แค่เรียกว่าเจ้าสานักหลิวตามมารยาท จากนั้นเอ่ยประโยคทานองว่า
เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถให้พอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะถึงอย่างไร
หลิวเสี้ยนหยางก็ถือเป็นคนครอบครัวเดียวกันครึ่งตัว เคยไปเรียนต่อ
อยู่ที่สกุลเฉินผู้รอบรู้นับสิบปี เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงด้านการ
วาดมังกรเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าผู้นี้มักจะออกท่องพเนจรอยู่ข้างนอก
เป็นประจา จึงไม่เคยได้พบกับหลิวเสี้ยนหยางมาก่อน
ผลคือพออีกฝ่ายยื่นไม้มาให้ หลิวเสี้ยนหยางก็ได้ไปทันที เอ่ย
ประโยคหนึ่งว่าท่านลุงเฉินรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือเซียนกระบี่ขอบเขต
หยกดิบ ทาเอาผู้เฒ่าที่ความรู้กว้างขวางมากประสบการณ์อึ้งพูดไม่
ออกไปทันที
ริมหน้าผาของยอดเขาโหยวอี๋ หลิวเสี้ยนหยางถามเสียงเบา “แม่
นางอวี๋ รู้หรือไม่ว่าทาไมเฉินผิงอันถึงไม่ไปใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?”
เซอเยว่เอ่ยด้วยน ้าเสียงเคลือบแคลง “เขาไปเยือนใจกลางเปลี่ยว
ร้างมารอบหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ? สร้างคุณความชอบใหญ่ขนาดนั้นยัง
จะมีคนรู้สึกว่ายศอื่นกวานของเขาไม่สมต าแหน่งอีกหรือไร?”
ไม่ต้องสนว่าทาได้อย่างไร ถึงอย่างไรเขาก็สามารถสังหารปีศาจ
ใหญ่เปลี่ยวร้างที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้ หากยัง
รวมขอบเขตบินทะยานที่ค่อนข้างฝีมืออ่อนด้อยของนครเซียนจาน
เข้าไปอีกคนก็เท่ากับสองคนแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “อย่างน้อยทางฝั่งของศาลบุ๋นก็
ยังไม่มีคนรู้สึกเช่นนี้อีกทั้งสิ่งที่เจ้าพูดกับสิ่งที่ข้าถามก็ไม่เหมือนกัน
ด้วย”
เชอเยว่ถาม “ถ้าอย่างนั้นคาตอบคืออะไรล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “ข้าก็อยากรู้คาตอบเหมือนกัน วันหน้าจะ
ลองถามดู”
ดวงตาเซอเยว่เป็นประกายทันใด นี่จะได้กลับร้านกระบี่ที่ริมล า
คลองหลงชวีแล้วหรือ?
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืน เซอเยว่เอ่ยอย่างลิงโลด “จะกลับเลย
หรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ไม่รีบร้อน ข้าจะไปพบเด็กหนุ่มที่ยืน
กรานหนักแน่นว่าจะกราบศิษย์พี่สวีเป็นอาจารย์เสียก่อน ดูสิว่าเขา
เหมาะจะขึ้นเขามาฝึกตนหรือไม่ หากพบหน้าแล้วถูกชะตา ข้าก็จะ
แย่งลูกศิษย์จากศิษย์พี่สวีแล้ว!”
