“ไม่นะ! บ้าเอ๊ย! ถ้านายท่านตื่นอย่างสมบูรณ์ พวกเจ้าได้ตายหมดแน่!” มนุษย์หมอกดำที่จับแขนลู่เซิ่งแผดเสียง
“ไม่ต้องรอนานขนาดนั้นหรอก...”
ชายหัวล้านที่สวมเสื้อคลุมสีเทาลักษณะเหมือนซากศพแห้งเดินออกมาจากกลางป่า
“ยินดีที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง แอนดี้ นึกไม่ถึงผ่านไปพันปี พวกเราจะได้เจอกันในสถานการณ์แบบนี้ โชคชะตาช่างไม่แน่นอนจริงๆ…”
“เจ้านี่เอง! บาเนส…เลมีซุส!” มนุษย์หมอกดำรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
มันวูบไหวร่างมาขวางทางลู่เซิ่ง สองแขนรวมตัวเป็นดาบยาวสีดำที่เรียวยาวสองเล่มในพริบตา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มนุษย์ซากศพ
“เหลือแค่เจ้าคนเดียว แต่คิดจะขวางข้าเหรอ หรือควรบอกว่า…” มนุษย์ซากศพยกมือขวาขึ้น “เจ้าคิดว่าความแตกต่างระหว่างเจ้าอนัตตาเป็นเรื่องล้อเล่นหรือไง”
แขนที่ผ่ายผอมของเขาขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า เลือดสีแดงเข้มจำนวนมากไหลออกมาจากรูขุมขน
แขนที่ถูกเลือดปกคลุมข้างนั้นคว้าใส่มนุษย์หมอกดำแอนดี้อย่างรุนแรง
ฉัวะ!
มือเลือดทะลุมนุษย์หมอกดำได้อย่างง่ายดายเหมือนคมดาบ ก่อนจะตะปบใส่ลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง
ตูม!
ต้นไม้ต้นนั้นปรากฏช่องกลมขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายเมตรขึ้น ผงไม้และฝุ่นนับไม่ถ้วนกระจายเวียนว่อน
มนุษย์หมอกดำรวมตัวขึ้นอีกทางหนึ่ง เพิ่งจะคืนร่าง แอนดี้ก็คุกเข่าทรุดลงกับพื้น เอามือกุมช่องท้อง กระอักสิ่งที่เหมือนกับโคลนสีดำออกมาใส่พื้น
“มีแค่แกคนเดียวเหรอ” มนุษย์ซากศพบาเนสยิ้มพลางย่างเท้าเข้าหาลู่เซิ่ง “แถวนี้น่าจะยังมีคนอื่นซ่อนอยู่อีกใช่ไหม”
“หนี! รีบหนี!” แอนดี้ตะโกนขึ้นพร้อมกับโบกมือเสกควันดำสายหนึ่งใส่ลู่เซิ่ง
บาเนสก็โบกมือเช่นกัน ควันสีแดงกลุ่มหนึ่งเกี่ยวพันควันดำไว้ ทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกระหวัดกันแล้วกระแทกใส่เกราะอันแข็งแกร่งบนร่างที่สูงหกเมตรกว่าๆ ของลู่เซิ่งอย่างแรงเหมือนกระสุนปืนใหญ่
รอยยิ้มบนใบหน้าบาเนสจางหายไป เงยหน้ามองสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ที่เมื่อครู่ยังไม่มี
ความเศร้าสร้อยหากแต่ว่าฮึกเหิมของแอนดี้ที่อยู่ด้านข้างหยุดชะงักไปในพริบตา มองดูสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่สูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างงุนงง
ควันสีดำและแดงที่เหมือนกระสุนปืนใหญ่ส่งเสียงดังปุเบาๆ ตกลงบนขาท่อนปลายของลู่เซิ่ง ก่อนจะสลายไปเอง
“ฉันอยากถามมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” ลู่เซิ่งโน้มตัวลง ร่างใหญ่โตที่สูงขึ้นเก้าเมตรกว่าๆ มีหนามงอกขึ้นทั่วร่าง ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยเกราะหนามที่น่ากลัว
“เมื่อกี้นี้พวกแกพูดอะไรกัน”
หมอกดำนับไม่ถ้วนในป่า เข้าปกคลุมร่างของเขาอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับวังวน กลายเป็นเกราะที่หนากว่าเดิม
เขาที่ยาวไม่เท่ากันคู่หนึ่งยื่นออกมาจากศีรษะของลู่เซิ่ง แทงเกลียวขึ้นไป
แต่เมื่อพิจารณา จะเห็นว่าความจริงร่างกายของลู่เซิ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เพียงแต่ดูดซับหมอกนับไม่ถ้วนมาเกาะติดกับตัวเองท่านั้น
ถ้าไม่สนใจลวดลายสีแดงอ่อนที่ปรากฏบนผิวของเขา นี่ก็เป็นมนุษย์ยักษ์ที่กำยำล่ำสันจนไม่อาจบรรยายได้ตนหนึ่ง
บาเนสหน้ากระตุกอย่างรุนแรง
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเผ่นหนีโดยไม่ลังเล
ประสบการณ์มากกว่าพันปีบอกเขาว่า คำขู่มีแต่จะทำให้ตายเร็วกว่าเดิม! ตัวเขาเองเคยอาศัยชั่วพริบตาที่อีกฝ่ายพูดจาข่มขู่ ฆ่าคนโง่มาไม่รู้กี่คนต่อกี่คนแล้ว
แอนดี้ที่อยู่ด้านข้างมองลู่เซิ่งอย่างตกตะลึง
พรุ่บ!
