กระบี่จงมา 997.1 กลิ่นหอมของดอกซิ่งเหนือเมฆพร่างพราว

ตอนที่ 997.1 กลิ่นหอมของดอกซิ่งเหนือเมฆพร่างพราว

ห่างจากประตูตะวันออกของเมืองเล็กไปไม่ไกลมีจุดพักม้าแห่ง หนึ่ง ถูกสร ้างขึ้นไล่ๆกับที่ว่าการอาเภอไหวหวง ชื่อทางการคือจุดพัก ม้าหรูกู้ แต่ปีนั้นเมืองเล็กเคยชินที่จะเรียกว่าจุดพักม้าไก่ขัน ก็เหมือน ซุ้มก้ามปูแห่งนั้น การตั้งฉายาให้กับคนและเรื่องราวก็คือเรื่องที่ ชาวบ้านของเมืองเล็กไม่เพียงแต่ชื่นชอบยังเชี่ยวชาญด้วย วันนี้ เจิ้งต้าเฟิงเดินเล่นเตร็ดเตร่จนมาถึงจุดพักม้าไก่ขัน หัวหน้าจุดพักม้า เป็ นคนจากเมืองเล็ก ในอดีตเคยเป็ นขุนนางชั้นผู้น้อยอยู่ที่จวน ผู้ตรวจการงานเตาเผา ก็แค่ย้ายรังมาอยู่ที่ใหม่เท่านั้น ถึงอย่างไรก็ เป็ นขุนนางปลายแถวไม่ติดอันดับขั้นกับเขา จากขุนนางผู้น้อยในจุด พักม้าเดินไปทีละก้าว ในที่สุดก็กลายมาเป็ นหัวหน้าใหญ่ ตอนอายุ น้อยเคยเป็ นสหายรักบนโต๊ะสุราและโต๊ะพนันกับเจิ้งต้าเฟิง มักจะเป็ น เจิ้งต้าเฟิงที่เดิมพันมากเขาเดิมพันน้อย จึงมักจะชนะได้เงินมาเสมอ จากนั้นคนทั้งสองก็จะพากันไปดื่มเหล้าที่ร ้านของหวงเอ้อเหนียง ถึง อย่างไรก็เป็ นเจิ้งต้าเฟิงที่เชื่อเงินไว้ก่อน เจ้าหมอนี่จึงอาศัยสิ่งนี้มา สะสมเงินแต่งภรรยาได้ไม่น้อย ว่ากันว่าช่วงนี้ก็เริ่มหางานในร ้านส่ง ของด่วนให้กับหลานบางคนที่ไม่เป็ นโล้เป็ นพายของเขาแล้ว วันนี้ได้ เจอกับเจิ้งต้าเฟิง ที่หายตัวไปนานหลายปีจึงโอภาปราศรัยกันอยู่พัก ใหญ่ เพียงแต่ว่าหัวหน้าจุดพักม้าเป็ นขุนนางต าแหน่งเล็กแต่กลับมี เรื่องให้ทามากมาย ตอนที่คนทั้งสองราลึกความหลังกันก็มักจะมี

ลูกน้องในจุดพักม้าเอาถุงเอกสารมาให้เขาลงนาม ตรวจสอบ เจิ้งต้า เฟิ งไม่อยากรบกวนพี่น้องที่มีธุระยุ่งผู้นี้ นัดหมายกันว่าหากว่าง เมื่อไหร่จะไปดื่มเหล้าด้วยกัน ก่อนจะจากไปเจิ้งต้าเฟิ งโพล่งถาม คาถามข้อหนึ่งว่า เจ้าคงไม่ใช่ศิษย์พี่กระมัง? หัวหน้าจุดพักม้าอึ้งไป พักใหญ่ ถามว่าเขาพูดเรื่องอะไร เจิ้งต้าเฟิงรีบพูดว่าไม่มีอะไร ไม่มี อะไร เดินก้าวออกไปจากจุดพักม้า ต้องโทษเจ้าเฉินผิงอันนั่นแหละที่ ทาให้เขาสงสัยคนอื่นไปทั่ว ครั้งนี้เจิ้งต้าเฟิงลงจากภูเขา นอกจากจุด พักม้าแล้วยังไปเยือนสุสานเทพเซียนรอบหนึ่ง เพราะวันนี้คือวันที่ สามเดือนสอง เจิ้งต้าเฟิงจึงไปที่ศาลบุ๋น แต่กลับไม่ได้ไปกราบไหว้ พวกอริยะปราชญ์ที่กินหัวหมูเย็นๆ อยู่ในต าหนักหลัก แต่เลือกห้อง ข้างห้องหนึ่ง พนมสองมือ ท่องคาถาหันหาเทวรูปองค์หนึ่ง ชาย ฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่หาได้ยาก

