บทที่ 494 สวี่ชิงรับคำสั่ง ถืออำนาจดุจดั่งเจ้าวัง! (2)
……….
สวี่ชิงตอบกลับอย่างเคร่งขรึม เขาไม่ได้ถามว่าทำไม เขารู้ว่าสนามรบตอนนี้อันตราย และรู้ถึงความสำคัญและเร่งด่วนของโองการฉบับนี้
เขายิ่งรู้ดีว่าสงครามจะต้องมาถึงขั้นวิกฤตแล้วอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเจ้าวังคงไม่จัดการเช่นนี้ น่าจะโยกย้ายกำลังทหารและมอบทรัพยากรได้อย่างสุขุมมากกว่านี้
มีเพียงเร่งด่วนมากๆ เท่านั้นถึงให้เขาหยุดการตรวจสอบ ไปปฏิบัติภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่า
‘เจ้าวังไม่เชื่อคนนอกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นโหวเหยาที่เขตสงครามทางเหนือ หรือเจ้าวังพิธีการและเจ้าวังอาญาทั้งสอง หรือจะเป็นปลัดเขตปกครองที่วางไว้ให้ดูแลแนวหลัง เขาล้วนไม่เชื่อใจทั้งนั้น ดังนั้น การส่งทรัพยากรและกำลังทหารที่เกี่ยวพันกับแนวหน้าแบบนี้ เขาถึงได้ให้ข้าไปร่วมด้วย
‘ดูเหมือนเข้าไปมีส่วนร่วมแต่ความจริงคือตรวจสอบ นอกจากนี้ วิธีการของเจ้าวังน่าจะลงมือหลายเส้นทาง จะต้องมีผู้ครองกระบี่คนอื่นปฏิบัติหน้าที่อยู่ฝ่ายต่างๆ เช่นกัน ข้าทางนี้อาจจะเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้น’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ในใจกังวลต่อสถานการณ์ในสนามรบ จึงพาหนิงเหยียนรีบร้อนจากไปจากเขาประกายอรุณ
ดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้มาเสียเปล่า ในสามวันก่อนที่เจ้าวังจะส่งโองการมา หลังจากที่เขาได้พูดคุยกับซุนไห่ ก็ได้สอบถามถึงการเกิดขึ้นของแสงประกายอรุณทุกครั้งว่าจะเกิดละอองเจ็ดสีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจำนวนหนึ่งขึ้นอย่างช้าๆ และคงอยู่ในบริเวณที่ปรากฏ
ละอองพวกนี้ปรากฏขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานถึงสิบปี ทีแรกจะมีแสงพรายรุ้งรางเลือนแฝงอยู่ แต่แสงนี้ไม่อาจนำมาใช้ได้ และไม่อาจเก็บได้เช่นกัน อีกทั้ง จากเวลาที่หมุนผ่านก็จะค่อยๆ สลายไป
ปกติแล้วประมาณสิบปีก็จะหายไปโดยสมบูรณ์ เท่ากับกับเวลาที่ละอองปรากฏคงอยู่ และสุดท้ายละอองที่ไม่ได้มีแสงประกายอรุณ ก็จะสิ้นสุดปรากฏการณ์นี้ลง
รายละเอียดนี้เป็นประโยชน์กับเบาะแสที่สวี่ชิงหามาได้
เบาะแสที่เขาสืบเจอไม่ได้มาจากรายละเอียดปลายทางของแสงประกายอรุณเจ็ดร้อยกว่าเส้นในบันทึก แต่มาจากนิ้วเทพเจ้า
สวี่ชิงรู้สึกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถหาแสงประกายอรุณที่ไม่ได้ถูกจดบันทึกเจอ เช่นนั้น คนที่ตั้งใจก็จะต้องทำได้ถึงจุดนี้เช่นกัน
เขาจึงลองปลุกนิ้วที่หลับใหลในเขตติงหนึ่งสามสองขึ้นมา หลังจากที่ในที่สุดก็ปลุกประสาทสัมผัสรับรู้ของมันให้ตื่นขึ้นมาได้เล็กน้อย สวี่ชิงก็พูดคุยอย่างอ่อนโยนทันที ภายใต้คำสัญญาต่างๆ นานา ก็ถามถึงตำแหน่งที่อีกฝ่ายหาแสงประกายอรุณได้
ขั้นตอนการพูดคุยไม่ได้ราบรื่นนัก อีกฝ่ายขี้ลืมรุนแรงนัก
ดังนั้นใช้เวลาถึงสามวัน สวี่ชิงไปค้นหาตามสถานที่มากมาย ในที่สุดก็หาสถานที่ที่นิ้วพบแสงประกายอรุณเจอ ที่นั่นเป็นรอยแยกใต้แผ่นดินที่ห่างไกลทางหนึ่ง
