บทที่ 960 ดูแลอย่างยิ่งใหญ่อลังการ (ฉบับแฝดมังกรหงส์)
……….
หลังจากซ่างกวานเยี่ยนขึ้นครองบัลลังก์ก็เปลี่ยนชื่อตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เป็นตำหนักเฟิ่งหลิน
เมืองเซิ่งตูยามเดือนสี่นั้นอากาศอุ่นที่สุดในรอบปี ไม่หนาว ไม่ร้อน ไม่แห้ง ไม่ชื้น
ซ่างกวานเยี่ยนนั่งแก้ฎีกาอยู่ในห้องหนังสือของตำหนังเฟิ่งหลิน บนโต๊ะของนางมีกรอบรูปสองกรอบที่กู้เจียวให้กรมฉายาลักษณ์ส่งมาจากแคว้นเจา ในกรอบเป็นภาพเหมือนของแฝดชายหญิง
งานราชสำนักทำเอานางจิตใจห่อเหี่ยวทุกวี่ทุกวัน แต่พอได้เห็นภาพเหมือนของแฝดชายหญิงแล้ว ก็รู้สึกว่าความเหนื่อยล้าในกายพลันหายไปในพริบตา
นางมองเหลือบมองภาพเด็กแฝด ความเอ็นดูฉายผ่านแววตานั้น
คลอดมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เจอหน้าเจ้าเด็กน้อยทั้งสองเลย
ได้ยินว่าเจียวเจียวกับอาเหิงจะมาแคว้นเยี่ยน แต่สองแฝดยังเล็กนัก ไม่อาจอดทนต่อความเหนื่อยล้ายามเดินทางไกล จึงควรอยู่ที่แคว้นเจา
ไม่ได้เห็นพวกเขาตอนยังตัวเล็กกระจิ๋ว ช่างน่าเสียดายนัก
ซ่างกวานเยี่ยนทอดถอนใจ
ทว่าทันใดนั้นเอง อู๋ซื่อสี่ก็เดินจ้ำเข้ามา เขาโค้งตัวถวายบังคม “ฝ่าบาท”
ซ่างกวานเยี่ยนชำเลืองมองสีหน้าเขาก็รู้ว่ามีคนมาขอเฝ้าอีกแล้ว นางตรัสอย่างจนใจ “คราวนี้ผู้ใดอีกเล่า”
เหล่าคนงามวังหลังนั้นมีเรื่องวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น ทุกคืนต่างสร้างสถานการณ์บังเอิญสารพัดหรือไม่ก็ใช้เล่ห์กลเสนอตัวร่วมเคียงหมอน
ยามเป็นองค์หญิง นางคิดว่ามีเพียงสตรีเท่านั้นที่ชิงดีชิงเด่นกัน แต่พอได้เป็นฮ่องเต้แล้วถึงได้รู้ว่าหากเหล่าบุรุษเล่นลูกไม้ขึ้นมาแล้วก็ละก็ สตรีนั้นเทียบไม่ติด
แถมหลายคนหน้ายังตาน่าดึงดูดอย่างประหลาด
อู๋ซื่อสี่ยิ้มเอ่ย “ใต้เท้ากั๋วซือขอรับ”
ซ่างกวานเยี่ยนยกพู่กันค้างเติ่ง “เย่ชิงรึ”
เวลาหนึ่งเค่อให้หลัง เย่ชิงก็เดินเข้ามาให้ห้องหนังสือของซ่างกวานเยี่ยนพร้อมกับเด็กน้อยในอ้อมแขนซ้ายขวา
คนที่รู้ก็บอกว่าเขามีเรื่องกราบทูล ส่วนคนไม่รู้ก็คิดว่าเขาพาลูกมากดดัน ร้องขอให้ซ่างกวานเยี่ยนรับผิดชอบตนและลูก
คนทั้งตำหนักเฟิ่งหลินต่างตกตะลึง
มิน่าล่ะองค์จักรพรรดินีถึงได้ไม่ชายตามองเหล่าชายงามวังหลังเลยแม้แต่นิด ที่แท้แล้วถูกกั๋วซือเย่ชิงจอมเจ้าเล่ห์ตัดหน้าอย่างนั้นหรือ!
“เย่ชิง เจ้าต้องการอะไร”
ซ่างกวานเยี่ยนแสดงออกว่าตนเองก็มึนงงเช่นกัน
ดึกดื่นป่านนี้ บุรุษคนหนึ่งพาเด็กทารกมาเข้าเฝ้านาง ทั้งยังสีหน้าท่าทางอยากจะอธิบาย คิดอย่างไรก็น่ากลัวเหลือเกิน!
