หลินเจิ้งเฉิงเหลือบตามองกลุ่มของเฉาเม่าที่อยู่หน้าประตู วาง ขวดกระเบื้องใบหนึ่งกลับลงไปบนชั้น เอ่ยกับเถ้าแก่ว่าคราวหน้าจะ มาใหม่ เถ้าแก่โบกมือ พูดจาระคายหูอย่างมากบอกว่า หากน้องหลิน ยังไม่มีเงินก็อย่ามาอีกเลย
หลินเจิ้งเฉิงเดินออกไปนอกประตู ถามว่า “มาหาข้าหรือ?”
แม่ทัพหนุ่มยื่นส่งร่มกระดาษน้ามันในมือให้กับหลินเจิ้งเฉิง ตน ใช ้ร่มคันเดียวกับสตรีที่อยู่ข้างกายได้พอดี ยิงธนูนัดเดียวได้นกสอง ตัว
หลินเจิ้งเฉิงไม่ได้เกรงใจ ยิ้มเอ่ยขอบคุณคนหนุ่มที่บนหลังมือ เต็มไปด้วยรอยแผลเป็ นรับร่มกระดาษน้ามันมา
เฉาเม่าควักตราทหารออกมาก่อน บอกกล่าวชื่อแซ่และสถานะ แม่ทัพอวี๋โจวของตนแล้วจึงอธิบายเสียงเบาว่า “ข้าผู้เป็ นแม่ทัพมี ภาระหน้าที่ติดตัว จาเป็ นต้องมาเยือนเขตอวี้จางและศูนย์ตัดต้นไม้ ด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง เชื่อว่าเจ้าศูนย์หลินน่าจะได้รับข่าวจากเบื้องบน แล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงกล่าวอย่างเฉยเมย “เชิญเดินเล่นได้ตามสบาย หรือ ว่าธรณีประตูสูงแค่นั้นของศูนย์ตัดต้นไม้จะขัดขวางไม่ให้แม่ทัพแห่ งอวี๋โจวมาเยือนได้ด้วย? หากจะบอกว่าแม่ทัพเฉาตั้งใจมาหาข้าเพื่อ
คุยธุระก็อย่าดีกว่า ข้าแค่จัดการเรื่องคนที่แอบตัดต้นไม้เท่านั้น เรื่อง อื่นๆ ในกองทัพ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ข้าล้วนไม่สน แล้วก็ไปควบคุม อะไรไม่ได้ด้วย”
พวกลูกน้องที่ติดตามมาด้านหลังของแม่ทัพอวี๋โจวต่างก็รู ้สึกว่า หลินเจิ้งเฉิงผู้นี้ไม่เสียแรงที่มาจากเมืองหลวง หมวกขุนนางไม่ใหญ่ แต่คาพูดคาจากลับวางโตยิ่งนัก
ขุนนางใหญ่ในจังหวัดแห่งหนึ่งยังไม่กล้าพูดจาแฝงคาเหน็บแนม ใส่แม่ทัพเฉาเช่นนี้เลย
เฉาเม่ายังคงมีความอดทนดีเยี่ยม “เชื่อว่าเจ้าศูนย์หลินน่าจะฟัง ความหมายของข้าผู้แซ่เฉาเข้าใจ เรื่องนี้สาคัญมาก มิอาจเกิด ข้อผิดพลาดได้แม้แต่น้อย ข้ายังหวังว่าเจ้าศูนย์หลินจะสามารถหา เวลาว่างสักเล็กน้อยมานั่งลงพูดคุยกัน”
หลินเจิ้งเฉิงยิ้มเอ่ย “แม่ทัพเฉาอาจจะเข้าใจผิด ศูนย์ตัดต้นไม้ แห่งนี้ไม่เหมือนกับที่ว่าการงานเตาเผาของฉู่โจวและส านักทอผ้าที่ อยู่ใกล้เคียง ภารกิจเรียบง่ายมาก ความหมายตามตัวอักษร ก็คือ รับผิดชอบจับคนที่ตัดไม้โดยพลการ วันหน้าหากที่ว่าการโชคดีไม่ ถูกรื้อทิ้ง อย่างมากสุดก็แค่คอยส่งไม้ขนาดใหญ่ไปให้เชื้อพระวงศ์ และกรมโยธาของราชสานักตามกาหนดเท่านั้น หากจะบอกว่าแม่ทัพ เฉามาเพื่อคุยเรื่องส่วนตัว ศาลบรรพชนในตระกูลหรือจวนพัก ต้องการไม้บางส่วนที่ทางศูนย์ตัดต้นไม้กาหนดให้เป็ นไม้ระดับรอง ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ในขอบเขตอานาจของขุนนางหลักอย่างข้าพอดี
