บทที่ 956 พี่ใหญ่ตามใจ
……….
บุญคุณความแค้นในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว ความเข้าใจผิดที่ควรคลี่คลายก็คลี่คลายแล้ว
แม่นางเหยามิใช่แม่เลี้ยงที่โหดร้าย และกู้ฉังชิงก็เป็นพี่ใหญ่ที่แสนดี
เพื่อกู้เหยี่ยน เพื่อกู้เจียว เขายอมสละชีวิตไปหลายหน แม่นางเหยาไม่มีความแค้นเคืองต่อเขาอีกต่อไป เหลือเพียงความซาบซึ้งและขอบคุณจากใจจริง
ทว่าแม้จะไม่มีเรื่องติดค้างในใจแล้ว แต่การแสดงออกภายนอกยังคงมีความห่างเหินอยู่
นางปากพูดว่าไม่ได้คาดหวัง แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ นางถึงรู้ว่าตนรอคอยคำว่าแม่นี้มานานแค่ไหน
“ดูเจ้าสิ ร้องไห้ทำไม” ท่านโหวกู้ที่อยู่ด้านข้างเห็นแม่นางเหยายกถ้วยน้ำชาพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม จึงรีบหยิบผ้ามาเช็ดให้นาง “มิใช่แค่คำเรียกรึ”
แม้จะพึมพำไปเช่นนั้น แต่เขาก็เข้าใจดีว่าแม่นางเหยารอคอยคำว่าแม่มานานแค่ไหน
ครั้นบุตรชายยังเด็ก เขาไม่รู้ว่าลองใช้วิธีใดบ้าง ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง บังคับให้พวกเขาเคารพแม่นางเหยา เรียกแม่นางเหยาว่าแม่ แต่ทั้งสามกลับปีกกล้าขาแข็ง ยอมตายดีกว่าจะทำตาม
เหล่าฮูหยินสงสารหลานๆ ห้ามเขาบังคับบุตรทั้งสามอีก เรื่องคำเรียกจึงถูกพักไว้
บัดนี้บุตรชายคนโตเริ่มเรียกก่อน อันที่จริงแล้วเขาค่อนข้างประหลาดใจ
ทว่าเมื่อคิดย้อนไปถึงยามที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็รู้สึกว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
หยวนเป่าหลินมองแม่นางเหยาและหันมองกู้ฉังชิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ภายในใจคงปรากฏคลื่นยักษ์อย่างแน่นอน นางรับถ้วยชาจากมือบ่าวรับใช้ ยกสองมือมอบให้กับแม่นางเหยา “ท่านแม่ เชิญดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ”
“ได้ ได้!” แม่นางเหยายิ้มน้ำตาคลอ รับถ้วยน้ำชาจากลูกสะใภ้
แม่นางเหยาก็มอบชุดเครื่องประดับให้หยวนเป่าหลินด้วย เป็นชุดที่นางไปเลือกซื้อกับกู้เฉียวที่ร้านค้า รูปแบบใหม่ เรียบง่ายแต่ดูสง่างาม เหมาะกับบุคลิกของหยวนเป่าหลินนัก
หยวนเป่าหลินรู้ทันทีว่าของขวัญชิ้นนี้ใส่ใจมาก นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”
คู่สามีภรรยาอยู่ร่วมกินอาหารกลางวันในเรือนของแม่นางเหยา
หลังออกจากเรือน ทั้งคู่เดินกลับไปด้วยกัน เมื่อเดินผ่านสวนบุปผาขนาดย่อม กู้ฉังชิงก็หยุดเดินกะทันหัน แล้วเอ่ยกับหยวนเป่าหลิน “ข้าจะไปค่ายทหารสักครู่ คืนนี้อาจไม่กลับ พักผ่อนก่อนได้เลย”