ในรอยแยกสวี่ชิงเห็นหุ่นเชิดที่ตายไปไม่นานตัวหนึ่ง บนนั้นยังมีกลิ่นอายของนิ้วเทพเจ้าหลงเหลือเล็กน้อย สภาพของมันแหลกละเอียดโดยสมบูรณ์ มองเพียงลักษณะคร่าวๆ ออก มองที่มาดั้งเดิมของมันไม่ออก
ขณะเดียวกันที่นี่ยังมีละอองเจ็ดสีที่แฝงแสงประกายอรุณเลือนรางอยู่จำนวนหนึ่งไว้ด้วย อีกทั้งแสงเหล่านั้นกำลังสลายไปนิดๆ สวี่ชิงวิเคราะห์ครู่หนึ่ง ประมาณสิบปีก็จะสลายไปหมดจริงๆ
ละอองพวกนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในตอนที่แสงประกายอรุณเกิดขึ้น ทุกอย่างนี้บ่งบอกว่าแสงประกายอรุณของเขาเกิดขึ้นที่นี่ และจากการที่สวี่ชิงก็ค้นหาที่นี่ เขาก็ค้นพบด้วยจิตใจที่สั่นสะท้านว่า ละอองที่นี่…เหมือนว่าจะไม่ได้เกิดขึ้นจากแสงทางหนึ่ง
ในนี้มีจำนวนหนึ่งที่มีไม่มาก แสงประกายอรุณที่แฝงอยู่เลือนรางยิ่งกว่า ท่าทางเหมือนว่าอีกปีหรือสองปีก็จะสลายหายไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะบนหุ่นเชิดนั่น มีละอองแบบนี้มากที่สุด
เห็นได้ชัดว่าหุ่นตัวนี้มีคนจัดวางไว้ที่นี่ ใช้สำหรับลบร่องรอยการเก็บละออง
วิเคราะห์เช่นนี้ก็รู้ได้ไม่ยาก น่าจะเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ที่นี่มีแสงพรายรุ้งทางหนึ่งปรากฏขึ้น!
แต่ก็เหมือนของสวี่ชิงทางนี้ โถงโครงกระบี่ยังไม่ได้ทำการบันทึกใดๆ เพิ่งปรากฏออกมายังไม่ทันลอยออกไป ก็ถูกคนเก็บเอาไปในทันที
ข้อค้นพบนี้ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ว่าการคาดเดาเรื่องลูกกลอนประกายเคราะห์ชะตาชีวิตของท่านเจ้าวังมีความเป็นไปได้สูงมากว่าถูกต้อง
หรือก็คือการตายของเจ้าเขตปกครอง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าเกี่ยวพันกับลูกกลอนนี้
สวี่ชิงและหนิงเหยียนไปจากเขาประกายอรุณพร้อมด้วยเบาะแสนี้ หุ่นเชิดแหลกเละตัวนั้นสวี่ชิงก็เก็บไปเช่นกัน
เนื่องจากที่นี่ไม่สามารถส่งข้ามได้ เขาประกายอรุณก็เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงทะยานไปตลอดทาง เร่งเดินทางไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง
ระหว่างทางหนิงเหนียนอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรหลายครั้ง แต่เห็นสวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด เขาที่อยู่ในความหวาดกลัวจึงไม่กล้าถาม แต่ว่าความซับซ้อนในใจ ต่อให้จนถึงตอนนี้ก็ยังกระหน่ำซัดโหม
ความจริงที่ต้นสิบลำไส้ที่นั่นเขาก็สัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลได้แล้ว ในใจสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มีการคาดเดาเลาๆ ทว่าการคาดเดาเช่นนี้เหลือเชื่อเกินไป ดังนั้นหลังจากเรื่องนั้นก็เกิดความลังเล ทว่าฝ่ามือที่ซัดลงมาอย่างคุ้นเคยของสวี่ชิงฝ่ามือนั้นทำให้เขารู้สึกว่าถูกซัดจนวิญญาณกระเด็นออกมาแล้ว
“คนที่กัดข้าจะต้องเป็นเฉินเอ้อร์หนิวอย่างแน่นอน เจ้านั่นเป็นสุนัขบ้าหรืออย่างไร ไม่ใช่แค่กัดข้า สุดท้ายยังไปกัดวิถีสวรรค์อีกด้วย สมควรแล้วที่ระเบิดจนเหลือแต่หัว!”