เจิ้งต้าเฟิงคร ้านจะกลับไปบ้านดินเหลืองของตัวเองที่อยู่ใกล้กับ ประตูตะวันออกของเมืองเล็ก แม้แต่ยุงตัวเมียสักตัวยังไม่มี แค่คิดก็ เสียใจแล้ว เดินออกจากทางแยกของจุดพักม้าไปหาที่สงบแห่งหนึ่ง เจิ้งต้าเฟิงเหน็บยันต์กระบี่ หยิบยันต์ที่ใช ้อาพรางเรือนกายแผ่นหนึ่ง ออกมา ทะยานลมไปที่ท่าเรือหนิวเจี่ยว สะบัดยันต์บนปลายนิ้วซึ่งถูก เจิ้งต้าเฟิงตั้งชื่อให้ว่า “ยันต์ห้ามคนทะเลาะกันมุมกาแพง” หรือมีอีก ชื่อว่า “ยันต์วิญญูชนบนขื่อคาน” ชายฉกรรจ์ถอนหายใจอย่าง เสียใจขึ้นมาอีกครั้ง รู ้สึกเพียงว่ายันต์ล้าค่าชนิดนี้มาอยู่ในมือของตน

ก็ช่างเป็ นการเอาของดีมาใช ้ในเรื่องเล็กน้อยจริงๆ ไม่เป็ นการเป็ น งาน เสียของดีเปล่าๆ

การค้าในร ้านผ้าห่อบุญของท่าเรือหนิวเจี่ยวธรรมดาอย่างมาก เจิ้งต้าเฟิงเอาสองมือไพล่หลัง เดินก้าวเข้าไปในร ้านที่เงียบเหงาแห่ง หนึ่ง ผู้ฝึกตนหญิงของเกาะจูไชที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินได้ยินเสียง ฝีเท้า รอกระทั่งนางเงยหน้ามองไปเห็นอีกฝ่ ายก็กลอกตามองบน รีบ ก้มหน้าลงต่าพลิกเปิดหนังสืออ่านต่อทันที

เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “น้องสาวก่วนชิง ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี เจ้าโตขึ้นอีกแล้วนะ”

ชายฉกรรจ ์เน้นประโยคท่อนสุดท้ายมากเป็ นพิเศษ

สตรีที่มีชื่อว่าก่วนชิงเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเจ้าหมอนั่นขยับสายตา ไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยอย่างคนที่อับอายจนพานเป็ นโกรธว่า “เจ้าคนปากสุนัขไม่งอกงาช ้าง!”

