สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 965 เหลี่ยวเฉินชิงเฟิงเลี้ยงเด็ก (ฉบับฝาแฝด)

บทที่ 965 เหลี่ยวเฉินชิงเฟิงเลี้ยงเด็ก (ฉบับฝาแฝด)

บทที่ 965 เหลี่ยวเฉินชิงเฟิงเลี้ยงเด็ก (ฉบับฝาแฝด)

……….

หลังจากตกตะลึงกันอย่างหนัก ทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ทอดมองไปบนฟ้าเป็นอย่างแรก จากนั้นก็มองไปรอบๆ

เนื่องจากนักบวชชิงเฟิงมีเป้าหมายจะสังหารเหลี่ยวเฉินแต่แรก เพื่อไม่ให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไปด้วย เขาจึงสะกดรอยตามมาตลอดทาง จนกระทั่งออกจากเมืองชั้นใน มายังชานเมืองร้างผู้คนแห่งนี้จึงได้ลงมือกับเหลี่ยวเฉิน

ที่นี่ไร้บ้านเรือนผู้คนในรัศมีสิบลี้ไม่พอ ยังมีคนมาที่นี่น้อยมากด้วย

“เจ้าหนู…มาได้อย่างไร” นักบวชชิงเฟิงถามอย่างฉงน

เหลี่ยวเฉินเหลือบตาขึ้นมองจันทร์กระจ่าง ดวงตาดอกท้อทรงเสน่ห์มีความงุนงงวาบผ่าน เขายกมือขึ้นชี้ไปยังฟากฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต “เหมือนจะร่วงลงมาจากฟ้านะ”

“เป็นไปได้อย่างไร” นักบวชชิงเฟิงเอ่ยนิ่งๆ

มีดหล่นลงมาจากฟ้าแต่ไม่มีทางที่จะมีเด็กหล่นลงมาได้

เขาอุ้มเด็กลุกขึ้นยืน

“เจ้าจะทำอะไร” เหลี่ยวเฉินถามเขา

เขามองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง “เมื่อครู่นี้จะต้องมีคนมาแน่”

เอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็ไม่สนใจเหลี่ยวเฉินอีก หมายจะอุ้มเด็กไปหาแถวๆ นี้ ไหนเลยจะรู้กลับถูกเหลี่ยวเฉินเรียกไว้

“เจ้าจมูกวัว” เหลี่ยวเฉินเลิกคิ้วปรายตามองท่าอุ้มเด็กของเขา “เด็กไม่ได้อุ้มกันแบบนั้น”

นักบวชชิงเฟิงมองท่าอุ้มเด็กของตัวเอง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผิดตรงไหน

เหลี่ยวเฉินแขวะ “เจ้ากำลังหอบตำราอยู่หรือไร มีใครเขาอุ้มเด็กโดยใช้สองแขนหนีบบ้าง”

เซียวฉงที่โดนหนีบ ใบหน้าน้อยๆ มีแต่ความหมดอาลัยตายอยาก ราวกับกำลังฟ้องว่าตนไม่พอใจ

หน้าตาดุจเทพเซียน ไยฝีมือการอุ้มเด็กจึงได้เละเทะปานนี้

นักบวชชิงเฟิงปฏิเสธที่จะรับสายตาเดียดฉันท์ของเซียวฉง แต่ก็ยังถามเหลี่ยวเฉินอยู่ดี “แล้วต้องอุ้มอย่างไรเล่า”

เหลี่ยวเฉินมองเขาอย่างคาดไม่ถึง ถอนใจเอ่ย “นักบวชหนอนักบวช ไม่รู้ว่าเจ้าโตมาอย่างไร”

ทั้งจำหน้าคนไม่ได้ ทั้งหลงทางเก่ง นี่ยังอุ้มเด็กไม่เป็นอีก

เขาจุ๊ปาก ลุกขึ้นยืนนิ่งๆ ท่ามกลางไอสังหารแข็งแกร่งของนักบวชชิงเฟิง ก่อนจะสาธิตให้ดู “ดูให้ดีล่ะ เด็กเล็กขนาดนี้ต้องอุ้มนอนให้มาก”