ตัวเขาหมุนตัวจะหลบหนีโดยไม่รีรอเช่นกัน
ลู่เซิ่งยื่นสองมือออกมา วิชาสื่อวิญญาณที่อยู่แค่ในระดับเจ็ดอาศัยร่างกายนี้ปลดปล่อยวิชา
มือดำขนาดยักษ์สองข้างที่หนาห้าเมตรกว่าๆ รวมตัวกันปรากฏขึ้นในพริบตา แยกกันเป็นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาเจาะทะลุป่าไม้ผืนใหญ่เหมือนกับมังกรดำสองตัว แล้วหิ้วทั้งสองฝ่ายที่หลบหนีกลับมาใหม่
แม้จะเกิดการขัดขืนไม่น้อย แต่วิชาสื่อวิญญาณที่ปลดปล่อยพลังวิญญาณจากทั่วร่าง ก็มีอานุภาพเป็นหนึ่งร้อยกว่าเท่าของร่างธรรมดา
ต่อให้เป็นวิชาสื่อวิญญาณทั่วไป หากขยายอานุภาพขึ้นหนึ่งร้อยกว่าเท่า ก็จะกลายเป็นวิชาสื่อวิญญาณระดับสุดยอดหรือทำลายล้างได้เช่นกัน
ดังนั้น การขัดขืนจึงไม่มีความหมาย
ลู่เซิ่งจับพวกเขาไว้ในมือข้างละคนพร้อมกับก้มหน้าลงมอง
“เล่ามา พวกแกเป็นใคร มีความเป็นมายังไง และมีเป้าหมายอะไร ทำไมต้องมาตีกันใกล้ๆ ฉันด้วย”
“ฮ่าๆๆๆ!” มนุษย์ซากศพบาเนสไม่ตอบ หากเงยหน้าขึ้นหัวเราะ
“ดูเหมือนแกจะร้ายกาจมากนี่ ผู้สื่อวิญญาณที่อยู่ในระดับเดียวกับแกเกรงว่าจะมีจำนวนนิ้วงอนับได้ แต่แล้วจะอย่างไร!? ที่นี่คือเทือกเขาอันมีร์! เป็นดินแดนแห่งราชาเทพ! ราชาเทพตื่นขึ้นมาแล้ว! ร่างจริงของราชาเทพฝั่งพวกแกถูกพันธนาการไว้! ทุกอย่างสายเกินแก้แล้ว”
“บัดซบ! เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทางเร็วขนาดนี้หรอก! จะเป็นไปได้อย่างไร!” แอนดี้ที่อยู่ด้านข้างพยายามดิ้นรนให้หลุดจากการควบคุมของลู่เซิ่ง ทว่าก็ยังคงทำไม่ได้ ได้แต่บิดไปบิดมาในมือใหญ่สีดำอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น
“สถานการณ์ถูกกำหนดไว้แล้ว ให้ฉันใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเองเป็นการเปิดฉากให้แก่ชัยชนะในครั้งนี้ก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆ! ขอสังเวยชั่วนิรันดร์! แปลงพฤกษา!”