เจิ้งต้าเฟิงร ้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะยิ้มหน้าทะเล้น “ทาไมถึงไม่บอก ว่าสุนัขแก้นิสัยกินอาจมไม่ได้เล่า น้องสาวก่วนชิงเป็ นสตรีที่สุภาพ เรียบร ้อยจริงเสียด้วย ด่าคนก็ยังด่าไม่เป็ นถ้อยค าเบาๆ แค่พอจะท า ให้เจ็บๆ คันๆ ได้เท่านั้นเอง”

ก่วนชิงถลึงตาใส่ “เจ้าคนแซ่เจิ้ง ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนเลยนะ มี อะไรก็พูดมา ไม่มีก็รีบไสหัวไป”

ปีนั้นตอนที่นางอยู่เฝ้ าร ้านที่นี่ก็ทนกับเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองมาก ไปด้วยเสน่ ห์ผู้นี้มานานแล้ว ปากพ่นแต่ “คาหวาน” ที่ชวน สะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะแค่คิดถึงก็ขนลุกขนชันแล้ว

อาจารย์เฉินเป็ นคนเที่ยงตรงขนาดนั้น ไฉนถึงได้หาคนที่พึ่งพา ไม่ได้เช่นนี้มาเป็ นคนเฝ้ าประตูของภูเขาสั่วทั่วได้นะ

เจิ้งต้าเฟิงเคาะลงตรงหัวใจเบาๆ กระแอมอยู่สองสามทีก็ถามว่า “พี่หลิวเสียกับน้องป๋ ายเชวี่ยล่ะ ไม่ได้อยู่กับเจ้าหรือ พอข้ากลับมา บ้านก็รีบสอบถามกับเจ้าขุนเขาทันทีว่าพวกเจ้าผอมลงหรือว่าอ้วน ขึ้น ฝึกตนราบรื่นหรือไม่ เจ้าขุนเขาบอกว่าทุกวันนี้พวกเจ้าต่างก็อยู่ ว่างงานกันบนภูเขาหลังอ๋าว”

ก่วนชิงหยิบลูกคิดขึ้นมาแล้วขว้างออกไป เจิ้งต้าเฟิงก้มหัวหมุน ตัวหลบแล้วจึงยึดขาข้างหนึ่งออกไป ใช ้ปลายเท้าเกี่ยวรางลูกคิดชิ้น นั้นขึ้นมา ยื่นมือไปคว้า วางลงบนโต๊ะเบาๆแบฝ่ ามืออก ในฝ่ ามือมี ไข่มุกที่อยู่ในลูกคิด ยิ้มเอ่ยว่า “ท่วงท่านี้ของพี่ใหญ่ต้าเฟิงแสดงได้ อย่างงดงามหรือไม่ มาดยังคงเดิมหรือไม่ หรือว่าองอาจกว่าในอดีต?”

ก่วนชิงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที “เจิ้งต้าเฟิง หากเจ้ายังทาตัว ไร ้เหตุผลเช่นนี้ ข้าจะไปฟ้ องเจ้าขุนเขาเฉินที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วนะ! หากเจ้าขุนเขาเฉินแค่ไกล่เกลี่ยให้จบเรื่อง ข้าก็จะสะบัดมือไม่สนใจ กิจการของร ้านแห่งนี้แล้ว! ถ้าเจ้ายังอยากจะพูดจาชวนให้คน สะอิดสะเอียนต่ออีกก็ต้องไปที่ภูเขาหลังอ๋าว บุกประตูภูเขาเข้าไป แล้ว!”

เจิ้งต้าเฟิ งเช็ดหน้า ถึงกับไม่ได้เอ่ยอะไรอีกสักครึ่งคา เดิน กะเผลกจากไปอย่างเงียบเชียบ

ในขณะที่ก่วนชิงรู ้สึกผิดเล็กน้อย คิดว่าตนไม่ควรพูดแรงเกินไป นั้นเอง ชายฉกรรจ์ก็พลันผงะหงายหลัง ยื่นหน้ามาเอ่ย “น้องก่วนชิง เจ้าจะใจดาขนาดนี้จริงๆ หรือ? วันนี้พี่ต้าเฟิงโกนหนวด เปลี่ยนมา สวมเสื้อผ้าสะอาดก็เพื่อเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือ ว่าหลายปี มานี้พี่ต้าเฟิ งไปทาตัวสง่างามอยู่ที่ไหน อยู่ข้างนอกมี ภรรยามีลูกแล้วหรือไม่…”

ก่วนชิงนึกถึงเคล็ดลับเฉพาะที่ใช ้มาร ้อยครั้งก็ไม่เคยผิดพลาด เอาอย่างศิษย์น้องป๋ ายเชวี่ย สองนิ้วประกบกันโบกอย่างแรง เอ่ยเสียง หนักว่า “จงหายไป!”