หนิงเหยียนในใจโกรธเคือง แต่กลับจนปัญญา เขารู้จักเถาวัลย์เส้นนั้นบนท้องของตัวเองดี และรู้ดีว่าวัตถุนี้จัดการยากมาก
นอกจากนี้ สามวันที่เขาประกายอรุณเขาได้พูดคุยกับผู้ครองกระบี่ ก็ได้รู้ถึงการตายของเจ้าเขตปกครอง การเข้ารุกรานของพวกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ความตื่นตะลึงในใจรุนแรงมาก เทียบกับเรื่องเหล่านี้แล้ว เขาพลันรู้สึกว่าเรื่องของตัวเองแค่นี้เหมือนจะไม่นับเป็นเรื่องอะไร
เวลาก็ผ่านไปสามวันเช่นนี้เอง
สามวันนี้ความเร็วของสวี่ชิงปะทุขึ้นทุกด้าน ในที่สุดก็พาหนิงเหยียนทะลุผ่ามณฑลประกายอรุณและพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงเขตปกครอง ก้าวเข้ามาในพื้นที่เมืองหลวงเขตปกครอง
ที่นี่สวี่ชิงไม่จำเป็นต้องปกปิดร่องรอยต่อไป เขาหาค่ายกลส่งข้ามแห่งหนึ่ง ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดกลับมายังเมืองหลวงเขตปกครอง
ในตอนที่เขาจากไป คนในเมืองหลวงเขตปกครองจิตใจหวาดหวั่น ความปั่นป่วนวุ่นวายแอบซ่อน
ครั้งนี้กลับมาสวี่ชิงค้นพบจุดที่แตกต่างออกไปได้ทันที แม้แนวรบทางตะวันตกและเหนือจะฉุกเฉินทุกด้าน สถานการณ์อันตราย แนวป้องกันเขตปกครองผนึกสมุทรพร้อมจะแตกพ่ายทุกเวลา
แต่เผ่ามนุษย์ในเมืองหลวงเขตปกครองเห็นได้ชัดว่าด้านสถานการณ์ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก แม้จะยังแฝงไว้ด้วยความกลัวต่ออนาคต แต่กลับมีความหวังเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
กระทั่งว่าร้านค้าก็แทบจะเป็นปกติ ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างน้อยภายนอกก็มองไม่เห็นความความเสื่อมโทรมที่มาพร้อมกับสงคราม
ไปจากค่ายกลส่งข้าม สวี่ชิงที่เดินอยู่บนถนน ผ่านจากการพูดคุยของผู้คนรอบๆ และเสียงตะโกนจากผู้บำเพ็ญของเขตปกครองที่ในช่วงทุกระยะหนึ่ง ก็พอจะรู้ถึงเหตุผล
“ทุกคนอย่าได้แตกตื่น อย่าได้แย่งชิง ใต้เท้าปลัดเขตปกครองบอกแล้วว่า วังครองกระบี่และขั้วอำนาจสำนักทั้งหมดของเผ่ามนุษย์ต่างอยู่ที่แนวหน้า กำลังปกป้องบ้านเมือง ปกป้องเขตปกครองผนึกสมุทรของเรา
“อีกทั้งใต้เท้าปลัดเขตปกครองยังบอกอย่างแน่ชัดว่า กองทัพเสริมเผ่ามนุษย์กำลังเดินทางมา อีกไม่นานอันตรายก็จะได้รับการควบคุมแก้ไข ทุกอย่างจะกลับสู่ปกติ
“ในระหว่างนี้ การก่อความวุ่นวายใดๆ หรือการขึ้นราคาของใดๆ ล้วนจะได้รับโทษอย่างหนัก!