เขาแขนยาว ฝ่ามือก็ใหญ่ ใช้เพียงข้างเดียวก็โอบเซียวเยียนได้มั่นคงแล้ว

เซียวเยียนนอนอยู่ในข้อพับแขนเขา อิงแอบแผ่นอกหนั่นแน่นระคนอบอุ่นของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่หนักแน่นมีเรี่ยวแรงไม่ต่างจากท่านพ่อ สัมผัสถึงความปลอดภัยที่ไม่ต่อต้าน

“แอ้~” เซียวเยียนยิ้มให้เหลี่ยวเฉิน

เหลี่ยวเฉินยักคิ้วอย่างลำพอง มองเซียวเยียน แล้วหันมองนักบวชชิงเฟิง “เห็นแล้วกระมัง เจ้าอุ้มให้เด็กสบาย เด็กจึงยิ้มให้เจ้า”

นักบวชชิงเฟิงขาดประสบการณ์การเลี้ยงเด็ก สังเกตอยู่พักหนึ่งจึงพอจะเรียนรู้ท่าอุ้มแบบเดียวกับเหลี่ยวเฉินเป็น

“เหตุใดเขายังไม่ยิ้มอีกเล่า” นักบวชชิงเฟิงมองเซียวฉงผู้เย็นชา ก่อนขมวดคิ้วมุ่น

เหลี่ยวเฉินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ย “อาจเพราะเขาไม่ชอบเจ้า”

จะชอบหรือไม่ล้วนไม่เป็นไร แต่ครานี้เอ่ยออกมาจากปากเหลี่ยวเฉิน มันจึงทำให้เขาอยากฆ่าอีกฝ่ายเป็นพิเศษ

“ยังจะสู้หรือไม่ล่ะ” เหลี่ยวเฉินยิ้มแย้มถาม

หากว่ากันเรื่องฝีมือกวนบาทา เหลี่ยวเฉินสูสีกันกับเซวียนผิงโหวเลยทีเดียว

นักบวชชิงเฟิงส่งสายตาคมกริบดุจมีดไปให้เขาอย่างเย็นชา ก่อนหันไปหาบุคคลลึกลับที่ส่งเด็กมาที่นี่

ทว่าเขาหาแถวๆ นี้จนทั่วแล้ว แม้แต่เงาคนแปลกหน้าสักคนก็ไม่เห็น

เหลี่ยวเฉินไม่ได้เสียเวลา เขานั่งอยู่ที่เดิม หยอกเย้าเจ้าตัวเล็กในอ้อมอก

เจ้าหนูน้อยโดนหยอกก็หัวเราะ สนุกสนานยิ่งนัก

เห็นนักบวชชิงเฟิงกลับมามือเปล่า เขาก็ไม่แปลกใจ

หากเด็กไม่ร่วงลงมาจากฟ้า แต่มีผู้ใดโยนให้พวกเขาจริง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้เพื่อจุดประสงค์ใด ตอนที่อีกฝ่ายมาพวกเขาสองคนกลับไม่เห็น ตอนจากไปย่อมไล่ตามไม่ได้อยู่ดี

เหลี่ยวเฉินมองกล่องใบน้อยบนพื้น เอ่ย “แทนที่เจ้าจะตามหา ไม่สู้ไปดูกล่องใบนี้ดีกว่า เหมือนว่ามันจะหล่นลงมาพร้อมกับเด็กสองคนนี้นะ”

เหลี่ยวเฉินเห็นเขาเป่าตะบันไฟอยู่เหนือหัวเจ้าหนูน้อย ก็ขมวดคิ้ว “เฮ้ย เจ้าระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็เผาเด็กเอาหรอก!”