สามารถเปิดประตูอ านวยความสะดวกให้แม่ทัพเฉาได้ ราคาก็พูดคุย กันได้ แค่จาไว้ว่าหลังจากนี้อย่าเอาไปบอกต่อคนอื่นก็พอ หาไม่แล้ว ข้าคงวางตัวได้ยาก ต่างก็บอกว่าการส่งข่าวเล็กๆ น้อยๆ ในวงการขุน นางมักจะได้ผลดียิ่งกว่าสานักรายงานข่าวของกรมกลาโหมเสมอ ขุนนางต าแหน่งเล็กเท่าเมล็ดงาในท้องถิ่นอย่างข้ามิอาจทนรับการ ร ้องเรียนจากหกฝ่ ายในเมืองหลวงได้ไหวหรอก แม่ทัพเฉาโปรดให้ อภัยด้วย”
เฉาเม่ารู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง พูดคุยสมาคมกับคนที่เข้าใจดีแต่ แสร ้งเลอะเลือนเช่นนี้ยากที่สุดแล้ว ภายนอกโอภาปราศรัย แต่ ภายในกลับตรงกันข้าม
ข้าปรึกษาเรื่องใหญ่ที่ฮ่องเต้จะปลอมตัวมาตรวจราชการลับกับ เจ้า เจ้ายกเอาเรื่องหยุมหยิมส่วนตัวพวกนี้มาพูดกับข้า เจ้าหลินเจิ้ง เฉิงจะสนใจมิตรภาพในวงการขุนนางกั แม่ทัพจากอวี๋โจวคนหนึ่ง จริงๆ อย่างนั้นหรือ?
เฉาเม่าจึงเปลี่ยนเรื่องคุย ยิ้มเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าทุกวันนี้เรื่อง ขโมยตัดต้นไม้ยุติได้แล้ว”
หลินเจิ้งเฉิงพยักหน้า “คาดว่าชื่อของศูนย์ตัดต้นไม้น่าจะข่มขู่ คนได้เป็ นอย่างดี”
การที่เฉาเม่ามีความอดทนมากขนาดนี้ก็เพราะในฐานะแม่ทัพ คนสนิทของซูเกาซานอดีตทูตลาดตระเวนของต้าหลี เมื่อเทียบกับ ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังแล้ว เฉาเม่ารู ้เรื่องวงในมากกว่า
แต่เกี่ยวกับขุนนางหลักคนแรกของศูนย์ตัดต้นไม้ที่อาพราง ตัวตนอย่างลึกล้าผู้นี้ อันที่จริงเฉาเม่ารู ้แค่สองเรื่องเท่านั้น แต่ก็มาก พอจะให้เฉาเม่าระวังแล้วระวังอีก
เรื่องแรกก็คือหลินเจิ้งเฉิงไม่ใช่คนของเมืองหลวงต้าหลี แต่มา จากถ้าสวรรค์หลีจู เขาเพิ่งย้ายไปอยู่เมืองหลวงในภายหลัง ถึงได้ไป ทางานอยู่ที่สานักรายงานข่าวของกรมกลาโหมนานหลายปี
ข้อที่สอง หลินเจิ้งเฉิงคือบิดาของหลินโส่วอี
ในกองโหราศาสตร ์ของเมืองหลวงต้าหลีมียอดฝีมือคนหนึ่งชื่อ ว่าหยวนเทียนเฟิง เก่งในเรื่องการประเมินและวิพากษ์วิจารณ์บุคคล มาก กับหลินโส่วอีผู้นี้เคยมีคาทานายประโยคหนึ่งบอกว่า “ก่อกาเนิด ร ้อยปี ” ผลคือหลินโส่วอีอายุสี่สิบกว่าปี ก็ได้เลื่อนเป็ นขอบเขต ก่อก าเนิดแล้ว
พูดผิดหรือ? หลินโส่วอีไม่ได้เลื่อนเป็ นก่อกาเนิดภายในอายุร ้อย ปีหรืออย่างไร?