“อย่าได้ตื่นกลัว ฟ้าดินจะไม่เปลี่ยนแปลง และจะไม่เกิดความวุ่นวาย หลายวันนี้พวกต่างเผ่าที่อยู่รอบๆ ก็ไม่ได้ถูกใต้เท้าปลัดเขตปกครองสะกดควบคุมไปแล้วหรอกหรือ อีกทั้งใต้เท้าก็บอกแล้วว่าท่านเจ้าวังอยู่แนวหน้าปกป้องคุ้มครองพวกเรา พวกเราจะสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนภายในเพิ่มไม่ได้”
จากการเคลื่อนไปข้างหน้า จิตใจของสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่น ช่วงที่ปลัดเขตปกครองที่อยู่ดูแลช่วงนี้ เห็นได้ชัดว่าทำอะไรไปมากมาย ส่วนหนิงเหยียนที่อยู่ข้างหลังสวี่ชิงตอนนี้มองรอบๆ พลางฟังไปด้วย จิตใจของเขาก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน
แทบจะไม่ทันถึงหนึ่งก้านธูปที่สวี่ชิงกลับมา เขาเพิ่งมาถึงวังครองกระบี่ ก็ได้รับข้อความถ่ายทอดเสียงจากปลัดเขตปกครอง
“สวี่ชิง? ข้าได้รับโองการจากท่านเจ้าวัง ให้เจ้ากลับมาจากสนามรบเพื่อจัดการธุระของกองทัพ เจ้ามาหาข้าที่นี่ก่อน”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก เขารู้ว่าสถานการณ์วิกฤต ดังนั้นหลังจากที่จัดการให้หนิงเหยียนไปอยู่กับผู้ครองกระบี่ที่อยู่ดูแลแนวหลังวังครองกระบี่แล้วโยกมาที่กรมอาลักษณ์ของตัวเองแล้ว เขาก็รีบมายังจวนปลัดเขตปกครอง
นอกจวนปลัดเขตปกครอง ผู้บำเพ็ญของเขตปกครองมากมาย เดินขวักไขว่ไปมา ขณะที่ประกาศกฎอัยการศึก ปลัดเขตปกครองก็ได้ประกาศภารกิจมากมายลงมา ให้ผู้บำเพ็ญเขตปกครองไปจัดการ
การมาถึงของสวี่ชิงมีคนมารายงานในทันที ไม่นานนักเขาก็เห็นปลัดเขตปกครองที่อยู่ในจวน
อีกฝ่ายดูเหนื่อยล้าอ่อนโรยกว่าตอนที่เขาจากไปมาก ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด
ตอนนี้กำลังรับยาลูกกลอนมาจากมือของบ่าวชราข้างกาย หลังจากมองผาดหนึ่งก็วางเอาไว้ข้างๆ ไม่ได้กินลงไปในทันที
ปกติแล้ว พลังบำเพ็ญถึงระดับนี้ยากที่จะเกิดสภาวะเหนื่อยล้าเช่นนี้ นอกเสียจากจะเกิดความกดดันในจิตใจ พลังบำเพ็ญล้วนไม่มีผล จึงทำให้คนคนหนึ่งอ่อนล้าได้ถึงเพียงนี้
“ใต้เท้าปลัดเขตปกครองช่วงนี้บ่าทั้งสองแบกไว้ซึ่งภารกิจของทั้งเขตปกครอง ภายในต้องทำให้สุขสงบมั่นคง ภายนอกต้องรักษาสมดุล ภายใต้การที่มีศึกทั้งภายในภายนอกเช่นนี้ความกดดันสูงมาก กระทั่งว่าบาดแผลเก่าที่วิญญาณเทพก็เกิดสัญญาณกำเริบ แต่ยาก็จะกินมากไม่ได้…เฮ้อ”
บ่าวชราข้างกายปลัดเขตปกครองหลังจากเห็นสวี่ชิงก็ถอนหายใจเบาๆ
“อย่าได้พูดเหลวไหล ข้าไม่กินก็เพราะยากินมากไปก็ไม่มีประโยชน์ อาการบาดเจ็บของข้าข้ารู้ดี ไม่เป็นไร” ปลัดเขตปกครองขมวดคิ้ว ตำหนิออกมา แล้วพูดกับสวี่ชิง
“สวี่ชิง ช่วงนี้ข้าได้รับเรื่องด่วนของโถงครองกระบี่จากหลายมณฑล มีห้ามณฑลแล้วที่โถงครองกระบี่ที่ภายใต้การผลักดันจากเผ่าใหญ่ๆ บางเผ่าก็ถูกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเข้ายึดครอง เจ้าวังพูดถูกต้อง เผ่าใหญ่พวกนี้สมควรตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง!
