียกว่าดีใจออกนอกหน้ายังจะแม่นกว่า
“ข้าขอตัวไปค่ายทหารก่อนนะ” กู้เจียวกล่าว
เด็กแฝดได้ยินดังนั้นก็เริ่มเบะปากทันที
“ไม่เอา ไม่ร้องไห้นะ” กู้เจียวเอ่ยเบาๆ
พวกเขากลั้นน้ำตาไว้อย่างเชื่อฟัง
ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์อย่างอู๋ซื่อสี่ได้แต่เป็นกังวล คุณหนูกับนายน้อยเพิ่งจะอายุได้ห้าเดือนเอง ไยคนเป็นแม่ถึงไม่เอาใจใส่เลย ไม่เห็นหรือว่าลูกของตัวเองกำลังขวัญเสียอยู่น่ะ
ทว่ามีหรือที่กู้เจียวจะดูไม่ออก
ขวัญสงขวัญเสียอะไรกัน เจ้าเด็กพวกนี้แค่อยากทำตัวให้น่าสงสารก็เท่านั้นเอง
สงสัยสองเดือนที่ผ่านมาเจ้าแฝดเรียนรู้วิชาการละครจากในวังไปไม่น้อยเลยสินะ
กู้เจียวรีบตัดบท แล้วเดินทางไปยังค่ายทหาร
ช่วงที่นางกลับมายังแคว้นเจาเพื่อจัดการเรื่องงานแต่ง ค่ายทหารมีกองพลเพิ่มขึ้นห้าหมื่นนาย ส่วนเหวินเหรินชงและจ้าวเติงเฟิงยังคงประจำอยู่ที่ค่ายทหาร พวกเขาคือคนแรกๆ ที่รู้เรื่องที่กู้เจียวเป็นสตรี และเคยได้พบเจอกู้เจียวในร่างที่แท้จริงแล้ว
ยังมีหลี่เซินอีกคนที่รู้เรื่องนี้
ขณะที่คนอื่นๆ ยังไม่รู้
หลังจากหลี่เซินเสร็จจากออกรบ ก็เดินทางกลับไปเยี่ยมมารดาแก่ชราของเขาทันที ตามหลักแล้วเขาต้องเดินทางกลับไปแคว้นเจาพร้อมกันกับกู้เจียว แต่เขาเลือกที่จะอยู่ที่เซิ่งตูเพื่อดูแลมารดา
ทันทีที่กู้เจียวมาถึงหน้าค่าย หลี่เซินก็ควบม้าออกมาต้อนรับแขกทันที
วันนี้กู้เจียวปรากฏตัวในร่างสตรี สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวพร้อมทั้งผมมวยที่ถูกมัดอย่างเรียบง่าย ผ้าผูกผมและแขนเสื้อโบกสะบัดตามลมยามรุ่งอรุณ ให้ความรู้สึกสงบและเยือกเย็น
ค่ายทหารหาใช่สถานที่สำหรับสตรี
ขณะที่หลี่เซินเตรียมจะไล่แขกให้กลับ แต่ก็ดันสะดุดตากับใบหน้าอันคุ้นเคย
เป็นความคุ้นเคยที่งดงามยากจะบรรยาย เต็มไปด้วยความสดใสแบบสาวน้อย แต่ก็ไม่ขาดความองอาจแบบเด็กหนุ่ม ที่ทั้งดูโดดเด่นและไม่เหมือนใคร
หลี่เซินอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ทหารคนอื่นๆ ในค่ายที่เห็นภาพนี้ก็เช่นกัน
พลางคิดในใจ สตรีท่านนี้ เป็นคุณหนูจากตระกูลใดกัน
นี่คือนางฟ้าชัดๆ
ไยถึงมาปรากฏตัวหน้าค่ายทหารได้
“หลี่เซิน” กู้เจียวเอ่ยทักทายเขาขณะที่นั่งอยู่บนตัวเจ้าเฮยเฟิง
“เจ้า รู้ชื่อข้าได้อย่างไร” หลี่เซินผู้ซึ่งไม่เคยได้สดับเสียงที่แท้จริงของกู้เจียว จึงได้แต่จดจ้องอีกฝ่ายด้วยความสงสัยจนอดรู้สึกเสียมารยาทไม่ได้เพราะเขาเริ่มรู้ตัวเองว่าการจ้องสตรีนานๆ นั้นเป็นเรื่องมิควร
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงแปลกเสียงให้เป็นเสียงเด็กหนุ่มแบบที่อีกฝ่ายคุ้นเคย “ข้าเอง”
หลี่เซินตกใจสุดขีดจนร่วงลงจากหลังม้าหน้าคะมำลงกับพื้น!