บาเนสพลันตะโกน จากนั้นร่างก็หลอมละลายกลายเป็นฝุ่นผงสีเทาจำนวนมาก โปรยปรายผ่านร่องนิ้วของลู่เซิ่ง
พรุ่บ
เพียงแค่พริบตาเดียว ลู่เซิ่งก็ยัดฝุ่นผงเข้าปากด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด ก่อนจะกลืนลงคอหลังจากเคี้ยวไม่กี่คำ
รยางค์สีดำสนิทนับไม่ถ้วนค่อยๆ งอกขึ้นจากพื้น เกี่ยวกระหวัดเข้ามาหาลู่เซิ่ง
แต่พอบาเนสถูกเขากิน รยางค์สีดำก็พากันจางลง ก่อนจะหายไปกลางอากาศในพริบตา
แอนดี้ที่อยู่ด้านข้างอ้าปากตาค้าง
“ถึงได้ถามอยู่นี่ไง ราชาเทพหมายถึงอะไรกันแน่”
ลู่เซิ่งเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ฉันไม่ชอบรสมะเขือหรอกนะ”
“ขะ…ขะ…ข้า…!” แอนดี้ไม่ทราบว่าจะตอบสนองอย่างไรโดยสิ้นเชิง
เพียงรู้สึกว่าประสบการณ์มากกว่าพันปีไม่มีประโยชน์อะไรเลย
…
ลูกแก้วคริสตัลที่อยู่บนโต๊ะระเบิดออกเป็นชิ้นๆ
ชิ้นส่วนที่แวววาวจำนวนมากกระจายเกลื่อนโต๊ะ เก้าอี้ และพื้น รวมถึงบนชั้นหนังสือใกล้ๆ
หวังจิ้งยืนอยู่ในห้องสมุดด้วยสีหน้าเย็นเยียบ มองดูผู้ชายคนหนึ่งที่กึ่งนั่งบนยอดหลังคาผ่านกระจก
“พวกแก…บังอาจ” หวังจิ้งข่มความโกรธในน้ำเสียงเอาไว้
เมื่อครู่นี้ ตอนเธอกำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหวังตงอยู่ ก็มีความบิดเบี้ยวไร้รูปร่างสายหนึ่งทำลายแก้วคริสตัลทิ้ง
พริบตาที่ลูกแก้วคริสตัลถูกทำลาย เธอก็รู้สึกได้ว่ามนุษย์หมอกดำที่ตนส่งไปลดลงถึงหนึ่งในสาม
น่าจะถูกทำลายไปพอประมาณแล้ว
อีกฝ่ายคำนวณความต่างของเวลาไว้ตั้งแต่แรก เพื่อไม่ให้เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไม่เจอกันนานเลยนะแบล็คมิสต์” ผู้ชายที่กึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้ามค่อยๆ ลุกขึ้น
เขาเหมือนกับคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่เตรียมจะไปงานเลี้ยงหลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว
เพียงแต่คนผู้นี้มีสีหน้าเย็นชา ต่อให้กำลังยิ้มอยู่ ก็ทำให้คนตัวสั่นระริก
“แพลทินัม…สการ์เล็ตล่ะ” หวังจิ้งกวาดตางามมองรอบๆ พร้อมขยายประสาทสัมผัสถึงขีดสุด
ในฐานะเทพแห่งการทำลายล้าง ระหว่างพวกเขาต่างมีคุณสมบัติทำลายล้าง ถ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะก่อให้เกิดผลเป็นตายร่วมกัน
แต่ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งกว่ามาก จะก่อให้เกิดผลกลืนกินอย่างง่ายๆ
“ร่างร่างนี้เป็นเพียงร่างแปลง แต่เจ้าวางใจเถอะ อีกเดี๋ยวสการ์เล็ตจะมาถึง…” ผู้ชายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เปิดเผยร่างจริงเร็วขนาดนี้…ดูเหมือนครั้งนี้พวกเราจะชนะแล้ว”
ดวงตาของหวังจิ้งเคร่งขรึมลง
“อย่างนั้นก็มาลองดูเถอะ ข้าสะกดพวกเจ้าได้หนึ่งครั้ง ก็สะกดได้สองครั้ง สามครั้ง”
“ทัพภัยพิบัติแห่งผลกรรมของเจ้าร้ายกาจจริงๆ แต่นั่นคือในสถานการณ์ที่สู้หนึ่งต่อหนึ่ง แต่ตอนนี้สู้หนึ่งต่อสอง…ลองดูเถอะ…” ชายตระกูลสูงศักดิ์ไม่วิจารณ์ ค่อยๆ ถอยหลังแล้วตีลังกาทิ้งตัวลงจากหลังคา
หวังจิ้งมองอีกฝ่ายจากไปอย่างเงียบๆ ไม่คิดจะลงมือ
เธอยกมือขึ้น บนข้อมือปรากฏตราประทับทรงขนมเปียกปูนจางๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ในตราประทับมีจันทร์ครึ่งดวงสามดวงจัดเรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ตรงกลางมีเส้นสายนับไม่ถ้วนยื่นออกมาพันธนาการจันทร์ครึ่งดวงเหมือนกับใยแมงมุม
การต่อสู้ระหว่างเทพแห่งการทำลายล้างเหมือนกับการวางหมาก หากใช้ร่างสมบูรณ์ของเธอสู้หนึ่งต่อหนึ่ง พลังจะเหนือกว่าเทพแห่งการทำลายล้างสองคนที่เหลือ
