บทที่ 964 บันทึกการเลี้ยงเด็ก (ฉบับฝาแฝด)
……….
กู้เจียวกลับมายังเรือนหลังของจวนอันกั๋วกงแล้ว
พวกสายรองก็มาเช่นกัน ในเรือนจึงคึกคักยิ่งนัก
ไม่ได้เห็นภาพอาจารย์แม่หนานพานพบกับเสี่ยวจิ้งคง กลับได้มาเห็นใต้เท้ารองจิ่งกอดพี่ใหญ่ตัวเองร้องห่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาย้อยแทน
“ฮือออ…พี่ใหญ่…ไยท่านจึงไปนานเพียงนี้…ข้านึกว่าท่านจะไม่กลับมาแล้ว…”
ชายชาตรีคนหนึ่งร้องห่มร้องไห้สภาพนี้ มันชวนให้ทนดูไม่ได้อยู่สักหน่อย
ฮูหยินรองกระตุกแขนเสื้อเขายิกๆ เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “เอาละ ทุกคนอยู่กันหมดเลย! ดูท่านทำเข้า!”
อันกั๋วกงถูกน้องชายบังเกิดเกล้าเช็ดน้ำมูกน้ำตาใส่เปื้อนไปทั้งตัวแล้ว และเดียดฉันท์จะตายแล้วเช่นกัน
นอกจากสองสามีภรรยาบ้านสายรองแล้ว ภายในเรือนยังมีหน้าค่าตาไม่คุ้นอีกสองสามคน เด็กผู้ชายวัยสิบขวบคนหนึ่งกับแม่นางน้อยวัยหกเจ็ดขวบอีกสองคน
หว่างคิ้วของทั้งสามต่างมีเค้าของใต้เท้ารองจิ่งกับฮูหยินรอง คงเป็นลูกของพวกเขา
ตอนที่กู้เจียวมาแคว้นเยี่ยนคราล่าสุดยังไม่เห็นพวกเขาเลย ต่อมาจึงได้รู้จากปากอันกั๋วกง ว่ามารดาของฮูหยินรองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง นางจึงให้เด็กสามคนไปอยู่เป็นเพื่อนท่านยายที่เมืองอวี่อันห่างไกล
ก่อนที่นางกับเซียวเหิงจะแต่งงานกันไม่นาน จู่ๆ อาการป่วยของมารดาฮูหยินรองก็ทรุดหนักขึ้น ใต้เท้ารองจิ่งและฮูหยินจึงไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินที่เมืองอวี่ จึงได้พลาดของขวัญแสดงความยินดีวันแต่งงานจากพวกเขา
ฮูหยินรองคร้านจะสนใจสามีตัวเองแล้ว ดึงมืออาจารย์แม่หนาน เอ่ยเสียงนุ่ม “ขายหน้าเสียจริง ไปกัน พวกเราไปดูดอกไม้ดีกว่า”
อาจารย์แม่หนานเป็นคนในยุทธภพ สตรีออกเรือนชั้นสูงที่พบเจอในอดีตไม่แยแสคนในยุทธภพมาเป็นสหาย ฮูหยินรองแตกต่างจากคนพวกนั้น อาจารย์แม่หนานสัมผัสได้ถึงการยอมรับอย่างจริงใจจากฮูหยินรอง
ข้างกายเจียวเจียวล้วนมีแต่คนที่ดีมากทั้งสิ้นเลย
อาจารย์แม่หนานยิ้มพลางขานรับ
“เจียวเจียว!”
เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังอวดว่าตัวเองสูงขึ้นกับอาจารย์หลูอยู่ มองปราดไปเห็นกู้เจียวที่เดินมานิ่งๆ
เสี่ยวจิ้งคงที่สามารถทิ้งทุกอย่างเพื่อเจียวเจียวได้ สลัดอาจารย์หลูทิ้งทันควัน วิ่งฉิวมาหยุดตรงหน้ากู้เจียว “เจียวเจียว! ข้าไม่ได้เจอเจ้าทั้งวัน ข้าคิดถึงเจ้านัก!”