“ข้าให้เจ้ายืมผู้บำเพ็ญเขตปกครองได้ ร่วมกันมุ่งหน้าไปช่วยเหลือ”
ปลัดเขตปกครองมองไปทางสวี่ชิง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ข้าได้รับโองการจากท่านเจ้าวัง แนวหน้าอเนจอนาถ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ต้องการกำลังทหารและทรัพยากรมหาศาล ข้าจะหาวิธี หากเจ้ามีวิธีอะไรก็มาบอกกับข้าได้ ข้าจัดการเอง”
สวี่ชิงประสานหมัดโค้งคารวะ เขารู้ดีว่าภาระหน้าที่ของอีกฝ่ายหนักมาก ในเมื่อแนวหลังทั้งหมดล้วนอยู่บนร่างของเขา จะรับประกันให้แนวหลังไม่ปั่นป่วนวุ่นวายในช่วงสงครามได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“ขอบคุณใต้เท้าปลัดเขตปกครองมากขอรับ ข้าน้อยเตรียมสำรวจความต้องการด้านทรัพยากร ซื้อจากต่างเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทร ซื้อตามผลสำรวจ ขอปลัดเขตปกครองอนุมัติ”
ปลัดเขตปกครองพยักหน้า
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ หากบังคับขู่เข็ญนั้นยากมากอีกทั้งยังสิ้นเปลืองเวลา ใช้วิธีการซื้อละมุนละม่อมกว่ามาก เรื่องนี้ไม่มีปัญหา แม้ว่าการเงินของเมืองหลวงเขตปกครองจะฝืดเคือง แต่กระเบียดกระเสียรก็ยังพอมี”
สวี่ชิงเอ่ยขอบคุณ ไปจากจวนปลัดเขตปกครอง ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าใดๆ หลังจากกลับมาถึงกรมอาลักษณ์แล้ว เขาก็รีบสั่งการลงไป สำรวจความต้องการทรัพยากรของทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร นอกจากนั้นยังส่งคนมุ่งหน้าไปยังเผ่าเคียงเซียนที่ปิดตัวไม่ออกมาเพื่อหารือเรื่องซื้อขายทรัพยากร
จากคำสั่งแต่ละคำสั่งๆ ที่ถ่ายทอดลงไป ผู้ครองกระบี่หลายร้อยคนที่อยู่ดูแลวังครองกระบี่ก็รับคำสั่งทันที
ก่อนหน้านี้ในตอนที่เจ้าวังยังอยู่ สวี่ชิงก็จัดการงาน ออกคำสั่งแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ผู้ครองกระบี่ที่อยู่ดูแลแนวหลังต่างแยกย้ายไปปฏิบัติงาน
แต่ในใจของสวี่ชิงเป็นกังวล เขารู้ว่าพลังบำเพ็ญของตัวเองไม่พอที่จะค้ำยันทำภารกิจนี้สำเร็จ โดยเฉพาะการเดินทางไปเขาประกายอรุณครั้งนี้ เขาสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงจิตมุ่งร้ายที่ซ่อนเร้นของต่างเผ่าพวกนั้น
เขารู้ว่าต่อให้เป็นการซื้อทรัพยากรก็คงจะเจออุปสรรคบางอย่าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมอบกำลังทหารให้ทางสนามรบเลย
‘หากอยากทำภารกิจที่เจ้าวังมอบหมายให้สำเร็จ มอบความช่วยเหลือให้กับแนวหน้าที่วิกฤต…ข้าต้องการกำลังรบที่แข็งแกร่ง ทรงอำนาจ ทางปลัดเขตปกครองไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด!’ สวี่ชิงเงียบนิ่ง ยืนอยู่ในตำหนักอาลักษณ์ มองไปทางท้องฟ้าข้างนอก