เซอเยว่โบกมือ “ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่ไปแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางถอยหลังไปสองสามก้าว โบกแขน กระโดดขึ้นลง
สองสามทีแล้ววิ่งเร็วๆ กระโจนไปข้างหน้า กระโดดออกไปจากหน้า
ผา เรือนกายวาดเป็นเส้นโค้ง หลิวเสี้ยนหยางตะโกนเสียงดังพลางพุ่ง
ลงสู่พื้นแผ่นดิน เสียงสะท้อนดังก้อง รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางกาลังจะ
ร่วงลงสู่พื้น ห่างจากหุบเขามาแค่จั้งกว่าเท่านั้น ก็พลันมีแสงกระบี่
พร่างพราวเส้นหนึ่งโผล่มา ว่องไวราวสายฟ้าแลบ แสงกระบี่เหมือน
เจียวหลงที่ทอดตัวยาวคดเคี้ยวอยู่บนพื้น ยังได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้าย
จากหลิวเสี้ยนหยางดังเป็นระลอก เพราะหากอิงตามค ากล่าวของหลิว
เสี้ยนหยาง พวกตัวร้ายในตาราก็มักจะหัวเราะกันอย่างนี้ นอกจากนี้
หากดูจากจินตนาการที่บรรเจิดบางอย่างของหลิวเสี้ยนหยางแล้ว วัน
หน้าเมื่อกิจการของสานักกระบี่หลงเฉวียนใหญ่ขึ้น รับลูกศิษย์มาก็
จะต้องระวังพวกคนที่ไม่สะดุดตาแต่แท้จริงแล้วเป็นองค์ชายรอง เป็น
ลูกนอกสมรสของตระกูลชั้นสูงที่แบกความแค้นเอาไว้อย่างลึกล ้า
มองดูเหมือนคุณสมบัติในการฝึกตนธรรมดา ได้รับความอัปยศจาก
สานักอย่างเต็มกลืน แต่กลับข่มกลั้นเอาไว้ไม่ระเบิดออกมา นี่จะเป็น
การถ่วงส านักและผู้อาวุโสในสานักมากเกินไปต่อให้จะเจอแค่คนสอง
คนก็ยังรับไม่ไหว ง่ายที่จะกลายมาเป็นคนที่ถูกเช่นไหว้ หลายปีให้
หลัง ถูกคนดื่มสุราคารวะที่หน้าหลุมศพ น ้าตาเอ่อกลบตาเอ่ย
ประโยคหนึ่งว่าในที่สุดศิษย์ก็สามารถแก้แค้นให้ท่านได้แล้ว หวังว่า
อาจารย์ที่อยู่ในปรโลกจะรับรู้…
เซอเยว่ถอนหายใจ นิสัยยังเหมือนเด็กอยู่มากจริงๆ
ในป่าที่รกร้างแห่งนั้น หลิวเสี้ยนหยางมองเพิงพักแร้นแค้นที่อยู่
ใต้แสงจันทร์แล้วเคาะประตู
เด็กหนุ่มในห้องหลับไม่สนิทนัก พอได้ยินเสียงนี้ก็เอ่ยถามทันที
“ใคร?”
หลิวเสี้ยนหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ยอดฝีมือนอกโลก
พเนจรมาถึงที่นี่ เห็นว่าเจ้าหนูมีฐานกระดูกมหัศจรรย์ เหมาะจะฝึกตน
บนภูเขา คิดว่าจะมอบโชควาสนาอย่างหนึ่งให้เจ้า”
เด็กหนุ่มที่ใบหน้าเหลืองแห้งตอบมาเปิดประตู มือหนึ่งไพล่อยู่
ด้านหลับง อาศัยแสงจันทร์ทาให้มองเห็นว่าด้านนอกคือชายหนุ่มคิ้ว
เข้มตาโตคนหนึ่ง “ไม่จ าเป็น ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการ
บันทึกชื่อของเซียนกระบี่สวีแห่งยอดเขาจูไห่แล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางคลี่ยิ้ม อ้าปากได้ก็พูดเป็นเรื่องเป็นราว นี่
ค่อนข้างจะถูกชะตาแล้ว
เนื่องจากออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่ออยู่นานหลายปี
ภายหลังส านักกระบี่หลงเฉวียนถูกสร้างขึ้น หลิวเสี้ยนหยางจึง
เดินทางกลับมาจากทักษินาตยทวีป แต่ก็อยู่แค่ในร้านริมล าคลอง
หลงซวีที่เท่ากับที่ถูกทอดทิ้งไม่ได้ใช้งานแล้ว แล้วก็ไปเยือนอาเภอ
ไหวหวงน้อยครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในตัวจังหวัดเลย ส่วนเด็กหนุ่มคนนี้
หากดูจากอายุก็น่าจะเกิดและเติบโตมาจากในนครของตัวจังหวัด
ดังนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้จักเจ้าสานักของสานักกระบี่หลงเฉวียนตรงหน้าผู้
นี้ก็เป็นเรื่องปกติ ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มถึงได้รู้จักสวีเสี่ยวเฉียว
คงเป็นเพราะนางร่วมมือกับต่งครึ่งเมืองเปิดโรงเตี้ยมตระกูลเซียนอยู่ที่
ตัวจังหวัดกระมัง? ศิษย์พี่หญิงสวีไม่เชี่ยวชาญเรื่องการทาการค้า แต่
กลับเชี่ยวชาญเรื่องการหาเงินและไปมาหาสู่กับผู้อื่น เงินเก็บส่วนตัว
ก็มีอยู่ไม่น้อย สินเดิมไม่ธรรมดา!