เหลวไหล เมื่อครู่เพิ่งจะเจอกันหน้าประตูเรือนแท้ๆ
กู้เจียวลูบหัวของเขา
เอ๋
เมื่อก่อนแค่ยื่นมือไปก็ลูบได้แล้ว ยามนี้นางต้องยกมือขึ้นไปอีก
การมาถึงของกู้เจียวช่วยชีวิตอันกั๋วกงเอาไว้ ในที่สุดก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับน้องชายขี้แยแล้ว
ใต้เท้ารองจิ่งกลับยังอยากร้องไห้ต่ออีก ทางที่ดีร้องจนพี่ใหญ่ไม่กล้าทิ้งเขาไว้อีกเลยจะดีที่สุด แต่เมื่อสายตาเขาไปตกบนร่างกู้เจียว เสียงร้องไห้ก็หยุดชะงักไปทันใด!
เดิมทีเขาเป็นพวกเจ้าชู้เจ้าสำราญ ตอนนั้นเพื่อได้ดูสาวงามของสำนักบัณฑิตสตรีชางหลัน ยังลากพี่ใหญ่ไปดูการแข่งขันตีคลีด้วยซ้ำ
การแต่งกายของกู้เจียวไม่มีตรงไหนหรูหราฟุ้งเฟ้อเลย เครื่องประดับศีรษะกับทรงผมก็เรียบง่ายยิ่ง แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งขับความงดงามและกลิ่นอายของนางให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ใต้เท้ารองจิ่งกลืนน้ำลาย “ไม่กระมัง…นี่คือลิ่วหลังรึ”
“ลิ่วหลังอะไร เป็นเจียวเจียวแล้ว!” ฮูหยินรองถลึงตาใส่เขา “แล้วก็! นางเป็นหลานสาวของท่านด้วย!”
“ขะขะขะ…ข้ารู้!” เขาแค่ตกตะลึงกับรูปโฉมของนางก็เท่านั้นเอง ไม่ได้คิดสกปรกอะไรเสียหน่อย!
ฮูหยินรองแนะนำลูกๆ ทั้งสามของตนให้กู้เจียวรู้จัก
ลูกชายคนโต จิ่งหลัน ปีนี้สิบขวบ
ลูกสาวคนโต จิ่งหลี ปีนี้เจ็ดขวบ
ลูกสาวคนรอง จิ่งเมิ่ง ปีนี้ห้าขวบ
เด็กทั้งสามเรียกพี่หญิงใหญ่อย่างว่าง่าย
บ้านสายรองไม่ได้รู้ว่ากู้เจียวคือจิ่งยินยิน แต่พวกเขาก็ยอมรับกู้เจียวเป็นคุณหนูใหญ่ของอันกั๋วกงจากใจจริง
ได้ยินว่าแม่เลี้ยงของอันกั๋วกงเป็นสตรีดีมีคุณธรรม นางเลี้ยงบุตรชายมาได้อย่างนางเลย นางสอนลูกให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เลือกภรรยาให้ลูกชายก็เน้นที่นิสัยใจคอมากกว่าชาติตระกูล
กู้เจียวชาตินี้ไม่ได้เจอเหล่าฮูหยินที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่นางสัมผัสได้ถึงสติปัญญาและจิตใจอันดีงามที่เหล่าฮูหยินทิ้งไว้ ได้จากตัวของทุกคนในครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกัน
“เอาละ ค่ำมากแล้ว ไปกินข้าวที่ห้องอาหารเถิด” อันกั๋วกงเอ่ยพลางลุกขึ้นยืนจากรถเข็น
ใต้เท้ารองจิ่งสะดุ้งโหยงอีกครา!
มารดามันเถิด!
เห็นผีแล้ว!
พี่ใหญ่เขาลุกขึ้นยืน!