นักบวชชิงเฟิงชะงักงัน “อ้อ”

เขาหันหลัง เปลี่ยนที่เป่าตะบันไฟ

ร่างน้อยๆ ของเซียวฉงยังสั่นไปด้วย ราวกับสัมผัสได้ว่าผู้ใหญ่คนนี้อันตรายเกินไป

“ช่างเถิด ข้าทำเอง” เหลี่ยวเฉินลุกขึ้นเดินไปหา คว้าตะบันไฟจากมือเขามา เดิมเขาเคยเลี้ยงจิ้งคงมาก่อน จิ้งคงคนเดียวยิ่งกว่าเด็กสิบคน คิดถ้วนๆ หน่อยเขาก็เป็นพ่อเด็กมาแล้วสิบคน

เขาอุ้มเด็กน้อยกับถือตะบันไฟไม่ขัดแย้งกันเลยแม้แต่น้อย

อาศัยแสงไฟส่องสว่าง ทั้งคู่จึงมองเห็นลักษณะของกล่องได้ชัด

“ก็แค่กล่องธรรมดาๆ ” นักบวชชิงเฟิงเอ่ย

ตรงนี้ไม่สะอาดสะอ้านเท่าห้องลับของตำหนักกั๋วซือ

กล่องน้อยกระแทกเป็นฝุ่นฟุ้งตลบพื้น จึงสกปรกมอมแมม ทำเอาเหลี่ยวเฉินจำมันไม่ได้ว่าเป็นกล่องของกู้เจียว

“ลองเปิดออกดู” เหลี่ยวเฉินเอ่ย

นักบวชชิงเฟิงใช้มืออีกข้างเปิดกล่อง

สิ่งที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นแล้ว กล่องที่ดูเหมือนของปลอมนี้ เปิดไม่ออกเลยด้วยซ้ำ

ต่อให้ใช้กำลังภายในด้วยก็เปิดไม่ได้

เหลี่ยวเฉินยื่นตะบันไฟให้นักบวชชิงเฟิง “เจ้าถือไว้ ข้าจะลองดู”

นักบวชชิงเฟิงไม่พอใจกับการกระทำนี้ของเหลี่ยวเฉิน “หรือเจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกว่าข้าล่ะ”

เหลี่ยวเฉินแค่นเสียงเฮอะเอ่ย “ข้าไม่ได้คิด แต่เป็นความจริงต่างหาก”

จากนั้นเหลี่ยวเฉินก็โดนตบหน้าดังเพียะๆ !

เขาแค่นเสียงเย็น “ไอ้กล่องเน่า!”

นักบวชชิงเฟิงเอ่ย “ตอนนี้เบาะแสสุดท้ายก็ไม่มีแล้วจริงๆ ”

“หืม” นักบวชชิงเฟิงมองไม่ออก

“ช่างเถิด ถามเจ้าไปก็เปล่าประโยชน์” เหลี่ยวเฉินเอ่ย “หาโรงเตี๊ยมสักหลังก่อนดีกว่า กลางคืนยุงเยอะ เจ้าไม่นอน แต่พวกเขาสองคนต้องการสถานที่ปลอดภัยนอนพัก”

“หรือจะแจ้งทางการกันดี” นักบวชชิงเฟิงเสนอความเห็น

เหลี่ยวเฉินถอนใจเอ่ย “ศาลาว่าการอยู่ไกลจากที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กเล็กขนาดนี้เอาไปส่งศาลาว่าการก็ไม่มีคนดูแลอยู่ดี”

นักบวชชิงเฟิงไม่มีอะไรจะพูด

เหลี่ยวเฉินเอ่ย “หากเจ้าไม่อยากไปโรงเตี๊ยม เอาเด็กมาให้ข้าก็ได้ ข้าไปคนเดียวได้”

นักบวชชิงเฟิงเอ่ยแทงใจดำ “เจ้าคิดจะใช้โอกาสนี้หนีอีกละสิ”

คราก่อนโยนเขาไว้ที่เซิ่งตู เขาหาอยู่ตั้งหลายเดือน ต่อมาก็โยนเขาไว้ที่แคว้นเจา เขาก็หาอยู่อีกตั้งหลายเดือน

ครานี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่มีทางหลงกลแล้ว

เหลี่ยวเฉินแบมือ “ตามใจเจ้า”

เอ่ยจบ เขาก็อุ้มเซียวเยียนเดินไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง เดินไปพลาง ก้มหน้าหยอกเซียวเยียนไปด้วย

