บทที่ 962 พบอาจารย์แม่หนานอีกอีกครา
……….
หลังจากกู้เจียวกราบไหว้กั๋วซือที่ป่าไผ่ม่วงเสร็จ ก็ไปห้องผ่าตัดก่อน เพื่อดูอาการของซ่างกวานเยี่ยน
ซ่างกวานเยี่ยนหลับไปแล้ว เซียวเหิงบอกว่านางไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ตรงไหน มีแต่หิวข้าว
“รอท่านแม่ฟื้นขึ้นมาก็กินโจ๊กจืด ได้นิดหน่อย” กู้เจียวเอ่ย แล้วเอ่ยต่อ “ข้าจะไปจวนกั๋วกงหน่อย รับปากจิ้งคงว่าตอนเย็นจะไปรับเขา”
เสี่ยวจิ้งคงกับหลงอีกลับจวนเป็นเพื่อนอันกั๋วกง
เซียวเหิงยกมือจัดจอนผมนาง “อีกเดี๋ยวข้าจะไปรับเจ้า”
“ได้” กู้เจียวขานรับ หันหลังออกจากห้องผ่าตัดไป
“เจียวเจียว” เซียวเหิงเรียกนางเบาๆ “เจ้า สบายดีกระมัง”
กู้เจียวไม่ได้เล่าเรื่องกั๋วซือให้เซียวเหิงฟัง แต่ในเมื่อกู้เจียวยังเดาได้ เซียวเหิงย่อมไม่มีทางไม่สังเกต
อารมณ์นางนิ่งเฉยกว่าคนทั่วไป แต่ตราบใดที่ใช้ใจไปสนใจคนผู้หนึ่ง แม้จะเป็นอารมณ์ละเอียดอ่อนเพียงใดก็ไม่พ้นสายตาตนไปได้
กู้เจียวชะงักอยู่หน้าประตู จู่ๆ หันหลังกลับมา เดินมาหยุดตรงหน้าเขา จรดหน้าผากกับแผ่นอกแกร่งของเขา
ทุกคราที่นางอารมณ์ซึมเซา จะใช้วิธีเช่นนี้หาการปลอบโยนจากอ้อมอกเขา
เซียวเหิงโอบเอวบางของนางแผ่วเบา มืออีกข้างลูบหัวนางอย่างปลอบโยน
ความจริงแล้วต่อให้เซียวเหิงไม่สังเกตเห็น นางก็จัดการอารมณ์ของตัวเองได้ แต่เขามักสังเกตเห็นเสมอ และมักจะปลอบโยนนางทันกาล
ไม่มีคำพูดทำนองว่านางอย่าเสียใจไปเลย
นางก็เป็นคนเหมือนกัน นางเสียใจได้ โศกเศร้าได้ ไม่ต้องเข้มแข็งเพียงนั้นก็ได้
ซ่างกวานเยี่ยนหลับไปตลอดทั้งบ่าย ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว นางลืมตามาก็เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้กอดกันกลม
นางอ้าปากพะงาบๆ
ก็ได้ นางอิ่มแล้ว
จุกอาหารสุนัขสุดๆ
หน้าผากของกู้เจียวยังคงจรดอยู่ตรงหน้าอกแกร่งอันอบอุ่นของเขา มือเรียวสองข้างบีบเข็มขัดเขาไปมา นี่เป็นสัญญาณบอกว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
“ท่านแม่ฟื้นแล้ว” นางเอ่ยเสียงเบา
เซียวเหิงแววตาวูบไหว ขนตาสั่นระริก
“ข้าไปนะ” กู้เจียวหยักยกมุมปากอย่างซุกซน หันหลังออกจากห้องผ่าตัดไป ปล่อยเซียวเหิงเผชิญหน้ากับความกระอักกระอ่วนที่โดนจับได้เพียงลำพัง
หลังออกมาจากตำหนักกั๋วซือ กู้เจียวก็ขี่ราชาม้าเฮยเฟิง
อยู่แคว้นเจานางก็ขี่ราชาม้าเฮยเฟิง ทว่าความรู้สึกกลับแตกต่างกัน
ถนนหนทางอันคุ้นเคย กลิ่นอายอันคุ้นเคย เสียงการจราจรที่คับคั่ง เรียกความทรงจำออกมาไม่รู้สิ้น
สำนักบัณฑิตเทียนเซียง การแข่งขันตีคลี การคัดเลือกผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง…ยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจ คล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
กู้เจียวตบแผงคอราชาม้าเฮยเฟิงเบาๆ เอ่ย “พี่ใหญ่ ไปจวนกั๋วกง!”
