บทที่ 961 ครอบครัวพร้อมหน้า
……….
หลังจากที่ซ่างกวานชิ่งกลับแคว้นเยี่ยน ซ่างกวานเยี่ยนก็แต่งตั้งเขาเป็นองค์ชายใหญ่
พสกนิกรไม่เคยเห็นพระนัดดาองค์โตในอดีต ไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เกิดความสงสัยต่อราชโองการฉบับนี้
ส่วนในบรรดาคนที่เคยพบเห็นเขามาก่อน ที่เป็นศัตรูอย่างพวกกงซุนอวี่ก็ตายไปแล้ว พวกเดียวกันอย่างพวกเหวินเหรินชงล้วนเป็นคนสนิทของตระกูลเซวียนหยวนและตำหนักกั๋วซือทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีทางแพร่งพรายข้อมูลที่ไม่เป็นผลดีต่อซ่างกวานชิ่งออกไปสู่ภายนอกอยู่แล้ว
ส่วนนักบวชชิงเฟิงกับหวังซวี่นั้น นักบวชชิงเฟิงเป็นพวกจำหน้าคนไม่ได้ จดจำรูปโฉมไม่ได้ ส่วนหวังซวี่ ซ่างกวานชิ่งเลือกที่จะบอกไปตามตรง
“…เรื่องราวคร่าวๆ ก็เป็นเช่นนี้ แม่ข้ากลัวว่าหลังจากตัวตนข้าที่ไม่ใช่ราชวงศ์ความแตกออกมา ตำหนักกั๋วซือจะไม่ยอมรักษาข้า จึงให้ข้าใช้ใบหน้าของน้องชาย” บนเรืออูเผิงลำหนึ่งในสระไท่เยี่ยของวังหลวง ซ่างกวานชิ่งใช้สองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองดวงดาราเต็มฟ้าพลางเอ่ย
หวังซวี่นั่งอยู่ข้างกายเขา ฟังความจริงทั้งหมดจบ อารมณ์ก็สงบไม่ได้เสียที “ดังนั้น…คนที่ข้าเจอที่ตำหนักกั๋วซือตั้งแต่แรก…ก็คือพระนัดดาองค์โตไม่ใช่เจ้า”
ซ่างกวานชิ่งคาบหญ้าหางสุนัขไว้ในปาก เอ่ยอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “เป็นน้องชายข้า”
หวังซวี่ลุกพรวดขึ้น ขยับแรงเกินไปหน่อย เรือทั้งลำจึงโคลงเคลง ซ่างกวานชิ่งมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ
เขาเอ่ยอย่างเจ็บปวด “เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“หืม” ซ่างกวานชิ่งนิ่งอึ้ง จริงอยู่ที่ข้าปิดบังเจ้ามันผิด…
หวังซวี่เอ่ยเคียดแค้น “เจ้าหักหลังข้า! เจ้าบอกรหัสลับระหว่างเราสองคนให้น้องชายเจ้ารู้!”
ซ่างกวานชิ่ง เดี๋ยวนะ เจ้าจับผิดประเด็นไปหรือไม่
“ข้า…” เขาอยากบอกว่า ข้าไม่ได้บอกนะ พวกเขาสองคนเดารหัสลับพวกนั้นกันออกเองต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้นก็ใช่ว่าเป็นความลับระหว่างพวกเราสองคนเสียหน่อย ข้าเรียนรู้มาจากกั๋วซือ รับประกันไม่ได้ว่ากั๋วซือไม่ได้บอกคนอื่นนี่
เขาหันมองหวังซวี่หน้าเจื่อนๆ “เหล่าหวัง…”
“เจ้าเปลี่ยนไป” หวังซวี่กำหมัดแน่น หันหน้าหนีอย่างเจ็บปวด “เมื่อก่อนเจ้าเรียกข้าว่าเหล่าหวังข้างบ้าน!”