อันกั๋วกงหายวันหายคืน ไม่เพียงลุกขึ้นยืนได้เท่านั้น ยังเดินได้สิบกว่าก้าวแล้ว โดยไม่กินแรงเกินไปด้วย
ทั้งครอบครัวกินมื้อเย็นกันที่จวนอันกั๋วกง
หลังจากการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยด้วยเรือและรถม้า ร่างกายของอันกั๋วกงก็ทนไม่ไหว อยากพักผ่อนแล้ว
เขาเอ่ยกับกู้เจียวอย่างอ่อนโยน “เจ้าก็กลับวังไปพักไวหน่อยเถิด พรุ่งนี้เจ้าต้องไปเยี่ยมท่านปู่เจ้าอีกกระมัง เขาอยู่ที่ค่ายทหารม้าเฮยเฟิง เกรงว่าคงยังไม่รู้ว่าเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าไปหา จะได้สร้างความประหลาดใจให้เขาพอดี”
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดขึ้นมา “ข้าก็จะไปด้วย! ข้าก็จะไปด้วย!”
กู้เจียวหยักยิ้มมุมปาก “ได้”
อาจารย์หลูกับอาจารย์แม่หนานก็ขอตัวลาเขาเช่นกัน เขาแย้มยิ้มเอ่ย “จวนอันกั๋วกงเป็นบ้านของเจียวเจียว จอมยุทธ์หลูกับฮูหยินล้วนเป็นคนกันเอง วันหลังก็มาหากันบ่อยๆ ถึงจะดี หากทั้งสองท่านไม่รังเกียจ ข้าอยากเลือกวันไปเยี่ยมเยือนที่บ้านบ้าง”
อาจารย์หลูได้รับความโปรดปรานจนรู้สึกประหลาดใจ “ไอ้หยา คะ…คือบ้านพวกเราต่ำต้อย”
อันกั๋วกงทึกทักว่าเขาตกลงแล้ว จึงยิ้มเอ่ย “เช่นนั้นก็เอาเช่นนี้ล่ะ อีกสามวันข้าจะไปเยี่ยมเยือน”
นี่ไม่ได้กำลังพูดตามมารยาท แต่เป็นการผูกมิตรอย่างจริงใจกับพวกเขาชาวยุทธภพ
อาจารย์หลี่ทั้งดีใจทั้งซาบซึ้ง เขาไม่ได้ปฏิเสธอีก บอกที่อยู่บ้านไป “ยินดีต้อนรับอันกั๋วกงเสมอ”
…
กู้เจียวออกมาจากจวนกั๋วกง ก็ทอดมองจันทราบนฟากฟ้า
เอ๊ะ
อาเหิงบอกว่าจะมารับนาง ไยจึงยังไม่มาอีก
เกิดอะไรขึ้นหรือไม่นะ
กู้เจียวเดาได้ถูกต้องเป็นอย่างมาก เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
วันนี้ต้องผ่าตัดเอาหมุดออกให้ซ่างกวานเยี่ยน กู้เจียวกับเซียวเหิงต่างไปที่ตำหนักกั๋วกง ทิ้งลูกไว้ที่วังให้อู๋ซื่อสี่กับพวกแม่นมดูแล
หลงอีก็ไม่อยู่ เพราะหลงอีไม่ได้อยู่ที่เซิ่งตู แต่ติดตามคาราวานของพ่อลูกฉางคุนไปที่เกาะราตรีมืด
วังหลวงต้าเยี่ยนมีองครักษ์แน่นหนา ไม่มีทางมีคนร้ายแฝงตัวเข้าไปได้ ก่อนที่กู้เจียวกับเซียวเหิงจะมาถึงแคว้นเยี่ยน ฝาแฝดจึงใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข
ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าการจัดการเช่นนี้มีตรงไหนไม่เหมาะสม
ปัญหาเกิดกจากเหม่ยเหรินจากวังหลังคนหนึ่ง
คนผู้นี้แซ่จ้าว เป็นเหม่ยเหรินที่ตระกูลต่งหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ส่งมาบรรณนาการ หลังจากที่ซ่างกวานเยี่ยนขึ้นครองราชย์ก็ล้างไพ่อำนาจของทุกตระกูลใหญ่หมด ตระกูลหนานกงกับตระกูลหันถูกถอดชื่อออกเกลี้ยง อีกเก้าตระกูลที่เหลือก็เสียหายกันหนักไม่น้อย