ราชาม้าเฮยเฟิงพากู้เจียวควบทะยานไปบนถนนอันคุ้นเคย มาดมันแข็งแกร่งเกินไป ทำม้าตัวอื่นตกใจได้ง่าย มันจึงพยายามหลีกเลี่ยงฝูงชน ใช้ซอกซอยว่างเปล่าแทน
หนึ่งคน หนึ่งม้า ครั้นเดินไปครึ่งทาง จู่ๆ เบื้องหน้าก็มีเศษกระเบื้องลอยมาแผ่นหนึ่ง เมื่อเห็นว่ากำลังจะกระแทกโดนกู้เจียว ราชาม้าเฮยเฟิงก็เลี้ยวขวา หลบเลี่ยงอย่างแสนรู้
จากนั้นก็มีเศษกระเบื้องไปจนถึงอาวุธลับทะยานมาไม่ขาดสาย
มีคนกำลังต่อสู้กัน
“เจ้าจะหนีไปไหน วันนี้ไม่ข้าก็เจ้าต้องตายกันไปข้าง!”
กู้เจียวขมวดคิ้ว เสียงนี้…
“พี่ใหญ่!”
นางกระตุกบังเหียน สายตาดุจเปลวเพลิง
นั่นเป็นตรอกเล็กๆ เก่าๆ ที่กำแพงสุดปลายตรอกพังทลายลงมาหนึ่งในสามส่วนแล้ว แต่ก็ยังสูงเท่าตัวคนอยู่
กู้เจียวหนีบท้องม้าแน่น ทะยานกายขึ้นเงียบๆ ราชาม้าเฮยเฟิงกระโดดข้ามกำแพงไป
กู้เจียวไม่ได้พกทวนพู่แดงมาด้วย แต่นางมีอาวุธอื่นติดตัวอยู่
นางปลดแส้ตรงบั้นเอวออกมา สะบัดแส้ฟาดใส่สองคนที่กำลังสู้กันอุตลุดเสียงดังเพียะ
ชายชุดดำหนึ่งในนั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่เงียบๆ เขาแทงกระบี่ใส่สตรีคลุมหน้าที่ล้มอยู่บนพื้น จะว่าช้าก็ช้า จะว่าเร็วก็เร็ว มือเขาที่ถือกระบี่ถูกพละกำลังแข็งแกร่งคว้าไว้อย่างแรง
เขาตกใจ หันมามอง
ราชาม้าเฮยเฟิงยกขาหน้าขึ้น กระทืบใส่เขาอย่างแรง!
เขาหมายจะดึงเจ้าของแส้ลงมาจากหลังม้า เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีพละกำลังเท่านี้ จำต้องเลือกเร้นหลบไป
มองผิวเผินเหมือนหลบพ้นแล้ว ทว่ากู้เจียวพลิกมือดึงเขากระเด็นขึ้นมาทั้งตัว ล้มกระแทกใส่กำแพงหนาอย่างแรง!
“อ้ากกก”
หน้าอกและแผ่นหลังของชายชุดดำปวดแปลบขึ้นมาพร้อมกัน เขาร้องโหยหวนร่วงลงพื้น กระอักโลหิตคำหนึ่ง กู้เจียวพลิกตัวลงจากหลังม้า กระทืบใส่หน้าอกเขาก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมา กระทืบเขาจมดินไปทั้งตัวอย่างไร้ปรานี!
ชายชุดดำรู้สึกกระดูกทั่วร่างเหมือนแหลกลาญ หัวก็กระแทกพื้นอย่างแรง ไขสมองแทบจะกระเด็นออกมาด้วย
กู้เจียวไม่สนใจความเจ็บปวดของเขา หันไปมองสตรีที่อยู่ด้านข้างแทน “อาจารย์แม่หนาน ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
ถูกต้องแล้ว คนที่ถูกชายชุดดำไล่ล่าคืออาจารย์แม่หนานที่ไม่ได้พบกันนาน
อาจารย์แม่หนานได้ยินเสียงกู้เจียวก็ชะงักงันอย่างห้ามไม่ได้ แล้วหันไปมองใบหน้ากู้เจียว เนิ่นนานก็ไม่กล้าทักทาย
“ข้าเอง อาจารย์แม่หนาน” กู้เจียวเอ่ย
อาจารย์แม่หนานน้ำตาแทบร่วงริน “เจียวเจียว หน้าเจ้า…”
“อ้อ ปานหายไปแล้ว” กู้เจียวเอ่ยพลางมองชายชุดดำใต้ฝ่าเท้า ถาม “อาจารย์แม่หนาน เขาคือใครรึ”
อาจารย์แม่หนานจับกำแพงพยุงตัวลุกขึ้นปัดฝุ่นบนตัวออก ก่อนมาหยุดข้างกายกู้เจียว “คนของสำนักถัง”
เอ่ยจบ นางก็ขยับปลายนิ้ว ซัดเข็มพิษออกมาเล่มหนึ่ง ปาดคออีกฝ่าย