ซ่างกวานชิ่ง “…”
…
เหล่าหวังก็ง้อยากเหลือเกิน หลังจากขึ้นจากสระไท่เย่ ซ่างกวานชิ่งก็รู้สึกว่าพลังหยวนชี่ของตัวเองหมดเกลี้ยงอย่างรุนแรง แม้แต่เดินเหินเขาก็ไม่อยากเดินแล้ว สั่งให้ขันทียกเกี้ยวมา เขาจะนั่งไปตำหนักเฟิ่งหลิน
ที่แคว้นเยี่ยนนั้น องค์ชายที่โตเต็มวัยจะต้องออกไปสร้างจวนนอกวัง นี่เป็นทั้งธรรมเนียมของบรรพบุรุษ และเพื่อเลี่ยงคำครหากับชายาสนมในวังหลัง
ทว่ายามนี้คนงามในวังหลังล้วนเป็นบุรุษทั้งหมด ซ่างกวานชิ่งไยต้องเลี่ยงคำครหาอีก
เขาจึงพักอยู่ในวังหลวงเสียเลย
เขาหมายจะไปถวายพระพรทางเสด็จแม่ก่อน แล้วแวะไปกินมื้อดึกสักหน่อย
ไหนเลยจะรู้เพิ่งเข้าตำหนักบรรทมของซ่างกวานเยี่ยน ก็ได้กลิ่นน้ำนมโชยมาปะทะหน้า จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเด็กเล็กอ้อๆ แอ้ๆ
“หืม”
เขาขมวดคิ้วมุ่น เดินไปที่ตำหนักในด้วยความประหลาดใจ
เห็นเพียงมารดาเขานั่งอยู่บนแท่นบรรทมสีเหลืองอร่าม ในอ้อมอกอุ้มทารกคนหนึ่ง กำลังใช้ขวดนมป้อน เย่ชิงนั่งอยู่บนม้านั่งข้างเตียง อุ้มทารกอีกคนป้อนนมด้วยขวดนมเช่นกัน
เขาสะดุ้งโหยงทันที!
ไม่กระมัง
ข้าออกไปแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ท่านแม่กับเย่ชิงก็สร้างครอบครัวสี่คนแล้วรึ!
ท่านไม่เหลียวแลคนงามมากมายในวังหลังพวกนั้น ที่แท้ก็ชอบแบบเย่ชิงนี่เองรึ!
จำต้องกล่าวว่า ในด้านนี้ ตรรกะความคิดของสองแม่ลูกล้วนเหมือนกันทีเดียว
“ท่านแม่”
เขาตกใจจนเสียงหลง
ซ่างกวานเยี่ยนส่งยิ้มให้เขา “มาสิ มาดูหลานชายหลานสาวตัวน้อยของเจ้า”
ที่แท้ก็ไม่ใช่น้องชายน้องสาว แต่เป็นหลานชายหลานสาวนี่เอง
เขาพรูลมหายใจโล่งอก เกือบจะนึกว่าเย่ชิงจะกลายเป็นพ่อเขาตั้งแต่วันนี้เสียแล้ว
หลานชายกับหลานสาวของเขามีเพียงเจ้าฝาแฝดของน้องชายหน้าเหม็นนั่นแหละ
เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ ราวกับดาวตกเดินไปหา ถามอย่างตื่นเต้น “เจ้าน้องชายหน้าเหม็นมาหรือ”
ซ่างกวานเยี่ยนคัดลอกถ้อยคำของเย่ชิงมา “ไม่ใช่ มีแค่พวกเขาสองคนที่มา”
…
ฝาแฝดตัวน้อยเริ่มใช้ชีวิตในวังหลวงต้าเยี่ยนด้วยการโดนรุมโอ๋ ซ่างกวานเยี่ยนไม่มีทางปล่อยให้หลานแฝดตัวน้อยของตนได้รับความไม่เป็นธรรม
วันรุ่งขึ้นนางก็พาแฝดน้อยไปเข้าประชุมเช้าด้วย ป่าวประกาศต่อหน้าธารกำนัลว่าไม่นานมานี้หาตัวองค์ชายรองซ่างกวานเหิงที่พลัดพรากไปนานเจอแล้ว แต่งตั้งโอรสขององค์ชายรองให้เป็นท่านชายน้อยหย่งเล่อ และแต่งตั้งธิดาขององค์ชายรองให้เป็นท่านหญิงน้อยคังหนิง