เพื่อสร้างอำนาจให้มั่นคง เหล่าตระกูลใหญ่จึงพากันเอาอย่างแคว้นจิ้น ส่งคนงามเข้าวังมาบรรณาการ
หนึ่งในนั้นก็คือจ้าวอวี้
จ้าวอวี้เป็นชื่อที่สมตัว รูปโฉมประณีตดุจหยก รูปร่างสูงโปร่ง ติดไปทางผอมเล็กน้อย เป็นบุรุษงามต้นแบบของกิ่งหลิวต้องลมเลยทีเดียว
ยามอัสดง ในขณะที่เขาเดินเล่นอยู่ในอุทยานหลวงบังเอิญเห็นฝาแฝดถูกแม่นมอุ้มออกมารับลม
ซ่างกวานเยี่ยนป่าวประกาศต่อภายนอกแล้วว่าเป็นพระนัดดา ทว่าในวังหลวงแอบมีข่าวลือกันลับๆ ว่านั่นเป็นฝาแฝดที่เย่กั๋วซือใช้วิชาลับของตำหนักกั๋วซือต่างหาก โดยใช้ร่างกายบุรุษเพศตั้งครรภ์สิบเดือนเพื่อคลอดพันธุ์มังกรให้ซ่างกวานเยี่ยน
เพื่อปกป้องความลับไว้ จึงบอกกับคนภายนอกว่านี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ชายรอง
เหอะ ตอนแรกยังไม่มีองค์ชายรองเลย พอฝาแฝดมา ไฉนองค์ชายรองก็โผล่ออกมาเลยเล่า
ในเมื่อเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์ชายรอง ไยจึงไม่รับองค์ชายรองเข้าวังมาด้วยกัน แต่ฝาแฝดมาตั้งสองเดือนแล้ว องค์ชายรองกับชายาเพิ่งจะมาถึงเล่า
อย่าบอกเขาเชียวว่าเด็กสองคนนี้มาวังหลวงเองได้!
จะต้องเป็นซ่างกวานเยี่ยนใช้เวลาสองเดือน หาตัว ‘องค์ชายรอง’ มาจากหมู่ชาวบ้านแน่!
จ้าวอวี้ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งโดยที่คนอื่นมองไม่ออก
ฝ่าบาทมอบความรักความโปรดปรานทั้งหมดให้ฝาแฝด ไม่มองคนงามในวังหลังสักแวบ
ขอแค่ไม่มีฝาแฝดอีก ฝ่าบาทก็จะสังเกตเห็นคนงามในวังหลังแล้ว
เพลิงโทสะลุกลามขึ้นในใจ ความชั่วร้ายเกิดจากขวัญกล้า
จ้าวอวี้ที่ปกติพูดจายังไม่กล้าเสียงดัง กลัวจะล่วงเกินคน ขณะนี้ถูกความริษยาบดบังสติปัญญา ตกสู่สภาวะมารแล้ว
เขาเดินไปหาฝาแฝด
เขาเป็นที่นิยมมากในวังหลัง เหล่าแม่นมก็รู้จักเขา เขายิ้มพลางถวายคำนับให้ฝาแฝด
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความจริงแล้วเขารู้วิชาแพทย์ เขารู้ว่าวังลึกนั้นช่างน่ากลัว เพื่อปกป้องตัวเอง จึงพกยาพิษไว้ป้องกันตัวอยู่ตลอด
ยาชนิดนี้ไร้สีไร้กลิ่น หลังจากกินหรือสูดดมเข้าไป ภายในสามวันจะไม่เกิดความผิดปกติใด จนกระทั่งวันที่สี่จะเริ่มออกฤทธิ์
โดยปกติแล้วเมื่อโดนพิษจะตรวจสอบแค่ว่าวันนั้นกินอะไรลงไป พบเจออะไรบ้าง ไม่มีทางไปตรวจสอบว่าสามวันก่อนกินอะไร พบเจอสิ่งใด วิธีนี้จึงปลอดภัยยิ่ง
“ท่านหญิงน้อยกับท่านชายน้อยช่างน่ารักนัก” เขายิ้มเอ่ย
แม่นมสองนางวางฝาแฝดกลับเข้าเปลไกวแล้ว ทั้งสองมองฝาแฝด ยากที่จะไม่เห็นด้วยกับจ้าวเหม่ยเหริน
เจ้านายน้อยทั้งสองเป็นทารกที่งดงามที่สุดที่พวกนางเคยพบเจอมา
“อากาศร้อนนัก” จ้าวอวี้กางพัดด้ามจิ้ว พัดให้ตัวเองก่อน จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่คนไม่เห็น สาดผงยาใส่พัด
พอเขาหันกลับมา เห็นฝาแฝดกำลังเบิกตาโตมองเขาอยู่
เขาใจกระตุกวูบ!