เซียวเยียนถูกหยอกก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก

นักบวชชิงเฟิงขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงมองเจ้าหนูน้อยในอ้อมอกตัวเอง ก่อนเอ่ยอย่างค่อนข้างไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าไม่ยิ้ม”

“เอากล่องไปด้วย” เขาทอดมองแผ่นหลังเหลี่ยวเฉินพลางเอ่ย “อีกเดี๋ยวอาจมีเบาะแสใหม่ก็ได้”

เหลี่ยวเฉินจำต้องย้อนกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ หอบกล่องใบน้อยขึ้นมา

ทั้งสองมาถึงถนนใหญ่

ที่นี่เป็นเมืองชั้นนอก แม้จะไม่คึกคักจอแจเท่าเมืองชั้นใน แต่ก็ครึกครื้นอยู่บ้าง

ภิกษุรูปงามคนหนึ่งกับนักบวชดุจเซียนอุ้มเด็กคู่หนึ่ง เดินเคียงกันอยู่ท่ามกลางฝูงชนเนืองแน่น เรียกความสนใจจากชาวบ้านนับไม่ถ้วน

ภิกษุกับนักบวชถูกกันด้วยรึ

ซ้ำยังเลี้ยงเด็กเล็กสองคนด้วย

นี่มันเรื่องมหัศจรรย์พรรค์ลึกอันลั่นฟ้าสะเทือนดินอะไรกันนี่

เหลี่ยวเฉินไม่สนว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร คนบางคนน่ะไม่แน่

ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงขั้นไล่ฆ่าเขามาตั้งหลายปี เพราะโดนเห็นของลับครั้งเดียวหรอก

เหลี่ยวเฉินหันหน้ามามองนักบวชบางคนที่แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง เขากลั้นขำไว้ เข้าไปในโรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างๆ

เขาหันมองนักบวชบางคนที่เดินตามมา “สองห้องรึ”

นักบวชชิงเฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าเลิกคิดไปได้เลย”

เหลี่ยวเฉินเอ่ยกับผู้ดูแล “ห้องชั้นดีหนึ่งห้อง”

ผู้ดูแลมองทั้งสองและเด็กในอ้อมแขนทั้งคู่อย่างนิ่งอึ้ง เนิ่นนานจึงได้หลุดจากภวังค์ “อ๊ะ ห้องชั้นดี มีขอรับ!”

เขาเรียกพนักงานมาพาทั้งคู่ไปที่ห้องเทียนจื่อชั้นดี

หลังจากเหลี่ยวเฉินเข้าไปในห้อง ก็วางกล่องน้อยมอมแมมลงบนโต๊ะ จากนั้นก็วางเจ้าหนูน้อยในอ้อมแขนลงบนที่นอนนุ่ม

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ เขาก็สาวเท้าเดินไปข้างนอก

“เจ้าจะไปไหน” นักบวชชิงเฟิงถามเสียงเย็น

เหลี่ยวเฉินหันกลับมามองเด็กสองคน ก่อนเอ่ย “ข้าจะไปหาอะไรให้พวกเขากิน วางใจได้ ข้าไม่หนีหรอกน่า”

นักบวชชิงเฟิงเอ่ย “เจ้ามันมีประวัติมาก่อน ความน่าเชื่อถือไม่ดี ข้าไม่เชื่อเจ้า”

เหลี่ยวเฉินเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าจะไปเองรึ”

นักบวชชิงเฟิงเอ่ยอย่างมีเหตุมีผล “ข้าไปแล้ว เจ้าก็ยังจะหนีอยู่ดี”

เหลี่ยวเฉินตบหน้าผาก “เช่นนั้นเจ้าว่าควรทำเช่นไร”

นักบวชชิงเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เอาป้ายคำสั่งเงามืดของเจ้าให้ข้า”

“ซี้ดดด” เหลี่ยวเฉินสูดหายใจลึก ป้ายคำสั่งเงามืดเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในตัวเขา ไม่มีทางมอบให้ผู้ใดง่ายๆ เด็ดขาด

แต่หากไม่ให้ คนผู้นี้จะตอแยอีก

“ช่างเถิด ช่างเถิก เอาไป” เหลี่ยวเฉินล้วงป้ายคำสั่งเงามืดออกจากอก โยนไปให้อีกฝ่าย