แต่ถ้าสองคนนั้นลงมือพร้อมกัน เธอจะสู้ไม่ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เทพแห่งการทำลายล้างมีร่างแปลงได้หลายร่าง หากหาร่างจริงของอีกฝ่ายไม่เจอ อย่างนั้นไม่ว่าจะฆ่าสักกี่ครั้งก็ไร้ความหมายอยู่ดี
“สงคราม…เริ่มแล้ว…”
หวังจิ้งทราบว่าความลับของตัวเองถูกเปิดเผยแล้ว แต่นั่นจะเป็นอย่างไร ต่อให้ทั้งสองคนนั้นกล้าร่วมมือกัน เธอก็ไม่กลัว
เพียงแต่ว่า แม้เธอจะแพ้ก็ไม่เป็นไร ทว่าทางฝั่งน้องชาย…
เปลวเพลิงอันล้ำลึกลุกไหม้ขึ้นในส่วนลึกดวงตาของเธอ
…
“นายท่าน เป็นเทพแห่งการทำลายล้าง!” แอนดี้นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าลู่เซิ่ง ตอบเสียงทุ้ม “นางมีสถานะหนึ่งก็คือพี่สาวของท่าน หวังจิ้ง”
ลู่เซิ่งลืมตาโตอย่างแปลกใจเล็กน้อย
เขาเดาได้มานานแล้วว่าพี่สาวยังมีสถานะอื่นอีก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกี่ยวพันกับเทพทำลายล้างที่อยู่ในระดับสูงสุดของโลกใบนี้
“ครั้งนี้ที่ท่านออกมา พวกเราเป็นคนแอบขับไล่สัตว์วิญญาณให้ เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเกิดเรื่อง เพียงแต่สิ่งที่พวกเรานึกไม่ถึงก็คือ ท่านซ่อนพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้เอาไว้”
พอพูดถึงตรงนี้ แอนดี้ก็อดใจเต้นระทึกไม่ได้
เจ้าอนัตตาที่อยู่ในระดับเดียวกับเขาผู้นั้นถูกยัดหายเข้าไปในปากแบบนี้
“อย่างนั้นก็ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งมองอีกฝ่าย “อย่างนั้นตอนนี้ล่ะ สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
แอนดี้อารมณ์หม่นหมอง
“สหายของข้าถูกราชาเทพที่อยู่ที่นี่จองจำไว้ ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย ที่อยู่ของนายท่านก็น่าจะถูกพบแล้วเช่นกัน”
“ต้องการไปช่วยไหม” ลู่เซิ่งถามพลางลูบคาง
“ไม่ต้อง ขอแค่นายท่านยังอยู่ พวกเราก็จะคืนชีพได้เรื่อยๆ สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือตัวตนของนายท่านโดนพบแล้ว!” แอนดี้กุมหัวขณะกล่าวอย่างสิ้นหวัง
“จะว่าไปนายอยู่ในระดับไหน” ลู่เซิ่งถามอีก
“เจ้าอนัตตา…สามารถสั่งให้พลังวิญญาณในอาณาเขตมารวมร่างกับตนได้ พลังอยู่เหนือกว่าระดับทองคำ แต่อ่อนแอกว่าเทพจุติทั่วไปเล็กน้อย” แอนดี้ตอบตรงๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกตัว กุมหัวโอดครวญอีก “นายท่าน...”
“แล้วไอ้ตัวเมื่อกี้ล่ะ” ลู่เซิ่งถามอีก
“มันเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับเจ้าอนัตตา น่าจะใกล้ถึงระดับมารยักษาแล้ว” แอนดี้ตอบ
“นายท่าน...นายท่าน...” แอนดี้จมดิ่งกับการโทษตัวเอง
ลู่เซิ่งที่หดขนาดร่างลงเหลือเท่าเดิมลุกขึ้น หมอกดำพลุ่งพล่านบนร่าง ไม่นานก็เดินไปยังอาณาเขตที่กำลังต่อสู้กันอีกแห่ง
“รอเดี๋ยวขอรับ! ที่นี่มีตัวตนระดับมารยักษาซ่อนตัวอยู่นะขอรับ! ถึงท่านจะแข็งแกร่งมาก แต่อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาดนะขอรับ” แอนดี้รีบตามไปด้วยความตกใจ
ระหว่างเจ้าอนัตตากับเทพยักษามีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล มารยักษาแทบกล่าวได้ว่าไม่มีวันตาย ความสามารถทั้งหมดที่มนุษย์รู้จักไม่อาจทำลายมารยักษาได้ จึงได้แต่ผนึกมันเอาไว้เท่านั้น
มีพลังที่ทั้งแข็งแกร่งทั้งเป็นอมตะ ตัวตนแบบนี้กล่าวได้ว่าเป็นแม่ทัพเสาหลักใต้การบังคับบัญชาของเทพแห่งการทำลายล้างอย่างแท้จริง
ที่ราชาเทพของตนยึดครองความได้เปรียบได้ เป็นเพราะนางมีเสาหลักมารยักษาสองตนคอยรับใช้
……………………………………….