บทที่ 959 ปีศาจจอมอวดลูก (ฉบับแฝดมังกรหงส์)
……….
ตั้งแต่เซียวเหิงรับตำแหน่งในคณะเสนาบดี ก็ทำงานอย่างตั้งใจ ประพฤติตนอย่างอ่อนน้อม ระวังคำพูดคำจา มิเคยพลาดพลั้ง
แต่วันนี้มิรู้ฟ้าถล่มดินทลายหรือย่างไร ใต้เท้าราชเลขาถึงได้เรียกคนเข้ามาคุยในห้องทีละคน
รองราชเลขาสองคน บัณฑิตในคณะเสนาบดีสามคนและคนจากกรมอาลักษณ์ทั้งหมดต่างนั่งรวมตัวกันอยู่นอกตำหนักชั้นกลางของราชเลขา ไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องพบเจอกับเรื่องอะไร
“ช่วงนี้พวกเราทำอะไรไรผิดแล้วถูกจับได้หรือ” รองราชเลขาหลิวถาม
เดิมทีเขาเป็นคนสนิทของราชครูจวง แต่หลังจากราชครูจวงพ้นตำแหน่ง เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จงรักภักดีต่อฝ่าบาทแทน
รองราชเลขาแซ่จางอีกคนหนึ่งด้วยเหตุพฤติการณ์อุกอาจ ต่อให้สำนึกผิดอย่างไรก็ไม่อาจได้รับอภัยโทษ จึงถูกโยกย้ายตำแหน่ง คนที่มาแทนตำแหน่งเขาแซ่อู๋ คัดเลือกมาจากบัณฑิตในคณะเสนาบดี
รองราชเลขาอู๋ครุ่นคิดพลางเอ่ย “ช่วงนี้พวกเราก็มิได้ก่อเรื่องอะไรนี่นา… หรือว่าใต้เท้าราชครูตรวจพบว่าพวกเราเลื่อนตำแหน่งให้เครือญาติแล้ว”
น้ำใสเกินไปย่อมไร้ปลาฉันใด ก็ไม่มีราชสำนักใดรับประกันได้ว่าขุนนางใต้บังคับบัญชาของตนนั้นมือสะอาดหมดจดฉันนั้น แต่พวกเขาอย่างมากก็แค่ตอดเล็กตอดน้อย มิถึงขั้นขุนนางฉ้อราษฎร์
ปกติแล้วเซียวเหิงก็หลับตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง มิได้ยุ่มย่ามขนาดนั้น
“ในเมื่อผู้อาวุโสทั้งสองไม่รู้ เช่นนั้นแล้วข้าก็ยิ่งไม่รู้…” คนที่พูดอยู่นั้นคือบัณฑิตตำหนักอู่อิง แซ่ข่ง
บัณฑิตจากคณะเสนาบดีมีทั้งหมดหกคน มีเพียงราชเลขาและรองราชเลขาอีกสองคนเท่านั้นที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโส ส่วนบัณฑิตอีกสามคนจากตำหนักอู่อิง หอเหวินเยวียนและหอบูรพานั้นต่างถูกเรียกว่าผู้อาวุโสน้อย
“นั่นสิขอรับ”
“นั่นสิขอรับ”
บัณฑิตจากหอเหวินเยวียนและหอบูรพาพยักหน้าพร้อมกัน
รองราชเลขาหลิวเอ่ย “ท่านบัณฑิตใหญ่ทั้งสามมิต้องกังวลไป ราชเลขามิใช่คนอารมณ์ร้ายแต่อย่างใด วันนี้ที่เรียกพวกเรามา น่าจะถามไถ่เกี่ยวกับงานราชการช่วงนี้”
รองราชเลขาอยู่รีบเอ่ยต่อ “นั่นสิ นั่นสิ ตั้งแต่ที่ราชเลขาเข้ารับตำแหน่ง ยังไม่เคยต่อว่าข้าเลยสักครั้ง หากเกิดข้อผิดพลาดทั่วไป ก็เอ่ยเตือนอย่างใจเย็น วันนี้… ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นก็ได้”
“หากเป็นเช่นนั้นย่อมดี” บัณฑิตใหญ่ข่งเอ่ย
ไม่นานผู้ช่วยประจำตัวของราชเลขาก็ออกมา เรียกรองราชเลขาหลิวเข้าไปเป็นคนแรก
รองราชเลขาหลิวแม้ปากจะบอกว่ามิต้องกังวล แต่พอถูกเรียกเข้าจริงก็ใบหน้าซีดเผือด
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศในวันดูเป็นทางการกว่าปกติ