แล้วก็มีพวกชอบสอดรู ้สอดเห็นถามว่าหลินโส่วอีจะเป็ นหยกดิบ ภายในร ้อยปีได้หรือไม่? หยวนเทียนเฟิงเพียงแค่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไร
ทุกวันนี้เฉาเม่ามีภูเขาที่พึ่งอย่างลับๆ ลูกหนึ่งอยู่ในราชสานัก แซ่เยี่ยน คือสุดยอดบุคคลผู้หนึ่ง หากจะบอกว่าราชสานักต้าหลี ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภา ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้ก็คือเงาของราช ส านักต้าหลี
เฉาเม่ารู ้มาจากบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นี้ว่า อันที่จริงฮ่องเต้ซ่งเหอให้ ความส าคัญกับหลินโส่วอีมาโดยตลอด ฝากความหวังไว้ให้กับผู้ฝึก ตนหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายตาราคนนี้มานานแล้ว ถึงขั้น ที่ว่ายินดีอบรมบ่มเพาะเขาอย่างตั้งใจให้กลายมาเป็ นเสาคานค้ายัน แคว้นในอนาคต ดังนั้นในอดีตถึงได้ตั้งใจให้หลินโส่วอีไปรับตาแหน่ง เป็ นหลางจงอยู่ในกองชิงลี่ฝ่ ายบวงสรวงของกรมพิธีการ อยู่ใน ตาแหน่งที่สูงศักดิ์แต่ได้กุมอานาจอย่างแท้จริงของราชสานักต้าหลีนี้ อีกทั้งได้สั่งสมประสบการณ์ในวงการขุนนางของเมืองหลวงอีกหลาย ปี ต่อให้ไม่เข้าร่วมการสอบเคอจวี่ มีประสบการณ์ในการเป็ นคนเฝ้ า ศาลของลาน้าใหญ่มาก่อน แล้วได้รับข้อยกเว้นให้เลื่อนขั้นเป็ นรอง เจ้ากรมพิธีการ ความเห็นต่างทางราชส านักก็ต้องมีไม่มากแน่ ใน อนาคตหากหลินโส่วอีได้รับสถานะวิญญูชนจากส านักศึกษา ถ้า อย่างนั้นรับตาแหน่งเจ้ากรมพิธีการไปตามสถานการณ์ที่เอื้ออานวย ก็ยิ่งเป็ นเรื่องที่น้ามาคลองก่อเกิด
ในอนาคตราชส านักต้าหลี กรมอาญามีจ้าวเหยา กรมพิธีการมี หลินโส่วอี บวกกับขุนนางคนอื่นๆ ที่ตอนนี้อายุยังน้อยอยู่ในช่วงฝึก ประสบการณ์ ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊จะยืนกันอยู่เต็มท้องพระโรง
ก่อกาเนิดหนุ่มที่อายุสี่สิบต้นๆ หากไม่เป็ นเพราะหลินโส่วอีมีชาติ กาเนิดจากสถานที่อัศจรรย์พันลึกอย่างถ้าสวรรค์หลีจู คนรุ่นเยาว์ที่ อายุพอๆ กันมีทั้งเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางหม่าขู่เสวียน กู้ช่าน…บ วกกับที่หลินโส่วอีชอบฝึกตนอย่างสงบ ก้มหน้าก้มตาศึกษาเล่าเรียน ถึงได้ทาให้หลินโส่วอีที่เดิมที่ควรดึงดูดสายตาคนมากกว่านี้มิได้รับ ชื่อเสียงที่คู่ควรกับตบะ และความรู ้ของเขา
หลินเจิ้งเฉิงไม่ได้เชื้อเชิญให้พวกเขาไปยังที่ว่าการนั่งลงดื่มน้า ชาร ้อนๆ ด้วยซ้า
เฉาเม่าเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องกลับไปมือเปล่า คิดว่าหากไม่ได้ จริงๆ ตนก็จะควักเงินตัวเองสั่งไม้ที่ถูกทางขุนนางของศูนย์ตัดต้นไม้ กาหนดว่าระดับไม่เข้าขั้นมาเป็ นการส่วนตัวสักชุดดีหรือไม่?