อีกฝ่ายรับได้อย่างสบายๆ “เอาละ ยามนี้เจ้าไปได้แล้ว”

เหลี่ยวเฉินส่ายหน้า ลงบันไดไปหาของกินที่ห้องครัว

เด็กน้อยสองคนดูเหมือนอายุราวๆ ห้าเดือน กินข้าวบดละเอียดๆ ได้แล้ว เขาไปห้องครัวให้คนต้มข้าวบดมาสองถ้วยน้อยๆ แล้วก็สั่งกับข้าวอร่อยๆ อีกสองสามอย่าง กำชับเสี่ยวเอ้อร์ว่าอีกเดี๋ยวเอาไปส่งที่ห้องชั้นดี

เขาใช้ถาดยกข้าวต้มขึ้นมาชั้นบน เพิ่งจะถึงหน้าประตู ก็เจอเข้ากับเซวียนหยวนฉีที่เดินมาจากสุดปลายทางเดินพอดี

สองพ่อลูกต่างตกใจ

“ท่านพ่อรึ”

“เจิงเอ๋อร์รึ”

เซวียนหยวนฉีออกนอกเมืองมาทำธุระ เพิ่งจะพบบุคคลสำคัญในห้องลับของโรงเตี๊ยมมา เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมาเจอลูกชายที่ไม่ได้พบหน้ากันนานที่นี่

“เจิงเอ๋อร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาถามอย่างประหลาดใจ สายตาตกลงบนถาดของเขา “อะไรน่ะ”

ไม่รอให้เหลี่ยวเฉินตอบ เสี่ยวเอ้อร์ก็หิ้วถังน้ำร้อนมาแล้ว เอ่ยกับเหลี่ยวเฉิน “ลูกค้าท่านนี้ น้ำร้อนที่ท่านกับลูกค้าอีกท่านต้องการ จะให้ข้าเอาไปส่งในห้องตอนนี้หรือไม่”

เซวียนหยวนฉีสะดุ้งโหยง “เจ้าเปิดห้องกับคนอื่นงั้นรึ”

ดูพูดเข้า… เหลี่ยวเฉินตบหน้าผาก “ท่านอย่าเข้าใจผิด เป็นนักบวชคนหนึ่ง”

เซวียนหยวนฉีสะดุ้งโหยงงอีกหน “เจ้าเปิดห้องกับ…นักบวช!?”

เหลี่ยวเฉินพยักเพยิดหน้าให้ดูข้าวบดสองถ้วยน้อยๆ ในถาดตน พลางเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เป็นเพราะเด็ก…”

เซวียนหยวนฉีสะดุ้งเป็นหนที่สาม “พวกเจ้า…มีแม้กระทั่งลูกแล้วรึ!!!”

“ท่านพ่อ!” เหลี่ยวเฉินหมดคำจะพูดแล้ว “ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่ท่านคิด!”

เพิ่งจะเอ่ยจบ นักบวชชิงเฟิงก็ถือป้ายคำสั่งเงามืดเดินออกมา

เซวียนหยวนฉีทนมองต่อไม่ได้แล้ว เห็นป้ายคำสั่งแผ่นนี้ เขาก็พลันเหมือนโดนสายฟ้าฟาด คำรามขึ้นทันที “เจ้ายกสมบัติตกทอดของตระกูลให้คนเขาแล้วรึ”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : สามีข้าคือขุนนางใหญ่ ชื่อภาษาอังกฤษ : The Grand Secretary's Pampered Wife ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง(偏方方) ในอนาคตเขาจะได้เป็น 'ขุนนางใหญ่' อย่างนั้น 'เจ้' คนนี้จะประคอง 'สามี' คนนี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันนั้นเอง! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม! จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้จียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เชียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ เพราะบุญคุณเชียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ แต่พราะ "ฝันบอกเหตุ' ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนหม่ได้รู้ว่าเขี้ยวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ยทั้งหลายเพื่อประคองเขาชื้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

Options

not work with dark mode
Reset