น่ากลัวชะมัด ร่างเป็นหญิงสาว แต่น้ำเสียงเป็นผู้ชาย
แต่เอ๊ะ ไยเสียงนี้มันช่างคุ้นหูซะเหลือเกินล่ะ
เขารีบหันไปทางกู้เจียวอีกครั้ง
แต่คราวนี้สายตาของเขาหาได้จับจ้องไปที่ใบหน้าของกู้เจียว แต่เป็นเจ้าม้าที่นางขี่อยู่
“เจ้าเฮยเฟิง…” สีหน้าของเขาเจื่อนลงทันที ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนลูกตาขึ้นไปทางเจ้าของใบหน้าอันสะสวย “ท่านคือ…ผู้บัญชาการน้อยรึ”
ทหารที่อยู่รอบๆ ต่างพากันอ้าปากค้าง
อันที่จริง ข่าวลือที่ว่าผู้บัญชาการน้อยแท้จริงแล้วเป็นสตรีนั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งค่ายทหารเป็นเวลานานมาแล้ว แม้จะได้ข่าวมาอีกว่านางไม่มีปานบนใบหน้าแล้ว แต่พอได้มาเจอตัวเป็นๆ แบบนี้ก็อดสะพรึงมิได้เช่นกัน!
ผู้บัญชาการน้อยผู้น่าชัง ไยถึงกลายร่างเป็นนางฟ้าน้อยไปได้ล่ะ
การมาเยือนของกู้เจียวครั้งนี้ทำเอาทั้งค่ายทหารแตกตื่นกันไปหมด อย่าว่าแต่พวกทหารเลย ฝูงม้าในค่ายเองก็วุ่นวายไม่แพ้กัน
จากนั้น กู้เจียวก็สังเกตเห็นว่าค่ายทหารวันนี้เงียบกว่าปกติ ทุกคนเดินไม่ค่อยแข็งแรงและพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก เมื่อคืนฝนตก เช้านี้อากาศไม่ร้อน แต่ใบหน้าของทุกคนกลับแดงระเรื่อ
“เอ๋” กู้เจียวอุทานด้วยความสงสัยพร้อมกับเอียงศีรษะ
…
ที่กู้เจียวมาค่ายทหารในวันนี้ หนึ่งก็เพื่อมาเยี่ยมเยียนสหายเก่า สองคือมาจัดกองพลเพื่อเตรียมบุกสำนักถัง
แล้วเรื่องชวนให้ประหลาดใจก็เกิดขึ้น
กู้เจียวต้องการกองพลแค่สามพันนายเท่านั้น จึงให้ผู้บังคับบัญชาคัดเลือกมาตามจำนวนที่ต้องการ
แต่พออมาดูอีกที ก็พบว่าพวกเขามีจำนวนมากกว่านั้น มากถึงห้าพันคนเลยทีเดียว
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ” กู้เจียวถามด้วยความสงสัย
จ้าวเติงเฟิง ผู้บัญชาการฝั่งซ้ายคนใหม่ได้ยินดังนั้นก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะตะโกน “กองพันที่สาม ยินดีอาสาออกรบ!”
ตามมาด้วยเสียงของเหวินเหรินชง “กองพันที่สอง ยินดีอาสาออกรบ!”
แค่ไปจัดการสำนักอันธพาลแค่นี้ ถึงกับต้องใช้กองกำลังจำนวนห้าหมื่นนายเลยรึ
กู้เจียวกระพริบตาปริบๆ ก่อนถาม “พวกเจ้าอยากบุกโจมตีสำนักถังขนาดนั้นเชียว”
“ขอรับ!”
ทุกคนยืดหลังตรงแล้วเอ่ยพร้อมกันด้วยเสียงอันดังกึกก้องอย่างเป็นเอกฉันท์!