ได้เจอกับสตรียากจนที่เดินขายดอกซิ่งตามถนนอีกครั้ง พอเห็น พวกเฉาเม่าและหลินเจิ้งเฉิงที่เดินสวนมาด้านหน้า สตรีขายดอกไม้ก็ รีบหลบไปยืนอยู่ในมุมก าแพง แววตาของนางฉายความสงสัยใคร่รู ้ ไม่ได้มีแค่ความหวาดกลัวที่ชาวบ้านเจอขุนนาง คนจนเจอคนรวย มักจะมีเท่านั้น
แม่ทัพหนุ่มที่กางร่มยื่นร่มกระดาษน้ามันไปให้กับผู้ฝึกตนหญิงที่ อยู่ข้างกาย เขาเดินเร็วๆ ไปข้างหน้า สอบถามราคาจากเด็กสาวแล้ว ควักกระเป๋ าเงิน เอาเศษเงินก้อนสองสามก้อนออกมาเหมาดอกซิ่งทั้ง ตะกร ้า สตรีที่รับหน้าที่เป็ นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของอวี๋โจวยื่นร่ม กระดาษน้ามันกลับคืนให้เขา รับตะกร ้าดอกไม้มา นางเด็ดดอกซึ่ง
ดอกหนึ่งเหน็บไว้บนมวยผม แม่ทัพหนุ่มเอ่ยชมนางอย่างขัดเขิน สตรี รูปโฉมงดงามดุจดอกไม้ ค าหวานของบุรุษดุจดินโคลน
หลินเจิ้งเฉิ งพลันเป็ นฝ่ ายเปิ ดปากเอ่ยว่า “แม่ทัพเฉามี ความสัมพันธ ์ควันธูปกับทางภูเขาลั่วพั่วของอู่โจวหรือไม่?”
เฉาเม่าสีหน้าเป็ นปกติ “ในอดีตตอนอยู่ที่บ้านเกิดได้เจอกับเจ้า ขุนเขาเฉินที่ไปหาประสบการณ์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งหนึ่ง แต่ไม่ถือ ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกัน พอจะถือว่าไม่ตีกันก็ไม่ได้รู้จักกันได้อยู่ บ้าง หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก”
พวกคนที่อยู่ด้านหลังเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้เป็ นครั้งแรก แต่ละ คนตกตะลึงอยู่มากแม่ทัพเฉาของพวกเราใช ้ได้เลยนี่นา ถึงกับเป็ น คนรู้จักเก่าของอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น? ฟังจากความหมายแล้วเหมือน จะรู ้จักกันจากการ ‘ตีกัน?