เจิ้งต้าเฟิงรีบยื่นมือออกมาคว้า คล้ายเก็บของบางอย่างเข้าไปไว้ ในอ้อมอก แล้วถึงได้จากไปอย่างพึงพอใจ

ขอแค่เป็ นร ้านที่มีผู้ฝึ กตนหญิงเกาะจูไชรับหน้าที่เป็ นเถ้าแก่ ชั่วคราว เจิ้งต้าเฟิ งก็จะต้องแวะเวียนไปเยือนทุกร ้าน ทุกคนต่างก็ เหมือนน้องก่วนชิงที่ด่าเขาก็เพราะรักไปคารบหนึ่ง

ชายฉกรรจ์ที่สีหน้าสดชื่นปลอดโปร่งมาถึงร ้านแห่งหนึ่งที่แขวน กรอบป้ ายเป็ นคาว่า “เรือนหย่งเหนียน” จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร ้อย วันนี้มาเยือนจะไม่ยอมพ่ายแพ้ล่าถอยกลับไปอีกเด็ดขาด

ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวมีร ้านจานวนน้อยเท่านั้นที่ให้คนนอกเช่า สองร ้านในนั้นเป็ นของต าหนักฉางชุน ค่าเช่าสามารถมองข้ามไม่นับ ได้

เถ้าแก่ร ้านคือผู้ฝึ กตนหญิงที่ลักษณะเป็ นสตรีวัยกลางคน รูป โฉมไม่ได้ย่าแย่ แต่ก็ไม่ถือว่างดงาม เมื่อครู่นี้นางกาลังเปิ ดอ่าน “ตารากล้วยไม้” ที่อ่านร ้อยรอบก็ไม่รู ้สึกเบื่อ

เจิ้งต้าเฟิงกับนางไม่ใช่คนแปลกหน้ากัน เห็นชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ เจอหน้ามานานหลายปี นางก็จงใจฟุบตัวลงไปบนโต๊ะคิดเงิน คลี่ยิ้ม หวานเอ่ยว่า “โอ้ นี่ไม่ใช่พี่น้องต้าเฟิงหรอกหรือ พานกมาเดินเล่นอีก หรือไร มาๆๆ รีบปล่อยนกกระจอกน้อยตัวนั้นออกมาจากกรงให้ พี่สาวได้หยอกเล่นหน่อยสิ มัวอึ้งทาไมเล่า รีบฉวยโอกาสตอนที่ใน ร ้านไม่มีคนนอก มีอะไรให้ต้องล าบากใจกัน เตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกมา นานหลายปีขนาดนั้นยังหน้าบางถึงเพียงนี้ ดูเจ้าสิไม่ได้เรื่องเลย…”

เจิ้งต้าเฟิงรีบสูดน้าลาย ต้านรับไม่ไหวจริงๆ ได้แต่เอ่ยด้วยสีหน้า เขินอายว่า “สหายเหลียนหลง มีใครเขารับรองแขกแบบเจ้าบ้างเล่า ง่ายที่จะทาให้ลูกค้าตกใจวิ่งหนีไปนะ”

สตรีที่มีฉายาว่าเหลียนหลงหยิบส้มลูกหนึ่งที่วางไว้ในถาดผลไม้ ขึ้นมา ขว้างใส่เป้ ากางเกงของชายฉกรรจ์อย่างแรง หลุดหัวเราะพรีด “บารมีองอาจอย่างตอนที่อยู่ในร ้านใกล้ๆหายไปไหนแล้วเล่า?”