หลิวเสี้ยนหยางก้าวยาวๆ เข้ามาในห้อง หยิบตะกียงดวงหนึ่ง
ออกมาจากชายแขนเสื้อสองนิ้วขยับเบาๆ แสงไฟก็สว่างขึ้นเป็นสี
เหลืองอ่อนจาง ส่องสว่างห้องที่มุงจากเพิ่งหญ้า
เด็กหนุ่มหันหน้าเข้าหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้อยู่ตลอด
หลิวเสี้ยนหยางกวาดตามองไปรอบด้าน ทั้งบ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน
จริงๆ รูรั่วรูโหว่เต็มแปดทิศ มองแล้วรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง หันหน้า
กลับมายิ้มเอ่ยแนะนาตัวเอง “ข้าชื่อหลิวเสี้ยนหยาง ไม่เคยเจอกันมา
ก่อน แต่ก็น่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างกระมัง คือเจ้าสานักคนปัจจุบัน
ของสานักกระบี่หลงเฉวียน ดังนั้นสวีเสี่ยวเฉียวแห่งยอดเขาจูไห่จึง
เป็นศิษย์พี่หญิงของข้าเอง”
เด็กหนุ่มที่ร่างกายขึงเกร็งด้วยความตึงเครียดถอนใจ ที่
ระแวดระวังออกได้ในที่สุดสีหน้ากระอักกระอ่วน เพราะมือข้างที่อ้อม
ไปอยู่ด้านหลังยังถือมีดผ่าฝืนเล่มหนึ่งเอาไว้ ออกจากบ้านเดิน
ทางไกลครั้งนี้ สิ่งที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันก็คือห่อสัมภาระที่บรรจุข้าว
ของห่อหนา แล้วก็เป็นมีดผ่าฟืนที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวและเปิดทางเล่ม
นี้ ส่วนเศษเงินก้อนและเงินเหรียญทองแดงที่ได้มาจากการขายของ
โบราณในบ้านช่วงแรกเริ่มสุดนั้นได้ใช้ไประหว่างทางหมดแล้ว อันที่
จริงก่อนจะออกจากบ้านมาครั้งนี้ เด็กหนุ่มได้แอบออกมาจากบ้าน
มาแล้วสองครั้ง แต่ล้วนกลับไปมือเปล่าทั้งสองครั้ง เจอกับเรื่อง
ยากลาบากไม่น้อย แต่ก็ถือว่าได้สะสมประสบการณ์เอาไว้ หาไม่แล้ว
ก็ไม่มีทางเดินทางมาได้ถึงสานักกระบี่หลงเฉวียน
ในห้องไม่มีโต๊ะหรือม้านั่ง หลิวเสี้ยนหยางจึงนั่งลงข้างเตียง ยิ้ม
ถามว่า “ในเมื่อเจ้ามีหินดีงูก้อนนั้น ทาไมถึงไม่ขายแลกเงินมา ต่อให้
หนี้พนันที่คนในบ้านติดไว้จะมากแค่ไหนก็น่าจะสามารถใช้คืนให้
หมดได้ในคราวเดียวถึงจะถูก คาดว่าน่าจะยังมีส่วนที่เหลืออีกไม่น้อย
หาคนซื้อสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่พูดถึงโรงเตี้ยมของต่งสุ่ยจิ่ง ไป
เปิดราคาขายในที่ว่าการของเขตหรือไม่ก็ที่ว่าการของจังหวัด
โดยตรง พวกเขาก็น่าจะรับไว้ รับรองว่าจะต้องให้ราคาที่ยุติธรรมแก่
เจ้า”
หลี่เซินหยวนสีหน้าหม่นหมอง เด็กหนุ่มที่ผอมแห้งราวท่อนฟืน
ก้มหน้าลงมองรองเท้าสานที่เก่าขาดบนเท้าของตัวเอง “ข้าอายุน้อย
เกินไป รักษาทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ไม่ได้ ไม่ว่าหินดีงูที่ขโมยมาจาก
ท่านปู่ก้อนนี้จะไปแลกได้เงินมามากแค่ไหนก็ไม่มีทางเก็บไว้ได้ มีแต่
จะถูกผู้อาวุโสในบ้านเอาไปลงเดิมพันย ่ายีให้เสียเปล่า”
หลิวเสี้ยนหยางถาม “เคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนมาก่อนไหม?”