หลินเจิ้งเฉิงไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เหล่าขุนนางของศูนย์ตัดต้นไม้ต่างก็รู ้ว่าในเดือนหนึ่งของปีใหม่ ปีนี้ อารมณ์ของเจ้าศูนย์หลินคล้ายจะไม่ค่อยดีนัก
บางทีอาจรู ้สึกว่าต าแหน่งขุนนางหลักของศูนย์ตัดต้นไม้เป็ นได้ ไม่ง่าย? แล้วก็คล้ายว่าจะรอคอยอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายไม่ได้พบ อารมณ์จึงดูอัดอั้นอยู่มาก
ปลายฤดูหนาวของปี ที่แล้ว ก่อนจะปิ ดด่านหลินโส่วอีได้ส่ง จดหมายลับฉบับหนึ่งมาที่ยอดเขาจี้เซ่อ เตือนเฉินผิงอันว่าในเดือน หนึ่งสามารถไปสวัสดีปีใหม่ที่ศูนย์ตัดต้นไม้ของเขตอวี้จางหงโจวได้
แล้วหลินโส่วอีก็ส่งจดหมายทางบ้านฉบับหนึ่งมาที่ศูนย์ตัดต้นไม้ บอกว่าตัวเองได้บอกกับเฉินผิงอันเรียบร ้อยแล้ว
ครั้งก่อนพ่อลูกที่ความสัมพันธ ์ห่างเหินกันอย่างยิ่งได้พูดคุยกัน สองสามประโยคอย่างที่หาได้ยาก จากการประเมินคร่าวๆ ของหลิน โส่วอี ปิดด่านครั้งนี้ยังมีช่องว่างที่ต้องใช ้เงินเทพเซียนอีกประมาณ หนึ่งร ้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชมาถมให้เต็ม
ตอนนั้นหลินเจิ้งเฉิงได้ยินจานวนนี้ก็ตีกลองถอนทัพทันที มาเจอ กับลูกอกตัญญูญที่เหมือนเป็ นสัตว์กลืนทองเช่นนี้ เขาก็ได้แต่รักษา ท่าที่ความรักของบิดาดุจขุนเขาเหมือนอย่างที่เคยเป็ นมา พอได้ยิน หลินโส่วอีบอกว่าได้ขอยืมเงินจากเฉินผิงอันมาอุดช่องว่างนั้นแล้ว หลินเจิ้งเฉิงก็เอ่ยกึ่งๆ หยอกล้อไปประโยคหนึ่งว่า ในเมื่อยืมเงินจาก เขาก็ไม่ต้องใช ้คืนแล้วแน่นอนว่าหลินโส่วอีไม่กล้าคิดเป็ นจริงเป็ นจัง
แต่อันที่จริงหลินเจิ้งเฉิงได้เตรียมของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งไว้ ให้กับผู้เยาว์บางคนเรียบร ้อยแล้ว ของชิ้นนี้จากการประเมินราคาของ บนภูเขามีราคาประมาณหนึ่งถึงสองร ้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช
นี่ก็คือหนึ่งในค่าตอบแทนจากการที่เขาเป็ นหุนเจ่อของเมืองเล็ก
สาหรับเจ้าขุนเขาหนุ่มที่ทุกวันนี้ทรัพย์สินกองทับถมกันสูงจน มองไม่เห็นกันแล้ว ของขวัญเช่นนี้บางทีอาจไม่นับเป็ นอะไรได้
ค่าตอบแทนอีกอย่างหนึ่งก็คือชุยฉานรับปากกับหลินเจิ้งเฉิงว่า ในอนาคตไม่ว่าผลส าเร็จในการฝึกตนของหลินโส่วอีเป็ นอย่างไรก็ ล้วนสามารถเป็ นขุนนางอยู่ในราชส านักต้าหลีได้ เป็ นขุนนางใหญ่ ประเภทที่ว่าสามารถสร ้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลทั้งยังทิ้งชื่อเสียงดี งามไว้ในประวัติศาสตร ์