หรือว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น
หรือว่าราชเลขาอยากจะดันคนของตัวเองเข้าราชสำนัก แล้วให้พวกเขาแต่ละคนแอบช่วยกันเสนอชื่ออย่างนั้นหรือ
หากไม่เชื่องฟังราชเลขา ก็จะถูกราชเลขากำจัดทิ้งเอาโดยไม่รู้ตัวสินะ
เขากัดฟันเดินเข้าไปในห้องหนังสือของราชเลขา
เซียวเหิงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้พนักสูงหลังโต๊ะหนังสือ ราชเลขาที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์แคว้นเจาผู้นี้ ใช้ความเก่งกาจอธิบายว่าสิ่งใดนั้นที่เรียกว่าคนหนุ่มมากความสามารถ อายุเพียงสิบสามปีก็เป็นจี้จิ่วเจ้าสำนักแห่งกั๋วจื่อเจียน แต่ถูกลอบสังหารจึงพลัดหลงไปอยู่กับชาวบ้าน ทว่าเมื่ออายุสิบเจ็ดปีก็กลับมายังเมืองหลวงด้วยตำแหน่งเจี่ยหยวน อายุสิบเก้าสอบได้เป็นจอหงวน และในปีเดียวกันนั้นก็เข้าสำนักฮั่นหลิน เข้าสำนักเสนาบดี เข้ากรมยุติธรรม และรับตำแหน่งราชเลขาแห่งคณะเสนาบดีเมื่ออายุยี่สิบเอ็ดปี
นี่คือตำนานเล่าขานแห่งแคว้นเจา สมควรถูกจารึกลงในพงศาวดาร
“ข้าน้อย คารวะใต้เท้า” รองราชเลขาหลิวไม่กล้าอวดเบ่งแม้อีกฝ่ายจะอายุน้อยกว่า
“อุแง”
เสียงเด็กทารกพลันดังขึ้นข้างกายเซียวเหิง รองราชเลขาหลิวถึงกับชะงักไป
จมูกเขาไม่ดีนัก จึงไม่ได้กลิ่นนมที่อบอวลปะทะใบหน้ายามเดินเข้ามา
แต่เขาไม่ได้หูหนวก
เขารวบรวมความกล้าชำเลืองมองไปยังข้างกายของราชเลขา ไอ้หยา!
เด็กทารกสองคน!
เซียวฉงกับเซียวเยียนนอนเรียงกันอยู่แปลไกวข้างโต๊ะ วันนี้อากาศไม่หนาวนัก ทั้งสองจึงไม่ต้องห่อตัวด้วยผ้าอ้อม เซียวฉงยังคงเป็นชายรูปงามผู้สงบนิ่งเหมือนดังเคย ส่วนเซียวเยียนกำลังดูดนิ้วมือ
เสียงอ้อแอ้เมื่อครู่นั้นคือเสียงของนาง
“นี่ นี่คือคุณหนูและคุณชายน้อยของบ้านใต้เท้าหรือขอรับ” เขาถามอย่างตกตะลึง
“ใช่” เซียวเหิงตอบเสียงเรียบ สีหน้าจริงจังยิ่ง
รองราชเลขาหลิงมึนงงไปหมด นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ท่านมาทำงานแต่ยังพาลูกมาด้วยหรือ
ดังนั้นจุดประสงค์ที่ท่านเรียกข้ามาที่ห้องหนังสือนั้น…
“ใช่” เซียวเหิงส่งสายตาให้ผู้ช่วย
ผู้ช่วยเข้าใจในทันที ถือไข่ไก่เปลือกแดงเดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยกับรองราชเลขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ใต้เท้ามอบไข่เปลืองแดงให้ท่านขอรับ”
รองราชเลขาหลิว “…”
เคยเห็นแต่เด็กเกิดใหม่สองวันแล้วแจกไข่ แต่พวกเจ้าเคยเห็นเด็กเกิดมาได้สองเดือนแล้วยังแจกไข่เปลือกแดงหรือไม่
เซียวเหิงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “คราวก่อนลืมแจกน่ะ คราวนี้เลยชดเชยให้พวกท่านด้วย”
รองราชเลขาหลิว ทั้งหมดนี่ท่านทำเพื่อแจกไข่เปลือกแดงอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านก็บอกกันตั้งแต่แรกสิ! ดูสิดู พวกเขาตกใจแทบแย่!
