ตอนที่ 673 วันที่ได้พบกับแม่แท้ๆ
……….
ตอนที่ 673 วันที่ได้พบกับแม่แท้ๆ
หลินเซี่ยโทรไปที่ร้านชุดแต่งงานด้วยความตื่นเต้น ซึ่งหยางหงเสียเป็นคนรับสาย
พอได้ยินว่าจางซุ่นยังคงนั่งรอข่าวอยู่ที่ร้าน เธอก็เรียกให้จางซุ่นมาถือสาย และบอกข่าวดีให้เขารู้
“จางซุ่น พรุ่งนี้ทำออกมาให้ดีล่ะ”
จางซุ่นรับปากอย่างจริงจังว่า “ครับเถ้าแก่หลิน ผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”
“ขอบคุณมากเลยนะคะพี่ลินดา พี่เก่งมากเลย แค่พูดไม่กี่คำก็สร้างโอกาสในการทำงานให้กับพนักงานในร้านของเราได้แล้ว”
หลินเซี่ยกอดแขนลินดา พลางซบไหล่ออดอ้อน “พี่ลินดา ฉันรักพี่จังเลย”
สาวห้าวผู้ตรงไปตรงมาอย่างลินดาถึงกับทำตัวไม่ถูกที่โดนคนอื่นๆ แสดงความรักใส่แบบนี้
คนตระกูลเซี่ยนี่ไม่ว่าคนไหนก็ชอบมาคลอเคลียพันแข้งพันขาหล่อนเสียจริง
ก่อนหน้านี้เซี่ยอวี่ที่เลิกงานเสร็จก็จะมาซบหล่อนยามรู้สึกเหนื่อยล้า ใช้หล่อนต่างหมอนข้างเคลื่อนที่ เซี่ยไห่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าตัวติดกับหล่อนได้ตลอด 24 ชั่วโมงก็คงจะทำไปแล้ว
หลานสาวของพวกเขาก็ยังจะเป็นแบบนี้หรือ?
เซี่ยไห่มองหลินเซี่ยที่เกาะแกะแฟนของเขาอยู่ทั้งยังเอาตัวไปถูไถกับอกของหล่อนด้วย ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสรรพนามที่หลินเซี่ยเรียกลินดา มันยังไงกันแน่?
เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือน “เซี่ยเซี่ย เธอต้องเปลี่ยนสรรพนามเรียกลินดาแล้วนะ พี่ลินดาอะไรกัน? หล่อนเป็นอาสะใภ้รองของเธอนะ”
หลินเซี่ยไม่ได้เก็บคำพูดของเซี่ยไห่มาใส่ใจ เธอกอดแขนลินดา แล้วเงยหน้ามองเซี่ยไห่ “อาก็แต่งหล่อนเข้าบ้านเสียสิ? จดทะเบียนให้มันถูกต้องเมื่อไหร่ ฉันถึงจะเปลี่ยนสรรพนามเรียก”
เรียกหล่อนว่าอาสะใภ้รองในตอนนี้มันฟังดูอาวุโสเกินไป ลินดาไม่ยอมหรอก
“ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้จดทะเบียน แต่เขาก็เป็นอาสะใภ้รองเธอนะ อย่ามาทำตัวเสียมารยาท” เซี่ยไห่แค่นเสียงเย็นชา
“พี่ลินดา พี่จะให้ฉันเรียกว่ายังไงเหรอ? ฉันจะได้เรียกถูก” หลินเซี่ยเงยหน้า พูดกับลินดาด้วยรอยยิ้ม
“เรียกพี่ลินดาก็ได้”
การเรียกขานแบบนี้เป็นคำขอของตัวลินดาเอง นอกจากเซี่ยอวี่แล้ว เพื่อนร่วมงานโดยทั่วไปก็เรียกหล่อนแบบนี้
“อารอง คุณต้องพยายามหน่อยแล้วนะคะ”
เซี่ยไห่เบ้ปาก เถียงในใจว่าถ้าหล่อนพูดเองเช่นนั้น ฉันจะทำอะไรได้
แต่เมื่อเห็นครอบครัวของเขาเข้ากับลินดาได้ดี เขาก็รู้สึกชื่นใจอย่างมาก
ลินดาผ่านร้อนผ่านหนาวมามากตั้งแต่ยังเด็ก หล่อนก็คงโหยหาถึงครอบครัวที่อบอุ่น
ครอบครัวของเขาล้วนเป็นคนดี พี่สาวกับหลานสาวคนโตของเขาก็สนิทชิดเชื้อกับลินดา ตราบใดที่เขาพยายามอย่างหนัก เขายังจะกลัวว่าไม่ได้แต่งลินดาเข้าบ้านอีกเหรอ?