“ข้าไม่เคยทำอะไรมิดีมิร้ายกับเจ้าหรอกใช่ไหม”
เจ้าคลอดเด็กออกมาเองหรือ
เจ้าไปเกาะอั้นเย่ตั้งนานไม่ยอมกลับมา เพราะแอบตั้งท้องอยู่สิบเดือนแล้วคลอดเองที่นั่น
ภาพจินตนาการแสนพิสดารพันลึกผุดขึ้นมาในหัวของซ่างกวานเยี่ยน!
นางส่ายศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง รอคำอธิบายจากเย่ชิง
เย่ชิงวางเด็กน้อยลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ก่อนจะหยิบกล่องยาใบน้อยมองมาจากตะกร้าสะพายหลัง แล้ววางข้างกันบนโต๊ะ
จากนั้นซ่างกวานเยี่ยนก็ตาพร่าอีกครั้ง
ก่อนอื่นนางมีรูปเหมือนของแฝดชายหญิง นางดูอยู่ทุกวันทุกคืนจนจำใบหน้าของทั้งสองได้แจ่มชัด
ว่ากันตามตรง ภาพเหมือนและตัวจริงนั้นย่อมมีความแตกต่างอยู่แล้ว แต่คนกับคนนั้นคงไม่ต่างกันขนาดนั้นหรอกกระมัง
เจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งคือเสี่ยวเจียวเจียวย่อส่วน อีกคนหนึ่งของเสี่ยวอาเหิงแบบย่อส่วน จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครได้อีกเล่า
จากนั้นก็มองไปยังกล่องยาใบน้อย นี่มันของเจียวเจียวชัดๆ คงไม่จำผิดหรอกกระมัง
“เจียวเจียวกับอาเหิงมาหรือ” ซ่างกวานเยี่ยนถามอย่างตื่นเต้น
เย่ชิงตกใจจนเสียสติ วิญญาณยังไม่ทันกลับเข้าร่าง เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เปล่าพ่ะย่ะค่ะ มีแค่พวกเขาสองคน”
ซ่างกวานเยี่ยน “…”
รังสีอำมหิตของกู้เจียวแผ่ซ่านไปทั้งจวน แม้แต่เซียวเหิงยังไม่กล้าเข้าใกล้นาง
นางกำหมัดน้อยเสียงดังกรอดกรอด
“ข้าว่าเจ้าคงอยากถูกผ่าไปทำฝืนสินะ!”
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจ้ากล่องยาใบน้อยส่งคนไปที่ไหน แน่นอนว่าต้องเป็นห้องผ่าตัดของตำหนักกั๋วซือ เดิมพันด้วยขนมล่าเถียวหนึ่งห่อ
นางนั้นไม่ได้กังวลว่าจะไม่มีใครพบเห็น เพราะห้องผ่าตัดนั้นมีหน่วยกล้าตาคอยเฝ้าเวรยามอยู่ หากมีเด็กร้องไห้อยู่ในนั้น เย่ชิงต้องถูกเรียกตัวไปแน่นอน
“เจ้ากล่องยานี่นับวันก็ยิ่งซุกซนนัก นับวันก็ยิ่งเหิมเกริม”
แต่ก่อนสามารถหายตัวได้เฉพาะตัวเองแท้ๆ แต่ยามนี้พาไปได้แม้กระทั่งสองแฝดแล้ว
นั่นบ่งบอกได้ว่าตอนนี้ความจุของมันฟื้นตัวกลับมาแล้วหรือเปล่า
ที่สงสัยนั้นก็เป็นเพราะตั้งแต่ก่อนหน้านี้กู้เจียวก็เริ่มสงสัยแล้วว่าการฉีกมิติเวลาของเจ้ากล่องยานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คงต้องใช้พลังงานทั้งหมดของมัน
นั่นคงเป็นเหตุผลว่าตอนที่มันปรากฏตัวขึ้นถึงได้เป็นกล่องยาบิดๆ เบี้ยวๆ
กู้เจียวสองมือเท้าแก้ม เอ่ยเสียงพึมพำ “แล้วเจ้ากล่องยานี่มาจากไหนกันแน่ ถ้าฟื้นตัวเต็มที่แล้วจะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน”
เอ่อ อาจจะเป็นตื่นตกใจมากกว่า
…
ด้วยเหตุนี้ฝาแฝดทั้งสองจึงเดินทางมาถึงก่อนกำหนด แผนการเดินทางเดิมในสามวันให้หลังได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นเช้าวันรุ่งขึ้น