เจิ้งต้าเฟิงรีบค้อมเอวไปรับอาวุธลับชิ้นนั้นไว้ เอ่ยอย่างขุ่นเคือง ว่า “ก็ข้ารูปไม่หล่อ ไม่ได้เปรียบในเรื่องรูปโฉมก็เลยได้แต่ลงแรงใน เรื่องคาหวานไม่ใช่หรือ”

เหลียนหลงดูแลการค้าอยู่ที่นี่ถือเป็ นการผ่อนคลายอารมณ์ที่ใช ้ เพื่อฆ่าเวลาอย่างเดียวเท่านั้น นางกับเจ้าต าหนักคนปัจจุบันของ ต าหนักฉางชุนเป็ นคนรุ่นเดียวกันสายเดียวกัน แต่เป็ นลูกศิษย์ปิด สานักที่ลาดับอาวุโสสูง อายุน้อย แต่กลับถือว่า “ตอนเด็กเก่งฉลาดก็ ไม่แน่เสมอไปว่าเติบใหญ่จะประสบความสาเร็จ” เนื่องจากมิอาจฝ่ า ทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรได้เสียที หมดอาลัยตายอยาก นางจึง เลือกมาดูแลร ้านที่นี่ด้วยตัวเองเมื่อก่อนเจิ้งต้าเฟิงมักจะมาคุยเล่นกับ นางที่ร ้านแห่งนี้เป็ นประจา พอดีกับที่คนทั้งสองต่างก็คุยกันเก่ง ไม่ ต้องสนว่าเป็ นคาพูดสุภาพหรือคาหยาบสัปดน ดังนั้นหลายปีมานี้ ไม่ได้พบกับเจิ้งต้าเฟิง เหลียนหลงจึงคิดถึงเขาอยู่มากจริงๆ แน่นอน ว่าไม่เกี่ยวข้องกับความรู ้สึกฉันท์ชายหญิงเลยแม้แต่น้อย

เจิ้งต้าเฟิงเอาข้อศอกยันไว้บนโต๊ะคิดเงิน เอนกายพิงโต๊ะ ยื่นมือ มาลูบเส้นผม คุยโวว่าตัวเองกับจูโอ่วที่เป็ นคนเขียน “ตารากล้วยไม้” คุ้นเคยสนิทสนมกันแค่ไหน หากมีโอกาสจะต้องแนะนาให้พี่เหลียน หลงได้รู ้จักแน่นอน แล้วก็ร่ายบทกวีไปสองสามประโยคบอกว่าเก็บ ตัวสันโดษอยู่ในภูเขาลึก เป็ นเจ้าแห่งป่าน้าพุและแสงเรืองรอง หนึ่งวัน ยาวนานเหมือนสองวัน หากมีชีวิตเก้าสิบปีก็เหมือนร ้อยแปดสิบปี สิ่ง ที่ได้มาไม่มากมาย อยู่ว่างมีสามความบันเทิง ดูแลตัวเองยามแก่เฒ่า

กินหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ อากาศร ้อนกินลิ้นจี่ ค่าคืนหิมะอ่านต ารา ต้องห้าม…

เหลียนหลงชอบการพยายามพูดจาสุภาพไพเราะของชาย ฉกรรจ์อัปลักษณ์ผู้นี้ยิ่งนักพูดอย่างไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเอง หากไม่เป็ นเพราะเจิ้งต้าเฟิงขี้ริ้วไปหน่อย ก็คงไม่เป็ นโสดมาจนถึงทุก วันนี้

ต าหนักฉางชุนกับภูเขาลั่วพั่วผูกบุญสัมพันธ ์กันได้ต้องยกคุณ ความชอบให้กับ “อวี๋หมี่ที่ปลอมตัวเป็ นผู้ฝึ กตนขอบเขตชม มหาสมุทร เค่อชิงแห่งภูเขาพีอวิ๋น