ไยจึงเกิดรู้สึกร้อนตัวที่โดนจับได้ขึ้นมาเล่า!
เพียงไม่นานเขาก็ใจเย็นลง ไม่มีทางหรอก ไม่มีทาง แค่เด็กน้อยสองคนเท่านั้น เห็นแล้วอย่างไร พวกเขาจะไปรู้ความและจะพูดจะบอกได้รึ
จ้าวอวี้ถือพัดเดินไปที่เปลไหวของฝาแฝดทีละก้าว ทีละก้าว
ฝาแฝดมองเขาอยู่สามวินาที จู่ๆ ก็กำหมัดแน่นกันอย่างรู้ใจ ร้องไห้จ้าขึ้นมา!
“ไอ้หยา ท่านหญิงน้อย ท่านชายน้อยเป็นอะไรไป”
แม่นมที่อายุมากหน่อยเอ่ยขึ้นมาก่อน ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อม อยากจะดูว่านายท่านน้อยเป็นอะไร
จ้าวอวี้พลันถูกขวางไว้ด้านนอก
ยามนี้ไม่ว่าจะพัดอย่างไรก็พัดไม่โดนแล้ว
ทว่า สวรรค์ย่อมมีทางให้คนเดิน เขาบังเอิญสบโอกาสทองที่เหมาะกับการก่อคดี
เปลไกววางอยู่ในศาลารับลม พื้นแข็งทนทาน ข้างล่างเป็นบันได
ขอแค่ตนขัดขาแม่นมข้างหน้าล้ม นางก็จะล้มใส่เปล ทำให้ฝาแฝดข้างในล้มออกมา
หัวของเด็กหนัก ล้มลงไปหัวต้องโขลกพื้นแน่ หากเขาโชคดีมากพอ พวกเขาอาจถึงขั้นร่วงลงมาจากบันไดด้วย นี่คงถึงชีวิตโดยไม่ต้องสงสัยเลย
เขายื่นขาออกไปทันที
แม่นมคนนั้นก็ไม่ได้มองดังคาด สะดุดล้มใส่เปล
“ว้ายยย นายท่านน้อย” นางหลุดร้องเสียงดัง!
จ้าวอวี้หยักยกมุมปากขึ้นอย่างลำพอง
แต่ในขณะที่เขากำลังจะตาปริบๆ มองเด็กสองคนนี้ล้มหัวฟาดตาย สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ชั่วขณะที่เด็กสองคนจะถึงพื้น ก็พลันหายวับไป!
จ้าวอวี้ราวกับเห็นผี ขวัญบินหนีไปหมดแล้ว ล้มก้นกระแทกพื้น!