กู้เจียวชักเท้าที่อยู่บนร่างอีกฝ่ายกลับมา ถามอาจารย์แม่หนาน “ซือเหนียง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนแรกพวกท่านบอกว่าจะรั้งอยู่เซิ่งตูจัดการธุระส่วนตัวหน่อย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสำนักถังหรือ”
อาจารย์แม่หนานถอนหายใจอย่างจนปัญญา “เรื่องมันยาวน่ะ”
กู้เจียวมองไปรอบๆ “อาจารย์หลูเล่า”
อาจารย์แม่หนานเอ่ย “เขาไปสังหารศิษย์สำนักถังอีกคนน่ะ ข้านัดกับเขาให้ไปเจอกันที่ร้านน้ำชา”
กู้เจียวรู้จักร้านน้ำชานั่น นางเคยพาเสี่ยวจิ้งคงไปกินขนมที่นั่น อยู่บนถนนปี้หลัวที่ห่างจากที่นี่สามลี้
นางเอ่ย “ข้าไปรออาจารย์หลูเป็นเพื่อนอาจารย์แม่หนานดีกว่า”
อาจารย์แม่หนานถาม “จะเสียเวลาเจ้าหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ” กู้เจียวส่ายหน้า
เรื่องราวมักมีหนักมีเบามีด่วนมีไม่ด่วน นางเชื่อว่าเสี่ยวจิ้งคงไม่มีทางโกรธหรอก
ทั้งสองขี่ราชาม้าเฮยเฟิงตัวเดียวกันไปที่ร้านน้ำชาหลี่จี้ สั่งเป็นห้องส่วนตัวติดถนนบนชั้นสอง
กู้เจียวผลักหน้าต่างเปิด นั่งลงริมหน้าต่างกับอาจารย์แม่หนาน
ที่นี่วิสัยทัศน์ยอดเยี่ยม สามารถเห็นถนนได้ทั้งสาย หากอาจารย์หลูมาถึงละแวกนี้แล้ว พวกนางก็จะเห็นเขาได้ทันที
กู้เจียวเทน้ำชาให้อาจารย์แม่หนานจอกหนึ่ง
“จริงสิเจียวเจียว เจ้ามาแคว้นเยี่ยนได้อย่างไร ไหนจะปานของเจ้าอีก มันหายไปได้อย่างไร ข้าได้ยินว่าเจ้ากับอาเหิงแต่งงานกันแล้ว น่าเสียดายที่ไม่อาจไปร่วมงานมงคลของพวกเจ้าได้ ขออภัยด้วยจริงๆ ” อาจารย์แม่หนานมีคำพูดมากมายในใจที่อยากจะเอ่ย นางไม่เพียงแต่เป็นห่วงสถานการณ์ของกู้เจียวกับเซียวเหิงไม่พอ ยังคิดถึงพวกกู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนด้วย
“อันที่จริงนั่นไม่ใช่ปานหรอกเจ้าค่ะ เป็นจุดแดงพรหมจรรย์” กู้เจียวเล่าเหตุเมาสุราของเจ้าอาวาสจู้ฉือให้ฟังคร่าวๆ
อาจารย์แม่หนานฟังจบ ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
จากนั้นกู้เจียวก็เล่าสถานการณ์ในระยะนี้ของคนอื่นๆ ให้ฟัง กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนที่สำนักบัณฑิตชิงเหอ กู้เฉิงเฟิงเป็นแม่ทัพตูเว่ยอยู่ในค่ายทหาร ไม่ได้ไปสำนักบัณฑิตอีก วันหน้าก็จะมุ่งทางบู๊
กู้ฉังชิงสืบทอดกองทัพตระกูลกู้ต่อ แต่งงานกับหยวนเป่าหลิน
เซียวเหิงเดือนเจ็ดปีที่แล้วสอบได้เซ่าฝู่ ปลายปีราชเลขาหยวนร่างกายไม่แข็งแรง ลาออกจากขุนนางด้านอักษร เดือนสองปีนี้ เซียวเหิงรับตำแหน่งราชเลขาต่อ
ท่านย่ากับท่านปู่ร่างกายแข็งแรงกันมาก ท่านปู่กลับคืนตำแหน่งข้าราชการแล้ว ชอบไปคุยสัพเพเหระอยู่ในวัง
กู้เสี่ยวเป่าสองขวบครึ่งแล้ว เป็นเด็กน้อยที่ฉลาดนุ่มนิ่ม
แม่นางเหยาก็สบายดี
“อาเหิงกับจิ้งคงก็มาด้วย อาเหิงอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือ จิ้งคงอยู่จวนอันกั๋วกง”
กู้เจียวเล่าทุกอย่างอย่างละเอียด ทั้งเนิบช้าและใจเย็น
เห็นทุกคนต่างสบายดี อาจารย์แม่หนานจึงปลาบปลื้มยิ่งนัก “ดีจริง ดีจริง!”