ต้าเยี่ยนต้อนรับพระนัดดาน้อยฝาแฝด ทั่วทั้งแผ่นดินร่วมแสดงความยินดี
ดังนั้น คนเป็นพ่อยังไม่ทันได้เพลิดเพลินกับความสุขของการเป็นองค์ชายสักวัน ฝาแฝดได้เป็นพระนัดดาที่มีแต่คนรุมรักก่อนแล้ว
กู้เจียวกับเซียวเหิงมาถึงเซิ่งตูปลายเดือนหก เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี เดิมทีหนึ่งเดือนครึ่งก็สามารถถึงแล้ว จึงล่าช้าไปอีกหนึ่งเดือนเต็มๆ
เมื่ออู๋ซื่อสี่ไปต้อนรับองค์ชายรองกับผู้บัญชาการน้อยที่หน้าประตูวัง ก็เกือบจะจำทั้งสองไม่ได้
สองสามีภรรยาดำปี๋นี่ใช่นายน้อยกิ่งหลิวต้องลมกับผู้บัญชาการน้อยโฉมงามล่มบ้านล่มเมืองในตำนานแน่หรือ
เซียวเหิงเอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เมื่อครู่รถถ่านคันหนึ่ง…คว่ำน่ะ!”
ทั้งสองส่งอันกั๋วกงกลับคฤหาสน์ก่อนจึงเข้าวัง ระหว่างทางเสี่ยวสืออีชนรถถ่านคันหนึ่งคว่ำ ทั้งสองจึงหน้าดำปี๋
แต่ทั้งสองตากแดดจนดำและผ่ายผอมลงก็เป็นความจริงเช่นกัน
อู๋ซื่อสี่เชิญทั้งสองไปยังตำหนักเฟิ่งหลิน “ฝ่าบาทกำลังประชุมเช้า อีกเดี๋ยวจะมา ท่านชายน้อยกับท่านหญิงน้อยรับลมอยู่ในศาลา”
ทั้งสองไปยังศาลารับลม
เจ้าตัวน้อยเกิดเมื่อต้นเดือนสอง ยามนี้ใกล้จะอายุห้าเดือนแล้ว ตัวขาวอวบอ้วนจ้ำม่ำ แขนขาน้อยๆ เหมือนรากบัวเป็นปล้องๆ
และเนื่องจากไม่มีหลงอีเพิ่มมื้อดึกให้เซียวเยียน รวมถึงการแย่งอาหารเซียวฉงของอีอีน้อย เซียวฉงจึงค่อยๆ ไล่ตามเซียวเยียนทันแล้ว
เซียวฉงพยายามเป็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้พูดน้อยอย่างยิ่ง จนด้วยเกล้าที่ทารกน้อยมีสัญชาตญาณอยู่ไม่สุข เขาจึงยังขยับแขนขาน้อยๆ ไปมาอยู่เป็นระยะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างฝาแฝดยังมีการสื่อใจถึงกันที่มหัศจรรย์มาก พอเซียวเยียนเรียก เขาก็จะส่งเสียงอื้อๆ อย่างควบคุมไม่ได้
ทั้งคู่บังเอิญได้ยินเสียงอื้อๆ ของเซียวฉงพอดี ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลแสนไกลมลายหายไปเป็นควันเพราะเสียงน้อยๆ นี้ทันที
เดิมคิดว่าแยกจากกันนานเพียงนี้ ฝาดแฝดคงจำพวกเขาสองคนไม่ได้ ใครจะคิดว่าไม่ใช่อย่างนั้น
เมื่อพวกเขาสองคนอาบน้ำสะอาดสะอ้านมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังฝาแฝด ฝาแฝดก็ร้องอุแว้ขึ้น
ในขณะนี้ ในที่สุดก็รู้จักคิดถึงพ่อแม่กันแล้ว
พอกู้เจียวหันกลับมา เห็นเซียวเหิงขอบตาแดงก่ำ
กู้เจียว “…”
…