“น่ารักหรือไม่” เซียวเหิงถามเสียงจริงจัง
“น่ารัก… น่ารักขอรับ!” รองราชเลขาหลิวสงสัยในชีวิตตัวเอง
พ่อเจ้าอวดว่ามีลูกสาวอีกคนยังไม่พอ นี่เจ้ายังมาอวดอีกว่าตัวเองมีลูกแฝดชายหญิง ตระกูลเจ้าเป็นอะไรกันแน่!
รองราชเลขาอู๋ถูกเรียกเข้ามาเป็นคนที่สอง
เขาเองก็ได้รับไข่เปลือกแดงมงคลสองลูก คำอวยพรที่มอบให้แก่ฝาแฝดทั้งสองนั้นย่อมไม่อาจซ้ำกับรองราชเลขาหยวนได้
ส่วนเหล่าบัณฑิตประจำคณะเสนาบดีก็ได้รับข้อสอบวิชาวรรณกรรมประจำปีเป็นครั้งแรกโดยไม่ทันตั้งตัว… จงชื่นชมแฝดมังกรหงส์อย่างมีวาทศิลป์
…
การแต่งงานของกู้ฉังชิงเสร็จสิ้นลง กู้เจียวตั้งใจว่าจะออกเดินทางไปเกาะอั้นเย่ เซียวเหิงกับนางจะเดินทางไปด้วยกัน ส่วนอันกั๋วกงก็จะกลับแคว้นเยี่ยนด้วย
พวกเขาวางแผนว่าจะหยุดอยู่ที่เซิ่งตูสักพักหนึ่ง กู้เจียวและเซียวเหิงเพียงแค่ต้อวข้ามธารน้ำแข็งให้ได้ก่อนที่สภาพอากาศจะสุดโต่งในเดือนสิบ
แต่ปัญหาของพวกเขาในตอนนี้คือเจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนยังเด็กเกินไป คงไม่อาจอดทนต่อความเหนื่อยล้าของการเดินทางได้
ณ จวนองค์หญิง
ทั้งครอบครัวนั่งอยู่ในห้องขององค์หญิงซิ่นหยาง
องค์หญิงซิ่นหยางตรัส “เดือนสี่ฝนตกชุก ไม่เหมาะแก่การเดินเรือ พวกเจ้าคงต้องเดินทางทางบก นั่งรถม้าเหนื่อยเกินไป เยียนเอ๋อร์กับฉงเอ๋อร์เพิ่งจะสองเดือนเต็มเอง”
กู้เจียวนิ่งเงียบ
นี่คือปัญหาจริงๆ จะให้เด็กอายุสองเดือนนั่งรถม้านั้นช่างน่าสงสาร ยิ่งแคว้นเยี่ยนนั่นอากาศร้อนเหลือเกิน พอเข้าเดือนห้าอากาศก็ยิ่งร้อนหนัก ในรถม้าคงอบอ้าวเหมือนอยู่เข่งนึ่ง น่ากลัวเหลือเกิน
เซียวจี่เลี้ยงลูกทรหดยิ่งนัก แต่คราวนี้เขาเห็นด้วยกับฉินเฟิงหวั่นที่เป็นกังวล
ให้เด็กแฝดที่ยังเล็กขนาดนั้นเดินทางไกล ทรมานกันเกินไปจริงๆ
องค์หญิงซิ่นหยางหันไปมองกู้เจียวกับเซียวเหิงก่อนจะเอ่ย “ไม่อย่างนั้นพวกเจ้ารอให้เด็กๆ โตก่อน ปีหน้าค่อยไป หรือไม่อย่างนั้นก็ให้ลูกอยู่ที่นี่ ข้าจะดูแลพวกเขาเอง”
ศพของอาจารย์พ่อยังฝังอยู่ที่เกาะอั้นเย่ กู้เจียวรอมาหนึ่งปีแล้ว นางไม่อาจให้ตัวเองรออีกเป็นปีที่สองได้
ต่อให้เจ้าเด็กแฝดอายุหนึ่งขวบแล้วก็ยังคงไม่เหมาะแก่การเดินทางไกลอยู่ดี
กู้เจียวหันไปมองเซียวเหิง
เซียวเหิงเอ่ยเสียงกระซิบ “เจ้าตัดสินใจเถิด”