หลินเจิ้งเฉิงที่คิดว่าตัวเองเป็ นบัณฑิตครึ่งตัว ทั้งยังทางานอยู่ใน ที่ว่าการผู้ตรวจการมานานหลายปี ให้ความสาคัญกับเรื่องนี้มาก
หลินโส่วอี นามรื่อซิน
อริยะมักแสวงหาในด้านหนึ่ง ครุ่นคิดหาหลักการเหตุผลเพื่อใต้ หล้า คนผู้หนึ่งรู ้ถึงความต่างของเกียรติยศและความอัปยศ แต่เลือกที่ จะอ่อนน้อมถ่อมตนดุจหุบเขาที่รองรับหมื่นสรรพสิ่ง เหตุการณ์ พัฒนาผลัดเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง จึงควรระวังแล้วระวังอีก
ชื่อและนามของหลินโส่วอีล้วนเป็ นราชครูชุยฉานที่ช่วยตั้งให้
คราวก่อนลู่เฉินทาหน้าหนามาเป็ นแขกที่ศูนย์ตัดต้นไม้ คาพูด เลอะเลือน ค าพูดเหลวไหล คาพูดล้อเล่น คาพูดไร ้น้าหนัก คาพูด รุนแรง คาพูดอย่างตรงไปตรงมา คาพูดที่ชัดเจนเหมือนให้ข้อสรุป แบบตอกปิดฝาโลง ทุกอย่างรวมอยู่ด้วยกัน ที่พูดมาก็ไม่ใช่น้อยๆ ใน ประโยคเหล่านั้นได้ซุกซ่อนประโยคหนึ่งที่ลู่เฉินบอกว่าผินเต้าขอ
ปากมากพูดสักหน่อยความหมายคร่าวๆ ก็คือบอกว่า เนื่องจากความ ล าเอียงของบิดาอย่างเขา หลินโส่วอีถึงได้พลาดโอกาสบางอย่างไป โอกาสบางอย่างไม่มีแล้วก็เหมือนกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือนทั้งร่าง เป็ นเหตุให้โชควาสนาเป็ นพรวนต่อจากนั้นหดหายไปด้วย แพ้หมด ทั้งกระดาน อีกทั้งสุดท้ายลู่เฉินยังพูดเสริมมาด้วยว่า ปีนั้นเขาตั้งแผง ดูดวงถือเป็ นการบอกเป็ นนัยแก่หลินเจิ้งเฉิงแล้ว ความหมายใน คาพูดนี้ก็คือ เพราะความดึงดันของเจ้าหลินเจิ้งเฉิงถึงได้ทาให้เรื่อง กลายมาเป็ นเช่นนี้ เป็ นเพราะเจ้าดื้อ แต่ผินเต้าจะมอบความ ปรารถนาดีเพิ่มเติมให้กับเจ้าและหลินโส่วอี! พวกเจ้าสองพ่อลูกจะไม่ รับน้าใจไม่ได้ เป็ นคนต้องมีมโนธรรมสักหน่อย ดังนั้นผินเต้ากินบ๊ะ จ่างของเจ้าไปแค่ไม่กี่ชิ้นจะเป็ นไรไป!
อันที่จริงหลินเจิ้งเฉิงฟังเข้าหูตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ว่าชั่ว ชีวิตนี้เขาหลินเจิ้งเฉิงอยู่ร่วมกับคนในสังคม อย่างมากก็แค่รู ้สึก เสียดายต่อบางคนต่อบางเรื่องเท่านั้น ไม่เคยมีคาว่าเสียใจภายหลัง
ส่วนหลินโส่วอีที่รู ้ความจริงข้อนี้แล้วจะรู ้สึกอย่างไร…เจ้าเป็ น บุตรชาย จะกล้าก่อกบฏใส่บิดาเจ้าอย่างนั้นหรือ?