นิสัยของมนุษย์นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปหลายหลากตามสถานะ ซ่างกวานเยี่ยนตั้งแต่ขึ้นเป็นราชินี จิตใต้สำนึกก็มีความน่าเกรงขามและดุดันของผู้อยู่เหนือคนเพิ่มขึ้นมาโดยปริยาย
นางรู้ดีว่ารัชสมัยนี้ไม่เป็นธรรมต่อสตรี ตอนแรกนางสามารถเป็นองค์หญิงรัชทายเพราะเวลา สถานที่และผู้คนต่างเอื้ออำนวยให้ หนึ่งคือบิดานางเป็นทรราชนัก ระงับความไม่พอใจทั้งหมดเอาไว้ ประการที่สองนางเป็นธิดาสายตรงเพียงคนเดียวของฮองเฮา เป็นสายเลือดแท้ๆ ประการที่สามตระกูลเซวียนหยวนแข็งแกร่งมากพอ ให้การสนับสนุนเป็นกำลังให้นาง
ทว่าความไม่ยอมจำนนยังคงมีอยู่เสมอ หลังจากขึ้นครองราชย์ ปัญหาเหล่านั้นก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น
นางไม่อาจแสดงจุดอ่อนออกมาได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นจะทำให้พวกมีเจตนาร้ายสบโอกาสแว้งกัด
มีเพียงคนที่นางไว้วางใจและใส่ใจอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่นางจะถอดเกราะทั้งร่างออก
“อาเหิง!”
นางมาถึงหน้าประตูตำหนัก มองปราดไปเห็นเซียวเหิงกำลังหยอกฝาแฝดเล่น ไอสังหารของราชินีพลันหายสิ้น แววตามีความอ่อนโยนไม่มีสิ้นสุดปรากฏ
เซียวเหิงหันหน้ามายิ้มให้นางจางๆ “ท่านแม่”
ซ่างกวานเยี่ยนขอบตารื้น
ซ่างกวานชิ่งไม่ได้รู้เลยว่าน้องชายหน้าเหม็นเข้าวังมาวันนี้ เขาออกไปเล่นโน่นแล้ว ซ่างกวานเยี่ยนกับสองสามีภรรยาทานมื้อกลางวันกันที่ตำหนักเฟิ่งหลิน
ซ่างกวานเยี่ยนเพิ่งจะเห็นรูปลักษณ์ไร้ปานแดงของกู้เจียวครั้งแรก นางตกตะลึงอย่างหนัก แม้จะเดาได้ว่ากู้เจียวไม่มีปานแดงแล้วจะงดงามมาก แต่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะงดงามปานนางฟ้าเช่นนี้
หากนางไปค่ายทหารด้วยรูปลักษณ์นี้ เจ้าคนพวกนั้นได้เสียสติกันแน่
“เจียวเจียว กินข้าวสิ” ซ่างกวานเยี่ยนคีบขาหมูหวานอ่อนนุ่มให้กู้เจียวชิ้นหนึ่ง “อาเหิงบอกว่าเจ้าชอบกินอันนี้”
กู้เจียวลองชิมคำหนึ่ง น้ำตาลทรายกับเครื่องพะโล้เป็นเครื่องปรุงที่เข้มข้นมาก ใส่พริกขี้หนูเพิ่มอีกหนึ่งกำ รสชาติจะเข้าเนื้อ แม้ว่าจะทั้งเผ็ดทั้งแสบ แต่ก็หวานไม่เลี่ยน เผ็ดแต่ไม่ร้อน
กู้เจียวชื่นชอบมาก
นึกบางอย่างขึ้นมาได้ กู้เจียวก็ถามนาง “จริงสิ ท่านแม่ อาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บหรือไม่”
เซียวเหิงหันไปมองซ่างกวานเยี่ยน กู้เจียวหมายถึงแผ่นหลังนางที่ฝังหมุดไว้แปดตัว
ซ่างกวานเยี่ยนส่ายหน้า “หายเจ็บนานแล้ว ยามนี้ข้าไม่ต่างจากก่อนได้รับบาดเจ็บแล้ว”