…
ณ ตรอกเล็กๆ ร้างคนแห่งหนึ่งในชานเมืองด้านตะวันออกของเมืองหลวง ในที่สุดเหลี่ยวเฉินที่ถูกไล่ล่ามาสามวันสามคืนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หยุดฝีเท้าลง ตัดสินใจต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับอีกฝ่าย
เขาอยู่ในจีวรสีเทา ยืนฝ่าลมอยู่ใต้แสงจันทร์ แขนเสื้อกว้างและชายอาภรณ์ถูกลมราตรีพัดกระพือขึ้นอย่างรแง
เป็นภิกษุแท้ๆ ทว่ากลับมีรูปโฉมที่ประณีตเหลือเกิน ดวงตาดอกท้อมีเสน่ห์คู่นั้น ราวกับกำลังมอมเมาด้วยน้ำหวานแห่งป่าท้อสิบลี้
ผู้ใดเห็นดวงหน้านี้ ใครบ้างจะไม่บอกว่า ‘ปีศาจพระจากที่ไหนกัน’
ไฝรองน้ำตาใต้ตาขวาเขา ดันทำให้เขามีความโดดเดี่ยวและลึกลับเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
เขาหยักยกมุมปาก ยิ้มเย็นเอ่ย “ไอ้จมูกวัว[1] อาตมาทนกับเจ้ามานานแล้ว เจ้าคงไม่ได้คิดจริงๆ ว่าอาตมาสู้เจ้าไม่ได้หรอกกระมัง”
นักบวชชิงเฟิงอยู่ในชุดคลุมนักบวชสีฟ้า ผมสีดำขลับถูกปิ่นไม้มวยปักไว้บนหัว ให้กลิ่นอายเซียนนักบวชเต๋าตลอดร่าง
เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าลงมืออย่างปรานีเสียหน่อย!”
เหลี่ยวเฉินปัดๆ ที่แขนเสื้อเบาๆ ยิ้มเอ่ย “ก็แค่ขโมยเสื้อผ้าเจ้ามา ทำให้เจ้าถูกคนเห็นของลับในคืนเดือนหงายมิใช่หรือ ข้าจะให้เจ้าดูคืนก็จบแล้ว!”
นักบวชชิงเฟิงสายตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “ไร้ยางอาย!”
เขาปล่อยท่าไม้ตายใส่เหลี่ยวเฉินเลย!
เหลี่ยวเฉินหรี่ตาลง
ไอ้จมูกวัวหน้าเหม็นเอาจริงรึ
ปีนี้ เจ้าจมูกวัวก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลยนี่!
เขาแตะปลายเท้าทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ จีวรคลุมกำลังภายในเขาไว้ไม่อยู่ ลมปราณแข็งแกร่งพลุ่งพล่านออกมาข้างนอก แทบจะกลายเป็นพายุหมุนน่าหวาดกลัว
“เจ้าจมูกวัว ถึงเวลาให้เจ้าได้เห็นความร้ายกาจของอาตมาแล้ว อย่ามาโทษว่าอาตมาไม่เตือนเจ้าล่ะ เมื่อฝ่ามือเมตตาปล่อยออกไป ต้องตายอย่างแน่แท้!”
“ตั้งรับ!”
เขาเพิ่งเอ่ยจบ ก็โจมตีใส่นักบวชชิงเฟิงทันที!
“อุแว้!”
เสียงเด็กเล็กโพล่งขึ้นด้านหลังเขา
เขาตัวแข็งทื่อ ลมหายใจสะดุด ร้องอ้ากอย่างตกใจ ร่วงลงกลางอากาศทันที
ที่ร่วงลงมากับเขาด้วยยังมีทารกน้อยอีกคน
เขาเอื้อมมือไปคว้าไว้
นักบวชชิงเฟิงอยากใช้จังหวะนี้กระทืบเขาให้ตาย แต่ในขณะเดียวกัน ทารกน้อยอีกคนก็ร่วงลงจากฟ้า กระแทกใส่ร่างนักบวชชิงเฟิง
ช่วยคนคือสัญชาตญาณ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นเด็กทารกน้อยด้วย
นักบวชชิงเฟิงอุ้มเจ้าตัวเล็กเข้าอ้อมอกได้ทัน
ทั้งสองต่างไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครู่ต่อมา กล่องน้อยใบหนึ่งก็ร่วงลงจากฟ้า
ไม่มีใครรับมัน
มันร่วงลงพื้นอย่างเดียวดาย
ลมเย็นหอบหนึ่งพัดมา กล่องน้อยเงียบงันดุจไก่
ส่วนนักบวชชิงเฟิงกับเหลี่ยวเฉินมองเด็กน้อยในอ้อมอก ก่อนจะพากันมึนงง
[1] ไอ้จมูกวัว คำเรียกเสียดสีนักบวชเต๋า
……….