“ตอบเจ้าสานักหลิว ในอดีตข้าเคยผ่านการสอบระดับอาเภอและ
ระดับเขต เป็นถงเซิงแล้ว”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าที่ผอมแห้งตอบมีรอยยิ้มปรากฏ
ให้เห็น “เดิมทีปีก่อนควรจะเข้าร่วมการสอบระดับจังหวัดที่นายท่าน
เซวี่ยเจิ้ง (ชื่อตาแหน่งขุนนางทาหน้าที่ตรวจสอบดูแลเรื่องการสอบ
การเรียน) เป็นผู้ดาเนินการ แต่อาจารย์หลิ่นเซิงไม่ยินดีช่วยรับรอง
ให้จึงไม่สามารถเข้าร่วมพิธีกลายเป็นซิ่วไฉได้”
หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า จะว่าไปแล้วตนกับเฉินผิงอันต่างก็ไม่มี
ยศตาแหน่งติดตัวอย่าว่าแต่ซิ่วไฉเลย แม้แต่ถงเซิงก็ยังไม่ใช่ อยู่ใน
สานักศึกษาลัทธิขงจื๊อ พวกเขาสองคนไม่ใช่แม้กระทั่งนักปราชญ์
ด้วยซ ้า ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก สมกับเป็นพี่น้องร่วม
ทุกข์ร่วมยากกันจริงๆ
อันที่จริงหลี่เซินหยวนไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด แท้จริงแล้วเด็ก
หนุ่มก็แค่ไม่อาจเข้าร่วมการสอบสนามที่สองได้เท่านั้น อีกทั้งการ
สอบระดับอาเภอและจังหวัดสองครั้งก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มก็ล้วนสอบ
ได้อันดับที่หนึ่ง หากเขาเข้าร่วมการสอบระดับจังหวัดต่อก็มีความ
เป็นไปได้อย่างมากว่าจะได้ที่หนึ่งอีกครั้ง ในวงการการสอบ บัณฑิต
สามารถอาศัยสิ่งนี้คุยโวได้ทั้งชีวิตแล้วว่าตัวเองคือเสี่ยวซานหยวน
(คนที่สอบได้อันดับหนึ่งสามรอบติดกัน) ในการสอบสามครั้ง
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดเด็กหนุ่มถึงต้องปิดบังความจริง ก็เป็นเพราะ
เขาให้ความเคารพผู้ที่สูงศักดิ์ คนหนึ่งคือญาติในตระกูล เวลาดีๆ กัน
อยู่ก็ดีต่อเขามากจริงๆ แต่เวลาที่จิตใจคนแตกฉานไม่รวมเป็นหนึ่ง
เลวร้ายขึ้นมาก็เลวร้ายได้สารพัด ความคิดสกปรกโสมมที่น่า
เหลือเชื่อและวิธีการต ่าช้ามีมากมายนับไม่ถ้วน ทุกวันนี้หลี่เซินหยวน
เพิ่งจะมีอายุลวงได้สิบสี่ปีตอนที่เขาเกิดตระกูลถือว่าค่อนข้างร ่ารวย
แม้ว่าจะเหลือแต่เปลือกที่ใกล้จะถูกควักจนกลวงโบ๋แล้ว แต่อูฐตายก็
ยังตัวใหญ่กว่าม้า เมื่อเทียบกับตระกูลคนมีฐานะทั่วไปแล้วถือว่า
ดีกว่าเยอะมาก เปลี่ยนจากประหยัดมาเป็นฟุ่มเฟือยนั้นง่าย แค่ต้องดู
ว่าคนมีเงินที่อยู่ข้างกายใช้ชีวิตของคนมีเงินอย่างไรก็ได้แล้ว แค่
เรียนรู้ก็ท าเป็น แต่เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยมาเป็นประหยัดกลับยาก
ตระกูลของหลี่เซินหยวนก็เป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสแทบทุกคนต่างก็เคย
ชินที่จะใช้เงินอย่างมือเติบกันแล้ว หลายปีมานี้จะต้องคอยโทษคนบ่น
ฟ้าทุกวัน หรือไม่ก็คิดอยากจะรวยทางลัด แต่เงินทางลัดหามาได้ง่าย
ขนาดนั้นเสียเมื่อไหร่ ถูกพวกมากประสบการณ์ในเมืองหลอกเอา
หลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่ายังเคยสร้างสถานการณ์หลอกให้
แต่งงาน ท่านลุงคนหนึ่งของหลี่เซินหยวนก็ต้องมีจุดจบที่ไม่เหลือทั้ง
คนทั้งทรัพย์สิน
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มเอ่ย “เจ้าเลือกเดินออกมาจากตระกูลนั้น