ก่อนหยวนเป่าหลินจะเอ่ยปาก ท่านเหล่าโหวทำมือไขว้หลังก้าวยาวมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านปู่” คนทั้งสองโค้งคำนับ
ท่านเหล่าโหวพยักหน้า “ข้าจะออกไปข้างนอก พวกเจ้ากลับเรือนเถิด”
กู้ฉังชิงเอ่ย “ท่านปู่จะไปค่ายทหารหรือขอครับ ข้าขอไปพร้อมท่านด้วย”
ท่านเหล่าโหวจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ “เจ้าจะไปพร้อมข้า ข้าให้เจ้าพัก เดือนนี้ไม่ต้องไปค่ายทหาร อยู่เป็นเพื่อนเป่าหลินไป”
กู้ฉังชิงอึกอัก “ข้า…”
มุมปากของหยวนเป่าหลินยกขึ้นเล็กน้อย
“ข้าไปก่อน” ท่านเหล่าโหวจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หยวนเป่าหลินยิ้มเล็กน้อย “ท่านปู่เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ”
“อืม” ท่านเหล่าโหวที่เดินไปสองสามก้าวตอบรับอย่างจริงจัง
หยวนเป่าหลินมองกู้ฉังชิงด้วยความเสียดาย “ทำอย่างไรดี ท่านปู่ไม่ยอมให้เจ้าไปค่ายทหาร”
กู้ฉังชิงจนปัญญา เขาฝึกยุทธตั้งแต่เด็ก อายุสิบห้าก็ติดตามท่านเหล่าโหวออกรบ ตลอดทั้งวันไม่ฝึกทหารก็ต่อสู้บนสนามรบ จู่ๆ จะให้อยู่ว่างๆ ก็รู้สึกไม่ชิน
เขาถอนหายใจ “ข้าไปฝึกกระบี่ที่หลังเขาสักพักนะ”
หยวนเป่าหลินอุทานเสียงเบา “เจ้า…ยังมีแรงฝึกกระบี่อีกหรือ”
กู้ฉังชิงไม่รู้ตัวไปชั่วขณะ “แน่นอนว่าข้ามี…”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าหยวนเป่าหลินหมายถึงอะไร
ผ่านไปเพียงสองวัน ความอึดอัดใจยังไม่จางหาย เขาจึงไอกระแอม เอ่ยอย่างจริงจัง “ข้าส่งเจ้ากลับเรือนก่อน”
กู้ฉังชิงพาหยวนเป่าหลินกลับเรือนหอ จากนั้นจึงไปฝึกกระบี่ที่หลังเขา
เขากลับมาที่เรือนด้วยเหงื่ออาบหน้า พบว่าหยวนเป่าหลินนั่งรอเขาอยู่ในห้อง บนโต๊ะวางอาหารจานเด็ดที่ปรุงอย่างประณีตไว้หลายอย่าง แต่ดูเหมือนจะวางไว้นานจนเย็นลงแล้ว
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ” หยวนเป่าหลินทักทายเขา
เขาพยักหน้าเล็กน้อย ถามนาง “เจ้า…รอข้าหรือ”
“ใช่แล้ว” หยวนเป่าหลินตอบคำถามเขาเสร็จ ก็เอ่ยกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เย่ว์เอ๋อร์ เอาอาหารเหล่านี้ไปให้ห้องครัวอุ่นร้อนหน่อย”
“เจ้าค่ะคุณหนู” เย่ว์เอ๋อร์ยกอาหารออกไป
หยวนเป่าหลินยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา เขาชะงักไปครู่หนึ่ง รับมาแล้วเอ่ย “วันหลังหากข้ากลับมาดึก เจ้ากินก่อนได้เลย ไม่ต้องรอข้า”
หยวนเป่าหลินเอ่ย “ข้ากินคนเดียวจะดูแปลกน่ะ จะถูกจับผิดได้ง่าย ประเดี๋ยวคนอื่นมองออกว่าเราเป็นสามีภรรยากันปลอมๆ น่ะ”