เขาคิดอยู่ในใจว่าเดี๋ยวต้องตามตื๊อลินดาไประยะหนึ่ง
พอลินดากลับบ้านในตอนบ่าย เซี่ยไห่ก็หาข้ออ้างว่าต้องกลับไปที่ห้องเต้นรำ เพื่อที่จะขอติดรถไปกับหล่อนด้วย
……………………………………………
ลินดาเสนอโอกาสการทำงานให้กับจางซุ่น และจางซุ่นก็คว้าโอกาสนี้ไว้ได้จนสำเร็จ
วันต่อมา จางซุ่นตามเซี่ยอวี่กับลินดามายังสถานที่ถ่ายทำ ลินดาก็เลยพาเขาไปแนะนำกับผู้กำกับเหยียนและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
มีคนจำจางซุ่นได้ในสถานที่ถ่ายทำ และบอกว่าเคยเห็นผลงานของเขาในสำนักหนังสือพิมพ์มาก่อน
ผู้กำกับเหยียนได้เห็นภาพนิ่งที่เขาถ่ายเมื่อวานนี้แล้วก็รู้ถึงความสามารถของจางซุ่น เมื่อคนมาถึงก็ลงมือทำงานกันเลย
ส่วนพวกเขาก็คอยกำกับอยู่ข้างๆ
เมื่อลำดับตัดต่อภาพเสร็จ ผู้กำกับเหยียนกับโปรดิวเซอร์ต่างก็พอใจมาก
พวกเขาอยากจะเซ็นสัญญากับจางซุ่น ให้เขามาทำงานเป็นช่างภาพถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องใหม่ด้วยกัน
จางซุ่นจะปฏิเสธโอกาสดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไร
หลังจากที่จางซุ่นกลับมา เขาก็ไปหาหลินเซี่ยแล้วเล่าเรื่องงานให้ฟัง
โดยบอกอย่างชัดเจนว่าถึงจะได้งานนี้มา แต่ก็จะไม่ละเลยงานร้านชุดแต่งงาน หากมีลูกค้าเขาก็จะมา
หลินเซี่ยก็ได้เตรียมใจไว้ตั้งแต่ตอนที่แนะนำงานให้แล้ว เธอรู้ดีว่าด้วยความสามารถในการทำงานของจางซุ่น หากมีโอกาสเขาต้องทำได้แน่ การที่เขาได้เซ็นสัญญาทำให้เธอรู้สึกยินดีด้วย เพราะอย่างไรเสียเขาก็คือว่าที่ปรมาจารย์ด้านการถ่ายภาพในชาติก่อน การได้มีส่วนช่วยในเส้นทางการเติบโตของปรมาจารย์ทำให้เธอรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก
เธอเชื่ออีกเช่นกันว่าจางซุ่นไม่ใช่คนเนรคุณ หากเขาพูดว่าจะดูแลร้านชุดแต่งงาน เขาก็คงรักษาสัญญา
……….