อวี๋หมี่ใช ้ข้ออ้างที่ว่าช่วยปกป้ องมรรคาเดินทางลงใต้ไปพร ้อมกับ ผู้ฝึกตนหญิงหลายคนที่มาจากสายหลินโหยวของซ่งอวี๋ เพราะปีนั้น มีทูตผู้ตรวจการของต้าหลีคนหนึ่งต้องการกิ่งต้นสนหมื่นปีไปใช ้ท า ยาอย่างเร่งด่วน จึงไหว้วานให้ผู้ฝึกตนของต าหนักฉางชุนไปขอจาก ศาลลมหิมะ เพียงแต่ว่าต้นสนหมื่นปีที่มีชื่อว่า “ฉางฉิง ต้นนั้นเติบโต อยู่บนหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็ นต้น กล้าเพียงหนึ่งเดียวของหอเทพเซียนจึงกลายมาเป็ นเจ้าของที่มี อานาจจะหักกิ่งไม้ได้ ดังนั้นต่อให้จะรู ้ทั้งรู ้ว่าฐานะของตาหนักฉางชุน พิเศษมากบนภูเขาของต้าหลี ความสัมพันธ ์ระหว่างบรรพจารย์สกุล ฉินแห่งร่องต้าหนีกับซ่งอวี๋ผู้อาวุโสไท่ช่างของตาหนักฉางชุนไม่ตื้น เขิน ผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มนั้นก็ยังไปชนกาแพง อย่างไม่ผิดไปจากที่คาด ต้องกลับมามือเปล่า คิดไม่ถึงว่าตอนที่กลับมาถึงท่าเรือหนิวเจี่ยวอวี๋

หมี่จะแอบนาต้นสนหมื่นปีชิ้นหนึ่งมามอบให้หันปี้ยา ภายหลังเมื่อ ผ่านการตรวจสอบจากต าหนักฉางชุนก็ถึงกับเป็ นต้นสนโบราณ “ฉางฉิง” อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้หญิงชราขอบเขตประตูมังกรที่เดิมที่ ยังกระวนกระวายไม่เป็ นสุขจึงสามารถไปอธิบายกับศาลบรรพจารย์ ในสานักได้ และตาหนักฉางชุนเองก็มีคาอธิบายที่น่าพอใจให้กับทาง ฝั่งของทูตผู้ตรวจการ

นอกจากนี้ทางเรือหลี่เฉวียนของตาหนักฉางชุน เนื่องจากตอน นั้นจู๋เฟิ่ งเซียนได้เดิน ทางออกจากเมืองหลวงไปพร ้อมกับ ปรมาจารย์อวี๋หง ตอนนั้นจึงอยู่บนเรือด้วย เฉินผิงอันเคยพาเสี่ยวโม่ ไปปรากฏตัวที่เรือข้ามฟาก ระหว่างนั้นได้เจอกับผู้ดูแลเรือข้ามฟาก ที่มีชื่อว่ากานอี๋ ฉายาอู้ซง

อยู่ในแจกันสมบัติทวีป มีเพียงเรือข้ามฟากหลี่เฉวียนลานี้ที่ไม่ว่า จะไปจอดในท่าเรือแห่งใดก็ล้วนไม่จาเป็ นต้องควักเงินจ่าย อีกทั้ง ในช่วงสงครามก็มีแค่เรือข้ามฟากหลี่เฉวียนที่สามารถไปมาได้อย่าง อิสระในท่าเรือทุกแห่งที่ถูกกองทัพต้าหลีเข้าควบคุม

มีผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นคนหนึ่งที่เจิ้งต้าเฟิงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน มาเยือนที่ร ้าน พอนางเห็นชายฉกรรจ์ที่กาลังฝอยน้าลายแตกฟอง บางทีอาจเพราะได้ยินเสียงแนะน าในใจของหลงเหลียนแล้วถึงได้เป็ น ฝ่ายเอ่ยว่า “คารวะอาจารย์เจิ้ง ข้าชื่อกานอี๋ มาจากตาหนักฉางชุน”