กู้เจียวเอ่ย “เช่นนั้นเดี๋ยวพวกเราไปตำหนักกั๋วซือกันหน่อย ข้าจะเอาหมุดออกให้ท่าน”
ซ่างกวานเยี่ยนครุ่นคิด “เจ็บหรือไม่”
กู้เจียวเอ่ย “ฉีดยาชา ไม่เจ็บเจ้าค่ะ”
ตกบ่าย ทั้งสามก็ไปตำหนักกั๋วซือ
อวี๋เหอมาต้อนรับทั้งสาม เขาเห็นกู้เจียวก็ไม่กล้าทัก แน่นอนว่าเขาทราบตัวตนที่แท้จริงของกู้เจียวจากปากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว และได้ยินว่ากู้เจียวกลับคืนรูปโฉมเดิมแล้ว แต่นี่กลับคืนได้เกินไปหน่อยหรือไม่
ไม่ใช่นางฟ้าลงมาโลกมนุษย์จริงๆ น่ะรึ
กู้เจียวหยักยกมุมปาก “ไม่ได้พบกันนานเลย อาจารย์น้อยอวี๋เหอ”
เสียงก็เปลี่ยนไปด้วย!
ตอนที่กู้เจียวปลอมตัวเป็นบุรุษเป็นเสียงของเด็กหนุ่ม
อวี๋เหอตกตะลึงจนไม่อาจจะตกตะลึงไปกว่านี้ได้แล้ว เคราะห์ดีที่เย่ชิงมาพอดี
เย่ชิงพาพวกนางไปยังห้องลับ
ซ่างกวานเยี่ยนอาการไม่เลว ผลการตรวจแต่ละรายการปกติดี การผ่าตัดเอาหมุดออกจึงสำเร็จลุล่วงดีมาก
ซ่างกวานเยี่ยนอยู่ในห้องผ่าตัดต่อเพื่อสังเกตอาการสิบสองชั่วยาม เซียวเหิงอยู่เป็นเพื่อนนาง
กู้เจียวออกมาจากห้องลับ เอ่ยกับเย่ชิงที่เฝ้าหน้าประตู “พาข้าไปไหว้อาจารย์เจ้าหน่อย”
เย่ชิงชะงัก
เขาอ้าปาก “เจ้า…”
กู้เจียวกวาดสายตาผ่านผ้าไว้อาลัยบนไหล่เขา “ไปกันเถิด”
ลูกกระเดือกเย่ชิงขยับไหว อารมณ์ในทรวงพลุ่งพล่าน ลำคอมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ จู่ๆ ก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมา
เขาไม่ได้ถามกู้เจียวว่าเดาได้อย่างไร หากนางไม่มีมันสมองอันชาญฉลาดเช่นนี้ ก็คงไม่มีทางกลายเป็นจ้าวแห่งเงามืดรุ่นแรกได้หรอก
เขาพากู้เจียวไปยังป่าไผ่ม่วง
ห้องหนังสือน้อยที่นั่นถูกประดับแต่งอย่างประณีต นอกจากรูปปั้นดินน้อยและภาพเหมือนที่ถูกยกให้กู้เจียวแล้ว เครื่องเรือนอย่างอื่นก็ไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ภาพขีดเขียนของจิ่งยินยินก็ยังอยู่
ราวกับคนผู้นี้ไม่เคยหายไปจากข้างกาย เขายังคงมีชีวิตอยู่ในชีวิตของพวกเรา เพียงแค่หันกลับมา ก็จะเห็นกั๋วซือดุจเซียนผู้วิเศษยืนอยู่หน้าประตู
กู้เจียวลูบสมุดภาพของจิ่งยินยิน “อาจารย์เจ้าจากไปอย่างสงบหรือไม่”
เย่ชิงเอ่ยด้วยความเสียใจ “ได้ยินอวี๋เหอบอกว่าสงบมาก”
เขาโกหกกู้เจียว ความจริงแล้วเขาไม่ได้เห็นวาระสุดท้ายของอาจารย์ คนที่ไปหาเขาที่เกาะราตรีมืดก็ไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็นอวี๋เหอที่ถือจดหมายลายมืออาจารย์มา
กู้เจียวเอ่ยเสียงแผ่ว “เพื่อเซวียนหยวนฉีหรือ”