“เอาละ เข้าใจแล้ว ในเมื่อพวกเจ้าต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้ ระหว่างทางอย่าลืมหาที่กบดานของพวกโจรแล้วทำลายทิ้งด้วยล่ะ พวกมันจะได้ไม่ไปรังแกราษฎรอีก”
“ท่านผู้บัญชาการน้อย เราออกเดินทางเมื่อไหร่ดีขอรับ” เฉิงฟู่กุ้ยถาม
“รอคำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่”
เฉิงฟู่กุ้ยทำหน้าฉงน “ไยต้องรอแม่ทัพใหญ่…ท่านผู้บัญชาการน้อยจะไม่ไปหรือ”
กู้เจียวตอบด้วยท่าทีจริงจัง “ข้าไม่ไปหรอก ยังมีธุระต้องจัดการที่เกาะอั้นเย่อีก ข้ากะว่าจะมาคัดกองพันสักจำนวนหนึ่งให้ติดตามข้าไปด้วย แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากไปทลายรังโจรขนาดนั้น เช่นนั้นข้าไปคัดเลือกผู้ติดตามกับที่หน่วยเงามืดดีกว่า”
เฉิงฟู่กุ้ยฟังจบก็อึ้งทันที
อุตส่าห์เสียเวลาเตรียมการตั้งนาน สรุปแล้วผู้บัญชาการน้อยไม่ได้ไปกับพวกเขาหรือนี่
แม่ทัพใหญ่ไม่ได้หน้าตาดีเหมือนกับผู้บัญชาการน้อยนี่นา
ท่านผู้บัญชาการน้อยออกจะน่ารักน่าเอ็นดู!
ทหารห้าหมื่นนายต่างพากันร้องโหยหวนด้วยความทรมาน!
…
กู้เจียวและเซียวเหิงมาอยู่ที่เซิ่งตูเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน
ระหว่างนั้นพวกเขาได้ไปเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายของพวกเขา ทั้งเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนฉงและอาจารย์หวู่ รวมถึงเพื่อนร่วมห้องของพวกเขา
ทุกคนไม่อยากเชื่อว่าเซียวลิ่วหลังผู้กล้าหาญยิ่งกว่าชายหนุ่มคนใด จะเป็นผู้หญิง แถมยังงดงามดุจดอกไม้
“ปานบนหน้าอันนั้นเจ้าจงใจวาดมันขึ้นมาเองใช่ไหมล่ะ เพื่อที่จะได้ปลอมตัวเป็นผู้ชาย” มู่ชวนถามขณะที่จับจ้องไปยังใบหน้าของนาง
โดยมีหยวนเซียวและจ้าวเวยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตามเคย
สหายที่เคยร่วมแข่งตีคลีด้วยกันล้วนอยู่กันพร้อมหน้า เว้นเสียแต่มู่ชิงเฉิน
“เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ย่อมได้”
กู้เจียวคิดในใจ คงไม่ต้องให้อธิบายหมดเปลือกหรอกจริงไหม
ขณะเดียวกัน ทั้งหยวนเซียวและจ้าวเวยต่างก็ออกอาการกระอักกระอ่วน เหตุผลหาใช่เรื่องอื่น แต่เป็นเพราะพวกเขาเคยพาเซียวลิ่วหลังไปเที่ยวที่หอนางโลม
พอมาคิดๆ ดูแล้ว ตอนนั้นพวกเขาเคยทำตัวเหลวแหลกมากขนาดนี้เชียว
“อะแฮ่ม” จ้าวเวยพยายามหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศแปลกไปมากกว่านี้ “ได้ยินว่าจงติ่งกลับแคว้นจ้าวไปแล้ว ส่วนโจวถงย้ายที่เรียน พอเจ้าไม่ได้มาเข้าเรียน ท่านชายชิงเฉินเองก็ไม่มาเรียนด้วยเช่นกัน”