กู้ฉังชิงครุ่นคิดก็เป็นจริงเช่นนั้น
เขาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้า…จะพยายามกลับมาให้เร็วขึ้น”
ทั้งสองกินข้าว อาบน้ำแต่งตัว ต่างคนต่างเตรียมตัวเข้านอน
กู้ฉังชิงแต่งตัวมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้แต่คอยังรัดจนมิดชิด ใบหน้าดูสดใสงดงาม แต่ทั่วทั้งเลือนร่างกลับปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความเย็นชาและละกิเลส
หยวนเป่าหลินแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แต่อาจไม่ทางการเท่ากู้ฉังชิง
หยวนเป่าหลินเปิดม่านสีแดงขึ้นนอนบนเตียง กู้ฉังชิงปิดประตูห้องและไปหยิบผ้าปูที่นอนมาปูบนพื้นตามปกติ แต่กลับพบว่าผ้าปูที่นอนในตู้หายไป
เขาขมวดคิ้ว
หยวนเป่าหลินชะโงกศีรษะออกมาจากม่าน “มีอะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้ว “ผ้าปูที่นอนหายไป”
หยวนเป่าหลินเอ่ยถาม “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นได้”
กู้ฉังชิงยังคงขมวดคิ้ว “อาจเพราะบ่าวรับใช้ที่ทำความสะอาดห้อง เห็นผ้าปูที่นอนสกปรก จึงเอาไปซักน่ะ ประเดี๋ยวข้าจะให้พวกนางเอามาใหม่”
“อ้าว! กู้ฉังชิง!” หยวนเป่าหลินเรียกเขาไว้ “หากพวกนางเห็นว่าสกปรกแล้วเก็บไป คืนนี้เจ้าปูนอนบนพื้น เช้าวันรุ่งขึ้นให้พวกนางเห็นว่าสกปรกอีก หนึ่งหรือสองครั้งยังพอไหว แต่หลายครั้งเข้า เรื่องที่เจ้านอนบนพื้นก็ต้องถูกจับได้ในที่สุด”
กลยุทธ์ในนิยายที่ชายหนุ่มใช้การนอนบนพื้นเพื่อไม่ต้องร่วมเตียงกับภรรยา ดูเหมือนจะเป็นแผนที่สมบูรณ์แบบ แต่พอมาลองทำจริง กลับพบจุดอ่อนอย่างง่ายดาย
บ่าวรับใช้ตาบอดอย่างนั้นหรือ
จะไม่รู้หรืออย่างไรว่าปูที่นอนไว้บนพื้น
กู้ฉังชิงในช่วงแรกไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมาก สำคัญคือเขาคิดไม่ถึงว่าท่านปู่ห้ามเขาไม่ให้ไปที่ค่ายทหาร แต่หากผ้าปูที่นอนสกปรกร่วมเดือน ก็คงอดสงสัยไม่ได้
“ขึ้นมานอนบนเตียงเถิด” หยวนเป่าหลินเอ่ย “อย่างไรเสียเตียงก็กว้างมากพอ”
กู้ฉังชิงมองประตูห้องที่ใส่กลอนไว้
หยวนเป่าหลินเหลือบมองตามเขาแล้วเอ่ย “พวกนางเฝ้าอยู่ข้างนอก หากเจ้าจะไปนอนที่ห้องหนังสือ พรุ่งนี้ทั้งจวนคงมีข่าวลือว่าเราแต่งงานแล้วไม่ถูกกันแน่ๆ”
กู้ฉังชิงมองม้านั่งทรงยาวสองสามตัวในห้องแล้วเอ่ย “ข้านอนม้านั่งได้”
หยวนเป่าหลินเอ่ย “อืม”
กู้ฉังชิงจัดม้านั่งให้เรียบร้อย พอนอนลงไป ปรากฏว่าม้านั่งพังลง
กู้ฉังชิงล้มศีรษะฟาดลงจนมึนไปชั่วขณะ “…”