ถูกต้องแล้ว หากยังไม่ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ตัดขาดกับทางตระกูลอีก
ชีวิตนี้ก็จบเห่แล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มที่สิ้นไร้หนทางให้เดินต่อยิ้มฝืดเผื่อน ความคิดของเขา
เรียบง่ายมาก หวังเพียงว่าจะได้กลายเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึก
ชื่อของสานักกระบี่หลงเฉวียนเท่านั้น แล้วค่อยกลับไปเก็บกวาดเรื่อง
เละเทะนี้
หาไม่แล้วเขาที่อยู่ในตระกูลเป็นคนฐานะต ่าต้อย คาพูดไม่มีใคร
ให้ความส าคัญ ทั้งยังเป็นเด็กรุ่นเยาว์ เหตุผลทุกอย่างล้วนไม่มี
เหตุผล
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืน “เอาล่ะๆ อย่ามัวแต่ทาหน้าอมทุกข์อยู่
เลย ตามข้าขึ้นเขาเถอะ”
หลี่เซินหยวนเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เทพธิดาสวียินดีรับ
ข้าเป็นลูกศิษย์แล้วหรือ”
ในเมื่อมีความคิดจะแย่งลูกศิษย์ หลิวเสี้ยนหยางจึงเริ่มทาตัวร้าย
กาจ วางยาศิษย์พี่สวีของตัวเองทันใด “นางรู้สึกว่าคุณสมบัติของเจ้า
แย่เกินไป ประเด็นสาคัญคือยังไม่ใช่ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ นางกลับเป็น
เซียนกระบี่ของยอดเขาแห่งหนึ่ง ลูกศิษย์เปิดภูเขาของนางต้องเป็นผู้
ฝึกกระบี่อยู่แล้ว ข้าโน้มน้าวอยู่นานกว่าจะเกลี้ยกล่อมให้ผู้คุมกฏของ
สานักอย่างนางอนุญาตให้เจ้าขึ้นเขาไปฝึกตนได้ ดังนั้นจึงไม่ไปที่
ยอดเขาจูไห่แล้ว แต่ไปที่ยอดเขาโหยวอี๋แทน ลองไปเป็นลูกศิษย์ที่
ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียงทั้งยัง
หล่อเหลาสง่างาม และมีพรสวรรค์ปราดเปรื่องเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรอง
ใคร จะกลายเป็นลูกศิษย์เข้าห้องได้หรือไม่ จะโชคดีกลายเป็นลูก
ศิษย์ผู้สืบทอดหรือไม่ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจ้าในวันหน้าแล้ว”
หลี่เซินหยวนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่
เลวร้ายที่สุด ไม่ต้องเดินย้อนกลับไปทางเดิมอย่างเสียเที่ยว เด็กหนุ่ม
ออกไปจากบ้านพักพร้อมกับหลิวเสี้ยนหยาง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “เจ้า
สานักหลิว ขอละลาบละล้วงถามสักคาได้หรือไม่ ยอดเขาโหยวอี๋เป็น
พื้นที่ประกอบพิธีกรรมของเซียนกระบี่ท่านใด?”
การที่หลี่เซินหยวนดึงดันจะกราบสวีเสี่ยวเฉียวเป็นอาจารย์ขอ
เล่าเรียนวิชา เพราะเด็กหนุ่มเคยเจอเซียนซือที่มีสีหน้าเมตตาปราณี
ท่านนี้บนถนนในตัวเมือง รู้สึกว่านางเป็นคนดีคนหนึ่ง
หลิวเสี้ยนหยางมอบตะเกียงน ้ามันในมือให้กับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้าง
กาย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไกลสุดขอบฟ้า ใกล้เพียงตรงหน้า”
หลี่เซินหยวนถือตะเกียงน ้ามันไว้ในมือ หยุดเดิน อึ้งค้างไร้คาพูด
เพียงแต่ยังไม่ลืมยื่นมือไปบังลมให้กับตะเกียงดวงนั้น
หลิวเสี้ยนหยางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะพาเจ้าเดินเท้าไปที่
ยอดเขาโหยวอี๋ ลมบนภูเขาแรง หากไฟในตะเกียงมอดดับก็
หมายความว่าเจ้าและข้าไม่มีวาสนาจะเป็นอาจารย์และศิษย์กันแล้ว”