พริบตาเดียวก็ถึงวันเทศกาลโคมไฟแล้ว เฉินเจียเหอจึงแวะมาอาศัยที่บ้านตระกูลเซี่ยหลังจากเลิกงาน
ในคืนวันที่ 14 ทั้งคู่ต่างก็มีอารมณ์เศร้าหมอง และนอนไม่หลับ
พรุ่งนี้เป็นวันที่แม่แท้ๆ ของหู่จือจะมาเจอหู่จือ
เมื่อนึกถึงภาพจางเหมยคราวก่อนที่ดูจะอยากพบหู่จือมาก ทั้งคู่ก็เกิดความกังวลขึ้นมา
ถ้าพรุ่งนี้ผู้หญิงคนนั้นมาเจอหู่จือแล้วกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ยอมรับว่าเป็นแม่ลูกกันตรงนั้นแล้วจะทำอย่างไร
พูดตามตรง ทั้งคู่ไม่ได้เชื่อในคำพูดที่จางเหมยรับปากไว้คราวก่อนมากนัก
ในฐานะพ่อแม่บุญธรรม แม้จะมีความผูกพันกับหู่จือมากขนาดไหน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังหวั่นใจ
ทั้งสองพูดคุยกันจนดึกดื่น เฉินเจียเหอจัดผ้าห่มให้หลินเซี่ยและเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ผมจะคุยกับจางเหมยล่วงหน้า บอกให้หล่อนควบคุมตัวเอง”
เพราะจางเหมยกำลังจะมาหาหู่จือ เฉินเจียเหอจึงได้เปลี่ยนกะการทำงานเพื่อพักผ่อนในตอนกลางวัน
ร้านอาหารของเซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงได้เปิดทำการแล้ว ทั้งคู่ต่างรีบไปเปิดร้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง คุณแม่เซี่ยก็ไปช่วยงานที่ร้านอาหารด้วยเช่นกัน
ได้ยินว่าเซี่ยอวี่ยังว่างในช่วงนี้ แต่หล่อนก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านนัก
ตอนเช้ามีเพียงครอบครัวของเฉินเจียเหอที่อยู่บ้าน
เช้าวันนี้ หลินเซี่ยพูดกับหู่จือเกี่ยวกับคุณ”น้า”ที่มาเยี่ยมเมื่อครั้งก่อน
หู่จือที่กำลังวาดรูปอยู่ก็ไม่ได้สนใจ
ช่วงปีใหม่ บ้านของเขามีแขกมาทุกวัน ถ้าแขกพาเด็กมาด้วย เขาจะคอยดูแลเด็กๆ ในฐานะเจ้าของบ้านตัวน้อย
ช่วงเที่ยง
เซี่ยไห่พาถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่ รวมถึงสหายพี่ใหญ่อย่างฟางจินเป่ามารวมตัวกัน
ฟางจินเป่าตรวจรถไฟจนแทบจะไม่ได้หยุดพักช่วงปีใหม่เลย เพิ่งกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน
เมื่อเห็นพี่น้องทั้งหลายมารวมตัวกันในวันนี้ หลินเซี่ยก็คาดเดาว่าพวกเขาน่าจะรู้เรื่องที่จางเหมยจะมาหาหู่จือ จึงมารวมตัวกัน
อีกทั้งยังเป็นการข่มขวัญจางเหมย ไม่ให้หล่อนทำอะไรที่ไม่เหมาะสม
“น้องสะใภ้ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน นี่ท้องได้กี่เดือนแล้วเนี่ย?” ฟางจินเป่าถามหลินเซี่ยพร้อมกับยิ้ม
หลินเซี่ยตอบกลับ “ห้าเดือนแล้วค่ะพี่ใหญ่”
“เหรอ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน” ฟางจินเป่าอุทาน “ดีจังเลยนะเนี่ย เดี๋ยวเหล่าเฉินก็จะเป็นคุณพ่อแล้ว”
เซี่ยไห่มองค้อนและแก้ไขให้ว่า “ก็เป็นตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ พูดออกมาได้”
ฟางจินเป่าได้สติว่าพูดผิด ก็รีบเอามือปิดปากด้วยท่าทางเลิกลั่ก
หลินเซี่ยเข้าไปเรียกหู่จือในบ้าน บอกว่าบรรดาลุงๆ อาๆ มาเยี่ยม
หู่จือได้ยินดังนั้นก็รีบวางพู่กันด้วยความดีใจ
เขาวิ่งออกมาและเห็นว่าวันนี้เหล่าลุงๆ อาๆ มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง ก็รู้สึกตื่นเต้นจนตัวสั่น “ลุงฟาง ลุงถัง อาลู่ ทุกคนมากันหมดเลยเหรอฮะ?”