กู้เจียวเอ่ย “เช่นนั้นให้เด็กๆ อยู่ที่เมืองหลวงก็แล้วกัน”
เซียวเหิงกุมมือนางไว้ “เจ้าจะไม่อาลัยอาวรณ์หรือ”
กู้เจียวครุ่นคิด “พอไหว เจ้าล่ะ”
เซียวเหิงเกี่ยวผมนางทัดหู เอ่ยเสียงแผ่วเบาราวกับปุบเมฆเคลื่อนผ่าน “ข้าไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
ทันทีที่กลับมาถึงเรือนหลันถิง เซียวเหิงก็พุ่งตัวเข้าห้อง ลงกลอนประตู กอดสองแฝดไม่ยอมห่าง ขอบตาแดงก่ำ
…
สัมภาระสำหรับเดินทางถูกเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่หลายเดินก่อนหน้าแล้ว สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ
ทั้งสองเข้าวังเพื่อลาท่านย่า
แน่นอนว่าท่านย่านั้นหวังว่าพวกเขาจะอยู่ข้างกายนางตลอดไป แต่เด็กๆ โตแล้วย่อมต้องออกไปท่องโลกกว้าง ทำภารกิจชีวิตของตัวเอง
ส่วนสิ่งที่นางต้องทำนั้นคือรักษาบ้านไว้ให้พวกเขา รอพวกเขากลับมาพักพิง
ตั้งแต่ออกจากวังหลวง ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปที่ตรอกปี้สุ่ยและจวนติ้งอันโหวเพื่อร่ำลา กว่าจะกลับมาถึงจวนองค์หญิง ฟ้าก็มืดแล้ว
ทว่าค่ำคืนนี้ เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นหนึ่งเรือง… สองแฝดหายตัวไป!
“ฮือๆ … เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง… ข้าไม่ดูคุณชายกับคุณหนูให้ดี…” อวี้หยาเอ๋อร์ร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง นางสะอึกสะอื้น แทบจะหายใจไม่ทัน
กู้เจียวไม่ได้กล่าวโทษนาง แต่ถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าลองเล่ามาชัดๆ”
อวี้หยาเอ๋อร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นทุกฉากทุกตอน
สองแฝดอยู่ที่จวนองค์หญิงทั้งวัน พอตกค่ำแล้วนางถึงได้อุ้มกลับมา สองแฝดยังคงตาใสแจ๋วไม่มีท่าทีว่าจะง่วงนอนเลยสักนิด นางจึงวางทั้งสองคนลงบนเตียงของเซียวเหิงและกู้เจียว ตั้งใจว่าจะให้ทั้งสองคนเล่นด้วยกันสักครู่
นางถักเชือกอยู่ในห้อง
พอคนจากโรงครัวเข้ามา ถามนางว่าจะให้เตรียมของมื้อดึกให้ท่านโหวน้อยกับฮูหยินน้อยหรือไม่
นางออกไปบอกกับคนผู้นั้นว่าทั้งสองชอบกินอะไร
“ตอนนั้นข้ายืนอยู่ที่หน้าประตู… ตรงนี้…” อวี้หยาเอ๋อร์ชี้ไปที่ระหว่างตัวเองกับกู้เจียว เอ่ยเสียงสะอื้น “ข้าไม่คิดเลยว่าเพียงเดี๋ยวเดียว… พอข้าเข้ามาในห้อง… เยียนเอ๋อร์กับฉงเอ๋อร์ก็ไม่อยู่แล้ว…”