เจิ้งต้าเฟิงรีบพยักหน้ารับทันใด “สวัสดีกานอี๋ (กานอี๋ที่เจิ้งต้าเฟิง เรียกเป็ นค าพ้องเสียงกับชื่อกานอี๋ แต่อี๋คานี้จะมีความหมายอีกอย่าง

ว่าน้า) ดีมากๆ เรียกข้าว่าต้าเฟิ งก็ได้หรือจะเรียกเสี่ยวเจิ้งก็ได้ เหมือนกัน”

กานอี๋ฟังออกถึง “ความเข้าใจผิด’ ของชายฉกรรจ์ ได้แต่ยิ้ม อธิบายว่า “กานจากค าว่ากานเถียน อี๋จากค าว่าจิตใจปลอดโปร่ง”

เจิ้งต้าเฟิ งเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่าใจ “ไม่อย่างนั้น? ข้าหรือจะไม่ รู ้จักผู้ดูแลกานแห่งเรือหลี่เฉวียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ”

ความเฉลียวฉลาดของคน จิตใจแจ่มใสสดชื่น ล้วนรวมกันอยู่ที่ ดวงตา ผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองผู้นี้คู่ควรกับคาชมเชยที่ว่า “ดวงตา เป็ นมิตร” อย่างมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พี่หญิงกานอี๋คลี่ ยิ้มยังมีลักยิ้มสองข้างด้วย

สวย

กานอี๋ยิ้มรับ เคยเห็นบุรุษที่ไม่เป็ นโล้เป็ นพายบนภูเขาและล่าง ภูเขามาเยอะแล้ว เพิ่มคนตรงหน้าไปอีกคนก็ไม่เห็นจะแปลก

เจิ้งต้าเฟิ งกาลังจะเอ่ยขอตัวลาอย่างรู ้กาละเทศะ คุยเล่นกับพี่ หญิงเหลียนหลงมานานแล้ว ปากเขาแห้งเต็มที คิดจะไปขอเหล้าที่ จวนซานจวินขุนเขาเหนือบ้านพี่น้องตัวเองดื่มสักหน่อย

คนที่ไม่รู ้เรื่องราวในประวัติศาสตร ์ต่อให้จะเป็ นขุนนางผู้รวบรวม ประวัติศาสตร ์ในราชสานักทุกวันนี้ เกรงว่าก็คงยังไม่รู ้ว่าสาหรับสกุล ซ่งต้าหลีแล้ว เรือข้ามฟาก “หลี่เฉวียน” มีความหมายถึงอะไร

ตอนที่สกุลซ่งต้าหลียังเป็ นแคว้นใต้อาณัติของสกุลหลู ทุกครั้งที่ เจอกับภัยแล้งก็ต้องมาขอยืมเรือข้ามฟากที่เป็ นสมบัติอาคมซึ่ง สามารถเคลื่อนเมฆโปรยฝนลานี้ได้จากตาหนักฉางชุน จากนั้น ขอให้เซียนซือต าหนักฉางชุนช่วยร่ายคาถาเรียกฝนให้

สามารถพูดได้ว่าในช่วงเวลาที่สกุลซ่งต้าหลีลาบากมากที่สุด ทุกครั้งที่เรือข้ามฟากลานี้ปรากฏอยู่เหนืออากาศของพื้นดินที่แห้ง แล้งก็คือ…. ความหวังอย่างหนึ่ง

นี่จึงเป็ นเหตุให้ในตาราเรียบเรียงเหตุการณ์ประจ าปีของต าหนัก ฉางชุนในช่วงร ้อยปีที่ผ่านมา ไม่อาจไม่เรียกได้ว่ามี “เมฆหมอกกลิ่น อายสูงศักดิ์เต็มหน้ากระดาษ

กระบี่จงมา

กระบี่จงมา

Score 10
Status: Completed

อ่านนิยาย กระบี่จงมา 1 – 400 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )


” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก
เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “

เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา

เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม

และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง

ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

Options

not work with dark mode
Reset