ชีวิตของเซียวหยวนฉีสิ้นสุดลงที่ภูเขาผีแล้ว ศึกเมืองผู่ เขาใช้ความคิดและกำลังกายทั้งหมดแล้ว
เขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ซ้ำยังดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน อาจเพราะไม่ใช่แค่ปาฏิหาริย์ของหญ้าจื่อเฉ่าเท่านั้น
เย่ชิงสะอื้นพลางพยักหน้า “อาจารย์บอกว่า เขาทำผิดต่อตระกูลเซวียนหยวน เขาจึงเอาชีวิตชดใช้เซวียนหยวนฉี…และถือว่าเป็นการขออภัยต่อตระกูลเซวียนหยวนด้วย…”
เขาก็เพิ่งจะมาเข้าใจทีหลังนี่เอง ว่าเหตุใดอาจารย์จึงให้เขาไปด่านชายแดน ซ้ำยังมอบพิษจื่อเฉ่าให้เขาด้วย อาจารย์คำนวณชะตากรรมของเซวียนหยวนฉีไว้เรียบร้อยแล้ว และคำนวณนิสัยของเขาอย่างแม่นยำ ว่าไม่มีทางปล่อยเซวียนหยวนฉีไว้โดยไม่สนใจ
ทุกอย่างล้วนอยู่ในแผนการของอาจารย์
ตั้งแต่เขาจากตำหนักกั๋วซือไปด่านชายแดน อาจารย์ก็รอคอยความตายอยู่ที่เซิ่งตูอย่างสงบแล้ว
กู้เจียวพึมพำ “มิน่าเล่า ตอนกลับจากชายแดนมาเจอเขา เขาจึงได้ชราขึ้นเพียงนั้น”
เขาฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตาของเซวียนหยวนฉี สูญเสียพลังชีวิตของตัวเองไปจนสิ้น
เย่ชิงหันกลับมาปาดน้ำตา สงบสติอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียวต่อ “อาจารย์รู้ว่าเจ้าคือจิ่งยินยิน เขาบอกเซวียนหยวนลี่แล้ว ตอนยินยินยังเด็ก ผู้บัญชาการใหญ่เซวียนหยวนมักจะแอบขโมยนางกลับไปบ้าน เพราะสาเหตุนี้ ได้เฝ้าปกป้องเจ้าแห่งเงาทมิฬเติบโต เป็นความปรารถนาสูงสุดของอาจารย์และผู้บัญชาการใหญ่เซวียนหยวน”
กู้เจียวพลันกระจ่างขึ้นไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เซวียนหยวนลี่จึงยกชุดเกราะของตัวเองให้จิ่งยินยินอย่างนั้นหรือ และด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจิ่งยินยินตอนเด็กจะอ่อนแอเพียงใด เขาก็ยังสนับสนุนให้จิ่งยินยินร่ำเรียนวรยุทธ์อยู่ดี
เย่ชิงนึกถึงอาจารย์ น้ำตาก็อดร่วงรินออกมาอีกไม่ได้ “อาจารย์บอกว่า เขาไม่อาจปกป้องยินยินให้ดีได้ แต่พวกเขาต่างหวังว่าจะปกป้องเจ้าไว้ได้”
ฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนแปลงชะตาเพื่อเซวียนหยวนฉี ไม่เพียงเพราะติดค้างตระกูลเซวียนหยวนเท่านั้น ยังหวังว่าชาตินี้จะสามารถมีคนที่แข็งแกร่งกว่าตนมาปกป้องเจ้าได้ด้วย
กู้เจียวลูบสมุดภาพที่เขียนด้วยลายมือของกั๋วซือว่า ‘ยินยิน’ ก่อนยกมือขึ้นกดหัวใจตัวเอง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตรงนั้นช่างปวดแปลบนัก
……….