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องคิดถึงถึงข้าปานนั้น ประเดี๋ยวข้าก็…”
เซียวเหิงกำลังบอกลาเสียงอ่อนไม่ทันจบ องค์หญิงซิ่นหยางก็โยนห่อผ้าของเขาขึ้นรถม้า “ตอนกลับแคว้นเจาอย่าลืมพาเยียนเอ๋อร์กับฉงเอ๋อร์กลับมาด้วย”
เซียวเหิง “…”
ข้ายังเป็นลูกชายสุดที่รักในสายตาของท่านอยู่หรือไม่
ความรักของคนเราจืดจางได้สินะ
อีกฟากหนึ่ง ฉังคุนและฉังจิ่งเองก็ตัดสินใจออกเดินทาง
ฉังคุนและเซวียนผิงโหวทะเลาะกัน
สาเหตุมาจากเซวียนผิงโหวบอกให้ฉังคุนนำของหมั้นพวกนั้นกลับไป เขาไม่มีลูกสาวให้แต่งงานกับฉังจิ่ง
ฉังคุนบอกว่าพวกเขาชาวเกาะอั้นเย่ไม่ติดใจหากจะรอให้เสี่ยวอีอีโตเสียก่อน
หลังจากนั้นเขาก็ถูกเซวียนผิงโหวต่อย
ฉังคุนจึงเดินขากะเผลกข้างหนึ่งสาวไม้เท้าเดินออกมา บนศีรษะยังมีก้อนปูดโน ใบหน้าเขียวช้ำบวมเป่งเอ่ยกับฉังจิ่ง “พ่อเจ้าผู้นี้… เพื่องานแต่งงานของเจ้า… ข้าไม่ตอบโต้แม้แต่กระบวนท่าเดียว…”
ฉังจิ่งที่ถูกกล่าวหา “ข้าเองก็ไม่ได้บอกว่าจะสู่ขอเสียหน่อย ตอนแรกข้าแค่หลอกท่าน ข้าแค่อยากออกจากเกาะ…”
วินาทีต่อมา ฉังจิ่งเองก็ถูกฟาดจนน่วม
…โตขนาดนี้แล้ว ยังถูกพ่อตีอีก
สองพ่อลูกนั่งประจันหน้ากันบนรถม้า ทั้งสองถือผ้าเช็ดหน้าห่อน้ำแข็งในมือ ประคบกับใบหน้าบวมเป่งเป็นหัวหมูของตัวเอง
เสี่ยวอีอีวัยหนึ่งขวบสี่เดือนถูกองค์หญิงซิ่นหยางอุ้มอยู่ในอ้อมอก โบกมือน้อยๆ ลาพวกเขา “ท่านลุงจั๋ง (ฉัง) ลา ท่านพี่จั๋ง (ฉัง) จิ่ง ลา”
อยากจะเอ่ยออกมาว่าลาก่อน แต่ยังเด็กเกินไป บางคำจึงออกเสียงไม่เป็น
ทั้งสองคนโบกมือลานาง
เสี่ยวอีอีชอบฉังจิ่งมาก แต่ฉันจิ่งที่โดนซ้อมนั้นหน้าตาบูดเบี้ยวไปหมด ทำเอาเสี่ยวอีอีร้องไห้จ้า
ไม่นานรถม้าของอันกั๋วกงก็มาถึง เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากรถม้า เดินตึงตังขึ้นรถม้าของกู้เจียว “เจียวเจียว! ข้าพาท่านพ่อกลับมาแล้ว”
เขาเรียกตามกู้เจียว
หลังจากกู้เจียวเรียกอันกั๋วกงว่าท่านพ่อ เสี่ยวจิ้งคงก็เปลี่ยนไปเรียกท่านพ่อตาม
กู้เจียวมองใบหน้าหล่อเหลาของเด็กน้อยที่คมเข้มขึ้นยิ่งนัก ก่อนจะยกยิ้มมุมปากพลางเอ่ย “จิ้งคงเก่งจริงๆ ”
เซียวเหิง เหอะๆ
เจ้าอายุจะแปดขวบแล้ว! ยังแสร้งทำเป็นออดอ้อนอีก!
เซียวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าก็จะไปแคว้นเยี่ยนรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอวเอ่ย “แน่นอนว่าข้าต้องไปอยู่แล้ว! เจียวเจียวไปที่ไหน! ข้าก็จะไปที่นั่น!”
เซียวเหิงเสียงนิ่ง “เจ้าไม่ต้องเรียนหนังสือรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “ก็มีเจ้าอยู่ด้วยนี่”
เซียวเหิงมุมปากกระตุก “เจ้าไม่ต้องเรียนวรยุทธ์รึ”
เสี่ยวจิ้งคงผายมือยักไหล่ “ก็มีหลงอีอยู่นี่นา!”
เซียวเหิงไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
…ใหญ่ที่สุดในบ้านเลยสินะ เส้นสายดีเหลือเกิน
เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอวอยู่อย่างนั้น เอ่ยเย้ยหยัน “เหอะ! เจ้าคิดจะครอบครองเจียวเจียวคนเดียวละสิ!”
เซียวเหิงนั้นไม่ต่อปากต่อคำ แต่กลับเอ่ยเสียงราบเรียบ “เสี่ยวสืออี”
ราชาม้าควบเข้ามาปานสายฟ้าแลบ เลี้ยวขวับที่หน้าประตูจวนโหวจนขาแทบจะพันกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของจิ้งคงได้อย่างสมบูรณ์ “เอ๊ะ เสี่ยวสืออีมาแล้ว! เจียวเจียว ข้าขอขี่เสี่ยวสืออีได้หรือไม่”
“ได้สิ” กู้เจียวขานตอบ
ใครบางคนไม่รู้เลยว่าตัวเองติดกับดักของพี่เขยตัวแสบเข้าให้ จึงขึ้นควบขี่เสี่ยวสืออีอย่างเพลิดเพลินใจ!
ราชาม้าเฮยเฟยนำหน้าขบวนรถ แววตาเยือกเย็น สูงใหญ่สง่างาม แม้มิใช่ยามออกศึก หากแต่เดินเหินไปตามท้องถนน รอบกายของมันก็อวบอวลแผ่ซ่านไปด้วยไอสังหารของม้าศึก
มันอายุสิบเจ็ดปีแล้ว โชคดีที่ยังไม่แก่หง่อม ยังสามารถสร้างตำนานได้อีกมากมาย
กู้เจียวไม่อนุญาตให้ขี่ม้าบนถนน ทั้งเสี่ยวจิ้งคงกับราชาม้าอัดอั้นจนแทบทนไม่ไหว เมื่อออกจากเมืองหลวง ทั้งคนทั้งม้าก็ต่างก็ปลดปล่อยพละกำลังอย่างไม่ลังเล วิ่งควบไปตามถนนหลวงพื้นเรียบกว้างใหญ่
“เสี่ยวสืออี! เร็วอีก! เร็วกว่านี้อีก!”
“โอ้โห! ข้าจะบินแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ !”
“พี่เขยนิสัยไม่ดี ตามไม่ทันละสิ!”
เสียงปีศาจน้อยของเขาดังก้องไปทั่วถนนหลวงทั้งเส้น
ราชาม้า เราก็อยากเตือนเจ้าว่า เจียวเจียวก็ตามไม่ทันเหมือนกัน~
เสี่ยวจิ้งคงเพลิดเพลินได้ไม่นาน ฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำลงมา ทั้งคนทั้งเปียกโชกเป็นไก่ในน้ำแกง
ปีนี้ฝนตกชุกเป็นพิเศษ แคว้นเจาตกแล้วเดี๋ยวแคว้นเยียนก็ตก ชายแดนตกแล้วเดี๋ยวกลางแม่น้ำตกอีก พ่อบ้านเจิ้งหนาวแข้งหนาวขาจนแทบทนไม่ไหวแล้ว!
ขณะที่คนทั้งขบวนเร่งรุดเดินทาง เจ้าสองแฝดนั้นกลับนอนอยู่ในตำหนักเฟิ่งหลินที่หรูหราโอ่อ่าที่สุดในแคว้นเยี่ยน นอนบนฟูกหนานุ่มแสนอบอุ่น ห่มกายด้วยผ้าห่มไหมเนื้อเบา ได้รับการปรนนิบัติอย่างสุขสบายจากแม่นมสิบนาง
เพียงแต่พวกเขาดื่มนมผงจนชินเสียแล้ว ไม่ชอบกินนมแม่ เหล่าแม่นมจึงรับหน้าที่กล่อมเข้านอนเพียงเท่านั้น
เดิมทีซ่างกวนเยี่ยนและเย่ชิงนั้นเป็นกังวลเรื่องอาหารการกินของเด็กๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าพอเย่ชิงจะยื่นมือเข้าไปช่วย ก็บังเอิญไปชนกล่องยาใบน้อยบนโต๊ะจนร่วงลงมา
เจ้ากล่องยากระทบพื้น เสียงดังกุกกัก ก่อนจะพ่นนมผงกระป๋องหนึ่งออกมา
หลังจากนั้นก็ดิ้นขลุกขลักไปมา แล้วพ่นขวดนมออกมาอีก
เย่ชิงตกตะลึงตาค้าง “…”
……….