“หลานชายคนเก่งเอ๊ย รีบวิ่งมาให้ลุงอุ้มเร็ว”
หู่จือวิ่งเข้ามากอดฟางจินเป่า ฟางจินเป่ามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาอ่อนโยน
จากนั้นก็หอมแก้มเด็กน้อยหนึ่งฟอด “หู่จือโตขึ้นเยอะแล้วนะเนี่ย ”
หู่จือที่ถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่จู่โจมก็ยกมือขยี้หน้า พลางเบ้ปาก “ลุงฟาง ตอหนวดลุงทิ่มแก้มนิ่มๆ ขาวๆ ของผมแล้ว”
คำพูดของหู่จือทำให้ฟางจินเป่าหัวเราะก๊าก “ไอ้เด็กคนนี้ แก้มนิ่มๆ ขาวๆ งั้นรึ”
“ใช่ครับ แม่ผมทาครีมให้ทุกวัน ผิวผมเลยดีขนาดนี้” หู่จือเชิดหน้าอย่างภูมิใจ
“เป็นผู้ชายจะทาครีมไปทำไมกัน ต้องหยาบๆ แบบนี้สิ ถึงจะมีเสน่ห์สมชายชาตรี”
เซี่ยไห่ไม่เห็นด้วยอย่างมากกับคำพูดของฟางจินเป่า
เขาพูดจาล้อเลียนเบาๆ “ขืนให้เขาเป็นแบบแก หน้าคงจะหยาบเหมือนเปลือกต้นไทรเลยมั้ง พี่สะใภ้ลูบทีมือเป็นแผลแน่ๆ”
ฟางจินเป่าพูดแทรกขึ้น “ไร้สาระ หล่อนไม่เคยลูบสักหน่อย”
“ฮ่า ๆๆ”
“มา ให้อั่งเปาหลานชายคนเก่งหน่อย” ฟางจินเป่าพูดพร้อมกับยื่นธนบัตรให้หู่จือ
เฉินเจียเหอรีบห้าม “เหล่าฟาง หมดปีใหม่แล้ว ไม่ต้องให้เขาแล้วนะ”
ฟางจินเป่ามองหู่จือด้วยความเอ็นดู เขาจงใจยัดเงินให้เด็กชาย “หลานชายฉัน จะวันไหนฉันก็ให้ได้ทั้งนั้นแหละ”
หู่จือหยิบเงินที่ฟางจินเป่าให้แล้วพูดขอบคุณเสียงใส “ขอบคุณฮะคุณลุงฟาง”
“หู่จือ เอาเงินเก็บไว้ในเป้ด้วยนะ”
“ครับ” หู่จือตอบรับอย่างเชื่อฟัง เขากระโดดโลดเต้นออกไปพร้อมกับเงินที่ได้
ทันทีที่หู่จือออกไป บรรยากาศในห้องก็อึมครึมลงในทันใด
รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนหายไปในทันที
ฟางจินเป่าถามเฉินเจียเหอ “เจียเหอ จางเหมยบอกว่าจะมากี่โมง?”
เฉินเจียเหอตอบ “ครั้งที่แล้วนัดกันไว้ตอนเที่ยง”
“อีกตั้งนาน”
“พวกแกใจอ่อนเกินไป ไม่น่ายอมให้ผู้หญิงคนนั้นมาเจอลูกทุกเดือนเลย” ฟางจินเป่าพูดด้วยความโมโหเมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น พร้อมกับมองเฉินเจียเหอและคนอื่นๆ ด้วยสายตาตำหนิ
ตอนที่เกิดเรื่องกับหู่จือ เขากำลังขึ้นรถไฟออกไป ไม่ได้อยู่ที่ไห่เฉิง
พอกลับมาได้ยินว่าหู่จือถูกจับเป็นตัวประกันพร้อมทั้งจางเหมยที่โผล่มา เขาก็โมโหมาก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หู่จือเป็นที่รักของทุกคนจริงๆ แม่แท้ๆ มาหาทีพากันยกโขยงมาทั้งกลุ่มเลย
ไหหม่า(海馬)