“ก็พี่สี่ของข้าเขาไปออกรบ ใช่ไหมล่ะลิ่วหลัง!” มู่ชวนหัวเราะ เขาสะดวกที่จะเรียกกู้เจียวว่าลิ่วหลังมากกว่า
“ใช่แล้ว พวกเราอยู่ที่ชายแดนตั้งหลายเดือน” กู้เจียวพยักหน้า
“สงครามก็จบแล้ว ไม่ยักกะเห็นเขากลับมาเรียนหนังสือ” จ้าวเวยถอนหายใจ “ข้าน่ะ เวลาเดินผ่านห้องหมิงซินแล้วเห็นว่าที่นั่งที่พวกเจ้าสองคนเคยนั่งนั้นไม่มีใครนั่งเลย เพื่อนร่วมชั้นในห้องหมิงซินต่างก็เก็บที่นั่งไว้ให้พวกเจ้า แต่ต่อไปนี้…พวกเจ้าคงจะไม่กลับมาเรียนอีกแล้วใช่ไหม”
ความรู้สึกเศร้าเริ่มจุกอยู่ที่กลางอกพวกเขา
หยวนเซียวเอ่ยเสริม “นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยแข่งตีคลีด้วยกันเนอะ ราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวาน จำตอนที่แข่งกับพวกวัดเส้าหลินได้ไหม ที่ตอนนั้นพวกมันทำมู่ชวนแขนหัก ยังดีที่มีเซียวลิ่วหลังช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเราได้กลายเป็นคนพิการไปแล้วแน่ๆ แพ้ชนะไม่สำคัญ แต่สุขภาพนั้นเรื่องใหญ่”
มู่ชวนหัวเราะขึ้นทันที “ลิ่วหลังจงใจออมมือให้พวกสำนักบัณฑิตเจียหนานชนะ เพื่อจะได้ทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงสำหรับอันดับสอง แล้วก็ตามคาด พวกเราได้ที่สอง แต่เสียดายที่ข้าดันเรื่องมากไปขอแลกกับรางวัลกับพวกเจียหนานเฉยเลย”
จ้าวเวยส่งสายตาเอือมระอาให้เขา “ที่แท้เจ้ารู้อยู่แต่แรกนี่ว่าลิ่วหลังอยากได้ทองคำ”
“เปล่า เรื่องนั้นข้าเพิ่งมารู้ทีหลังต่างหากล่ะ” มู่ชวนตอบ
“รางวัลนั้นมันคือทองหนึ่งพันตำลึงต่างหาก ไม่ใช่สองหมื่นตำลึง อย่ามาพูดมั่วๆ สิ” หยวนเซียวเสริม
กู้เจียวยกมือกอดอก แล้วส่งสายตาอาฆาตไปที่มู่ชวน “ข้าละอยากชกเจ้าจริงๆ ”
มู่ชวน “…”
“สุรามาแล้ว มาดื่มกันเถิด!”
ทันใดนั้น อาจารย์หวู่เดินเข้ามาพร้อมกับสุราสองไห
จากนั้นก็แหวกวงเข้ามานั่งลงข้างกู้เจียว พร้อมกับพูด “สุราไหนี้ข้าอุตส่าห์ใช้เวลาบ่มยี่สิบปี ตอนที่เจ้าแต่งงาน ข้าไม่ได้มีโอกาสไปร่วมงานด้วย เอาละ งั้นวันนี้พวกเรามาฉลองกันเถอะ ไม่เมา ไม่กลับ!”
…
“เจ้า จะไม่เข้าไปดื่มด้วยกันจริงๆ รึ”
ณ ด้านนอกศาลาเย็น เจ้าสำนักเซิ่นเอ่ยถามกับมู่ชิงเฉิน
ขณะที่ด้านในศาลาเต็มไปด้วยเสียงเฮฮา
มู่ชิงเฉินได้แต่มองอยู่ห่างๆ ก่อนตอบไป “คงไม่ล่ะ”
ขออยู่แบบนี้ ไม่เข้าไปรบกวนจะดีกว่า
มู่ชวนที่ไม่ยอมวางมือจากไหเพราะกลัวมีคนมาแย่งก็กำลังเดินโซซัดโซเซไปรอบๆ ศาลา พร้อมกับพูกขึ้น “ลิ่วหลัง เจ้ารู้เรื่องนี้ไหม น้องสาวข้าน่ะ…ซูเสวี่ย…นาง…แต่งงานแล้วนะ!”