เหตุผลคือเหตุผลนี้ อีกทั้งหลินเจิ้งเฉิงก็เข้มงวดกับลูกชายมา โดยตลอด แต่หากจะให้หลินเจิ้งเฉิงเป็ นฝ่ ายเปิดปากพูดเรื่องนี้ด้วย ตัวเอง อันที่จริงก็ไม่ง่ายเลย
อู๋ยวนที่เป็ นผู้ว่าจังหวัดฉู่โจวเป็ นฝ่ ายมาเยี่ยมเยือนเกาผิงเทพ อภิบาลเมืองประจ าจังหวัดด้วยตัวเอง
ในวงการขุนนางของหนึ่งจังหวัด ทั้งสองฝ่ ายถือว่ามีฐานะเท่า เทียมกัน
อู๋ยวนถอดชุดขุนนางออก แต่งชุดไปรเวทยืนอยู่นอกประตูใหญ่ ของศาลเทพอภิบาลเมือง
หน้าประตูแขวนกลอนคู่อักษรสีทองบนพื้นสีดาเอาไว้
ความคิดมืดด า ต่อให้เป็ นกลางวันก็ยังเจอผีร ้าย ข้าจะช่วยเจ้าได้ กี่ครั้ง? ค าพูดเจ้าในที่ลับ บนสวรรค์ดังดุจฟ้ าผ่า
ค าพูดและการกระท าสว่างชัดเจน ห้องมืดยังเห็นฟ้ าโปร่ง ไยต้อง มาจุดธูปที่นี่? ใจกล้าทาเรื่องไร ้ศีลธรรม เทพบนสวรรค์ก็ยังมองเห็น
เกาผิงเทพอภิบาลเมืองที่ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ ในวงการ ขุนนางย่อมไม่มีทางเผยตัวมาต้อนรับอู๋ยวน กลับเป็ นเด็กชายชุดสี ชาดคนหนึ่งที่กระโดดออกมาจากกระถางธูปวิ่งตุปัดตุเป๋ ออกไปจาก ศาล ปืนข้ามธรณีประตูสูงนั้นแล้ววิ่งตะบึงลงไปจากขั้นบันไดอย่าง รวดเร็ว คารวะอู๋ยวนอย่างนอบน้อม ปากเอ่ยเรียกว่าท่านผู้ว่า เอ่ย ถ้อยค าตามมารยาททานองว่าเป็ นเกียรติยิ่งนักที่ท่านมาเยือน จากนั้นก้มหัวเบี่ยงตัว ผายมือข้างหนึ่งออกมาค้างอยู่ในท่านั้น เดิน น าใต้เท้าอู่เข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองตลอดทาง
อู๋ยวนมาคุยเล่นกับเกาผิงเท่านั้น ไม่ได้มาเพราะเรื่องงาน จึง พูดคุยไปถึงเรื่องน่ าสนใจในวงการขุนเขาสายน้านอกฉู่ โจว ยกตัวอย่างเช่นว่าทุกวันนี้มีตาแหน่งเทพวารีที่สาคัญว่างกี่ตาแหน่ง
ทางฝั่งของราชสานักต้าหลียังคงปล่อยว่างไว้ตัดสินใจไม่ได้ ตอนนี้ที่ ลาน้าใหญ่ภาคกลางมีแค่ฉางชุนโหวกับหลินหลีป๋ อเท่านั้น จะมี “ท่านกง” ของลาน้าใหญ่คนหนึ่งเพิ่มมาหรือไม่ ทุกคนต่างก็สงสัย ใคร่รู ้ เหมือนอย่างลาน้าจี้ตู้ของอุตรกุรุทวีปก็มีหลิงหยวนกงกับ หลงถิงโหว นอกจากนี้ก็คือตาแหน่งเทพวารีแม่น้าเถี่ยฝูที่ว่างลง เพราะหยางฮวาได้เลื่อนขั้นรวมไปถึงเฉียนถังจ่างที่หลังจากเฉาหย่ง จากไป ตัวเลือกที่จะมารับตาแหน่งเหล่านี้จะเป็ นใคร ล้วนไม่ใช่เรื่อง เล็ก