“ตอนนั้นหลงอีอยู่ที่จวนหรือไม่” เซียวเหิงถาม
อวี้หยาเอ๋อร์ปาดน้ำตา เดินก้าวไปข้างหน้าพลางชี้ “อยู่เจ้าค่ะ เขาเหลาดินสอยู่ในลานบ้าน พอเยียนเอ๋อร์กับฉงเอ๋อร์หายไป เขาก็ออกไปตามหา”
มีคนลอบเข้ามาในจวนแล้วลักพาตัวสองแฝดไป นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวของทั้งสอง
ทว่าจากตำแหน่งที่อวี้หยาเอ๋อร์ชี้ หลงอีนั้นอยู่ตรงข้ามกับประตูพอดี
ไม่มีมือสังหารคนใดสามารถแฝงตัวเข้ามาในเรือนได้โดยที่หลงอีมองไม่เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเข้าไปลักพาตัวสองแฝด
เซียวเหิงเดินเข้ามาในห้อง เขาสังเกตโดยรอบอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะได้ข้อสรุปว่า “ไม่มีคนที่สี่เข้ามาในห้องนี้”
สามคนนั้นหมายถึงอวี้หยาเอ๋อร์และสองแฝด
กู้เจียวขมวดคิ้ว “ในเมื่อไม่มีใครเข้ามา แล้วเยียนเอ๋อร์กับฉงเอ๋อร์หายตัวไปได้อย่างไร”
สายตาของเซียวเหิงหยุดอยู่ที่หัวเตียง “ข้าจำได้ว่า เช้านี้ตอนเจ้าออกบ้าน เจ้าวางกล่องยาไว้ตรงนี้”
กู้เจียวพยักหน้า “ใช่ เอ๊ะ กล่องยาไปไหนเสียแล้ว”
อย่างที่รู้กันดี กล่องไม่ทางถูกขโมยไปได้
นั่นก็แปลว่า…
เจ้ากล่องยาพาตัวสองแฝดไป!
กู้เจียวระเบิดในทันใด หมัดเล็กกำแน่น ใบหน้าถมึงทึงในทันใด
…
ณ ตำหนักกั๋วซือ
ชายหนุ่มในชุดประจำตำแหน่งกั๋วซือสีขาวนวลกำลังเดินจ้ำเข้ามาในตำหนักฉีหลิน
ศิษย์ที่เฝ้าเวรยามประจำตำหนักพากันคำนับเขา “คารวะท่านอาจารย์”
เย่เชิงพยักหน้ารับ
เขาสวมปลอกแขนไว้อาลัย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าไว้อาลัยให้ผู้ใด
เขาเดินไปตามทางเดินทอดยาวของตำหนักฉีหลิน มาถึงห้องลับสุดปลายทางเดิน ก่อนจะเอ่ยกับหน่วยกล้าตายสองนายที่คุ้มกันหน้าห้องลับ “ข้าจะเข้าไปปัดกวาดสักหน่อย พวกเจ้าช่วยเปิดประตูที”
“ขอรับ! กั๋วซือ!”
หน่วยกล้าตายปฏิบัติตามคำสั่งของกั๋วซือหนุ่มคนใหม่ หยิบกุญแจออกมาไขเปิดห้องลับ
เย่ชิงก้าวเข้าไปในสถานที่ที่อาจารย์กำชับว่าต้องปกป้องไปตลอดชีวิต
ทว่าพอเขาจุดตะเกียง ก็เห็นว่าที่ที่ควรว่างเปล่านั้นกลับไม่รู้ว่ามีเด็กทารกน้อยแสนน่ารักสองคนอยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหน!
“ไอ้หยา”
เขาหน้าถอดสี สองขาพลันอ่อนแรง ทรุดลงกับพื้นในทันที
……….