“นางคิดมาตลอดว่าเจ้าเป็นผู้ชาย…อยากแต่งกับเจ้า…แต่พี่สี่ของข้า…ก็ชอบเจ้าเหมือนกัน…ดูเจ้าสิ…ขนาดตอนเป็นผู้ชาย…ยังเสน่ห์แรงขนาดนี้…จนพี่น้องทะเลาะกัน…”
“เอ่อ…ไม่สิ…เจ้าเป็นผู้หญิง…ซูเสวี่ยรู้เรื่องแล้ว…นางร้องไห้ฟูมฟายเลยละ…แล้วก็เลยไปแต่งงานกับคนอื่น…”
“เจ้า เจ้า เจ้าน่ะ… เจ้าดื่มไปเยอะแล้ว… เลิกเอาไหสุราไปกอดไว้คนเดียวได้แล้ว…” จ้าวเวยที่เมาไม่แพ้กันเอ่ยขึ้น
“ไม่ให้…ไม่ให้หรอก…แน่จริงก็เข้ามา…แย่งสิ…” มู่ชวนแลบลิ้นใส่
ทุกคนต่างเมาล้มกันระเนระนาด
อาจารย์หวู่นอนแผ่อยู่บนพื้น โดยมีหัวของหยวนเซียวอยู่บนพุงของเขา
กู้เจียวผู้ซึ่งคอพับก่อนใครเพื่อน ได้แต่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะเงียบๆ
เจ้าสำนักกลับไปแล้ว
มู่ชิงเฉินยืนอยู่ใต้แสงจันทร์คนเดียวนิ่งๆ โดยไม่ละสายตาของเขาจากกู้เจียว
เมื่อเห็นว่ามู่ชวนกำลังจะเข้าไปเรียกกู้เจียวให้ดื่มต่อ ในที่สุดเขาก็เริ่มเคลิ่นไหว
เขากำหมัดแน่นพร้อมกับเดินตรงไปทางศาลาเย็น
ทว่าจู่ๆ ก็มีร่างปริศนาโผล่เข้สมาจากอีกทาง
ใครคนนั้นเข้ามาขวางมู่ชวนไว้ ก่อนที่ร่างของมู่ชวนก็หงายหลังล้มสลบไปในสภาพที่ยังคงกอดไหสุราไว้เหมือนเดิม
เขากระซิบข้างหูกู้เจียว “เจียวเจียว”
“หืม” กู้เจียวค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงพร้อมกับคลี่ยิ้มให้
“อาเหิง…”
“กลับบ้านกันเถอะ” เซียวเหิงกระซิบเบาๆ
“อุ้ม ข้า “กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรึ่มๆ
“ได้สิ” เซียวเหิงเอ่ยจบก็ช้อนร่างคนตรงหน้าขึ้นมาทันที
กู้เจียวเอนศีรษะพิงไปที่แผ่นอกของเขาราวกับลูกแมวน้อย
มู่ชิงเฉินที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างทำได้เพียงกำหมัดแน่น
ขณะเดียวกัน จู่ๆ มู่ชวนที่นอนอยู่บนพื้นก็เอ่ยขึ้น “ลิ่วหลัง…นี่อาจเป็น…ครั้งสุดท้าย…ที่เราจะได้…กินเหล้าด้วยกัน…ตระกูลมู่ของข้า…”
ตระกูลมู่กำลังจะล่มสลายแล้ว
ไม่มีอีกแล้วท่านชายมู่แห่งเซิ่งตู
แต่ก่อน นางเป็นบัณฑิตที่ไม่มีใครรู้จัก และทุกคนก็เอาแต่ดูถูกนาง ในขณะที่เขาเป็นท่านชายผู้สูงศักดิ์ของตระกูลมู่ ทุกคนล้วนอยากจะประจบประแจงเขา
ผ่านมาแค่สองปี เขากำลังจะกลายเป็นนักโทษ ขณะที่นางกลายเป็นผู้บัญชาการน้อย รวมถึงได้เป็นว่าที่หวงจื่อเฟย
เขาแหงนหน้ามองดวงจันทร์ หัวเราะทั้งน้ำตา “ชีวิตคนเรา…ช่างผันผวน…ไม่มีอะไรแน่นอน…พวกเรา…จะไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม…”
เซียวเหิงหยุดฝีเท้าชั่วขณะ ลดศีรษะลงแล้วมองไปยังร่างเล็กในอ้อมแขนของเขาผู้ซึ่งไม่ได้ยินสิ่งที่มู่ชวนเอ่ย ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่หันหลังกลับ