ตอนนี้โลกข้างนอกเป็นเวลากลางคืน เมฆดำลอยอวล ไม่มีสายฟ้า แต่ฝนกลับค่อยๆ ร่วงลงมา สาดไปบนพื้นหินนอกตำหนัก
ไอเย็นเยือกมาตามการซัดสาดของน้ำฝน หอบม้วนขึ้นมาจากพื้นดิน แผ่ออกไปข้างนอก พัดมาที่ขาทั้งสองข้างของสวี่ชิง
‘อาจารย์กับท่านบรรพจารย์ แล้วก็จื่อเสวียนทางนั้น…พวกเขาล้วนกำลังต่อกรกับแดนต้องห้ามมรณะ ไม่มีเวลามาสนใจ
‘ศิษย์พี่ก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด ตอนนี้ไม่มีข่าวคราว’
สวี่ชิงครุ่นคิด สุดท้ายก็เงยหน้ามองไปทางนอกเขตปกครองใกล้ทะเลทราย ในสมองของเขามีภาพเงานกยักษ์สามหัวผุดขึ้นมา
‘นกยักษ์ชิงฉิน!’ ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายออกมา
สำหรับความทรงจำต่อชิงฉิน สวี่ชิงหยุดไว้ที่ตอนมาเมืองหลวงเขตปกครองครั้งแรก อีกฝ่ายปรากฏอยู่บนท้องฟ้า ปากคาบหนิงเหยียนเอาไว้ ทุกที่ที่พาดผ่านล้วนเกิดลมคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นพายุหมุนเชื่อมฟ้าดิน รัศมีอำนาจท่วมท้น ทรงพลังมหาศาล
ตอนนั้นเฉินถิงหาวที่อยู่ข้างเขาได้บอกไว้ว่า นกยักษ์ชิงฉินเป็นเผ่าพันธุ์ประหลาดบรรพกาล สายเลือดสามารถสืบย้อนบรรพกาล บรรพบุรุษเคยติดตามจักรพรรดิโบราณ
ส่วนฐานะ มันเคยเป็นสหายกับเจ้าเขตปกครองคนก่อน ในตอนที่เจ้าเขตปกครองคนก่อนเมื่อแปดร้อยปีก่อนนี้กลับสู่ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิก็ได้เชื้อเชิญมันด้วย แต่ชิงฉินไม่ได้ตามไป แต่พำนักอาศัยอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทร
ศึกนี้ ฐานะของชิงฉินสูงส่ง ต่อให้เป็นเจ้าวังก็ไม่เคยเชิญได้
‘จากคำพูดของเฉินถิงหาวในตอนนั้นบอกว่านกยักษ์ชิงฉินมีใจเอนเอียงทางเผ่ามนุษย์ ตอนนี้สถานการณ์ฉุกเฉินวิกฤต ข้าลองดูได้
‘นอกจากนี้…’
ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก
‘หากชิงฉินปฏิเสธ ก็ไม่รู้ว่านกยักษ์ตัวนี้กลัวดวงจันทร์สีแดงหรือไม่!’
สวี่ชิงไม่มีวิธีแล้ว หากอยากมอบกำลังทหารและทรัพยากรที่แนวหน้าต้องการอย่างเร่งด่วน ก็มีแต่ต้องใช้วิธีใหม่ๆ แล้ว
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ หาหนิงเหยียนที่กำลังยุ่งอยู่เจอ ไม่อนุญาตให้ได้พูดอะไร คว้าตัวไว้ก็ไปทันที
“สวี่…ศิษย์พี่สวี่ชิง พวกเราจะไปทำอะไรหรือ” หนิงเหยียนตัวสั่น มองสีหน้าของสวี่ชิง ในใจของเขาเกิดความรู้สึกไม่เป็นสุข
“ข้าจะพาเจ้าไปหาสหายเก่าคนหนึ่ง”
“สหายเก่าหรือ” หนิงเหยียนตื่นตกใจ จากนั้นก็สูดลมหายใจ ถามอย่างระมัดระวังขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ใช่ศิษย์พี่เอ้อร์หนิวหรือไม่”