“แต่ว่าอาจารย์แม่หนาน สถานการณ์ทางพวกท่านมันอย่างไรกัน”
“เฮ้อ” อาจารย์แม่หนานลูบใบหน้าตัวเองผ่านผ้าคลุมหน้า “เล่าไปแล้วก็เป็นแค้นเก่า ตอนนั้นที่ข้าออกจากสำนักถังมาก็ถูกทำลายวรยุทธ์ไป ไม่ติดค้างต่อสำนักถังอีก ข้าใสซื่อคิดว่าสำนักถังรักษาสัจจะ ไม่มีทางราวีข้าอีก ต่อมาข้าไปแคว้นเจา ได้รู้จักกับอาจารย์หลูเจ้า”
เล่ามาถึงตรงนี้ นางก็หยุดเว้น โปรยยิ้มจางๆ “เจ้าอาจจะเดาออกแล้ว อาจารย์หลูก็คือปรมาจารย์หลูแห่งแคว้นเจา ผู้อาวุโสเฟิงเคยมีบุญคุณต่อเขา ตอนที่อาเหิงมาหาที่บ้าน ขอให้อาจารย์หลูเจ้ารับเสี่ยวซุ่นกับอาเหยี่ยนมาเป็นศิษย์ เขาก็ตอบตกลง”
กู้เจียวคาดเดาตัวตนของอาจารย์หลูไว้แล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้พอได้ยินอาจารย์แม่หนานเล่า จึงไม่รู้สึกแปลกใจนัก
อาจารย์แม่หนานนึกย้อนความทรงจำเล่า “ตอนที่ข้าเพิ่งจะอยู่ด้วยกันกับอาจารย์หลู ยังไม่เสียโฉม บังเอิญมีอยู่หนหนึ่งไปเที่ยวทะเลสาบถูกฝ่าบาทแคว้นเจาต้องตาเข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แคว้นเจาคิดเช่นไร รู้ทั้งรู้ว่าข้าเป็นสตรีออกเรือนแล้ว ก็ยังเชิญพวกเราสามีภรรเข้าวังไปอีก พระองค์จัดงานเลี้ยงในอุทยานหลวงต้อนรับพวกเรา ระหว่างงานเลี้ยงทุกคนต่างร่ำสุรากัน ข้าไปตากลมที่ศาลาด้านข้างให้สร่างเมา ไม่คิดว่าจะเจอเซียวฮองเฮาเข้า”
“จากนั้นเล่า” กู้เจียวถาม
อาจารย์แม่หนานยกถ้วยชาขึ้น หัวเราะเสียงขื่น “จากนั้นพวกเราก็ออกจากงานเลี้ยง ระหว่างทางกลับข้ากับอาจารย์หลูเจ้าก็โดนไล่ล่า ใบหน้าข้าเสียโฉมในตอนนั้นนั่นล่ะ ผู้ร้ายหนีไปได้ หลายปีมาแล้วข้ายังหาตัวไม่เจอ”
กู้เจียวลูบคาง “คนทั่วไปคงคิดว่าเป็นฝีมือของเซียวฮองเฮา”
อาจารย์แม่หนานพยักหน้า “ถูกต้อง ตอนแรกข้ากับอาจารย์หลูของเจ้าก็สงสัยเช่นกัน แต่สงสัยนางแล้วอย่างไรเล่า นางเป็นถึงฮองเฮาแห่งแคว้นเจา เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเซวียนผิงโหว พวกเราไร้อำนาจ ไม่มีทางทำอะไรนางได้ด้วยซ้ำ”
“อาจารย์หลูเจ้าชิงชังเซียวฮองเฮา และเคียดแค้นตัวต้นเหตุของโศกนาฏกรรมอย่างฮ่องเต้แคว้นเจาด้วย หากพระองค์ไม่อยากได้ข้าจนน้ำลายหก เชิญพวกเราสามีภรรยาเข้าวัง ข้าก็คงไม่ต้องกระทบกระทั่งกับเซียวฮองเฮา เขาไม่รับใช้ราชสำนักอีกต่อไป ปิดบังตัวตนตั้งแต่นั้นมา”
“เป็นตอนที่พวกเจ้าออกรบเมื่อปีที่แล้วได้ไม่นาน ข้าก็เจอกับผู้ร้ายที่เคยทำลายโฉมข้าอีกครา!”
……….