สุดท้ายกู้ฉังชิงก็ต้องนอนบนเตียงในม่านสีแดง
เตียงมีขนาดกว้างมาก หยวนเป่าหลินนอนอยู่ด้านในสุด เขานอนชิดขอบเตียง ตรงกลางยังมีที่ว่างพอสำหรับนอนได้อีกคน
หยวนเป่าหลินนอนหลับอย่างสบายโดยไร้ หลับตาไม่นานก็เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
กู้ฉังชิงนอนหงาย วางมือไขว้กันบนหน้าท้อง มองม่านสีแดงบนเพดานอย่างเฉยเมย ได้ยินเสียงหายใจที่สม่ำเสมอของนาง และกลิ่นหอมหวานของนางโชยมาแตะจมูก
ม่านสีแดงกักเก็บกลิ่นหอมของนางไว้ในพื้นที่แคบนี้ ความมืดมิดของค่ำคืนยิ่งทำให้ทุกสิ่งดูมืดมนขึ้น
ด้วยสายตาที่พร่ามัว ประสาทสัมผัสอื่นๆ ของเขาก็ถูกขยายกว้างขึ้น นอกจากเสียงและกลิ่นหอมของนางแล้ว แม้แต่สัมผัสจากเตียงนอนที่อ่อนนุ่ม ผ้าห่มไหมเนื้อลื่นที่คลุมร่างกาย ล้วนกระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นชายของเขาอย่างรุนแรง
ภาพคืนส่งตัวเข้าห้องหอผุดขึ้นมาในสมองเขาโดยไม่ตั้งใจ นางสะอื้นไห้ใต้ร่างกายเขา ร่างกายที่อ่อนนุ่มสั่นระริกเบาๆ …
เขากำหมัดแน่น สูดหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลง พยายามขจัดความคิดอันสับสนในสมองออกไป
…
วันที่กู้ฉังชิงส่งหยวนเป่าหลินกลับจวน บังเอิญตรงกับเทศกาลโคมไฟของถนนฉังอัน
หยวนเป่าหลินอยากไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟ กู้ฉังชิงก็ไปเป็นเพื่อน
“ข้าไปด้วย! ข้าไปด้วย!” หยวนถงดึงมือพี่สาวไว้
หยวนฮูหยินถลึงตาใส่ลูกสาวคนเล็ก มีตาหามีแววไม่ พี่สาวกับพี่เขยไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟ เจ้าจะไปด้วยทำไม
เพียงแต่หยวนถงรับรู้ไม่ถึงสายตาดุจมีดอันคมกริบจากมารดาเลย นางคิดถึงพี่สาวของนางมากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พี่สาวกว่าจะกลับจวนสักที นางไม่อยากแยกจากพี่สาวเร็วขนาดนี้!
“น้องสาวข้าไปด้วยได้หรือไม่” หยวนเป่าหลินถามความคิดเห็นของกู้ฉังชิง
“แน่นอนสิ” กู้ฉังชิงตอบอย่างใจกว้าง เขาเอ่ยกับบิดาหยวนและหยวนฮูหยิน “ท่านพ่อ ท่านแม่ โปรดวางใจได้ เมื่อเทศกาลโคมไฟจบลง ข้าจะพากลับมาส่งขอรับ”
หยวนถงยิ้มอย่างมีความสุข “พี่เขยดีที่สุดเลย!”
เช่นนี้ หยวนฮูหยินก็ไม่อาจขวางหยวนถงได้อีกแล้ว จึงปล่อยให้นางไปด้วย
ยามที่มา กู้ฉังชิงและหยวนเป่าหลินนั่งรถม้าคันเดียวกัน ยามนี้มีหยวนถงมาเพิ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา กู้ฉังชิงจึงขี่ม้านำหน้า
ภายในรถม้า พี่น้องสองคนพูดคุยกันถึงเรื่องส่วนตัว หยวนถงจับมือพี่สาวและกระซิบ “พี่สาว ท่านบอกข้ามาตามตรง พี่เขยดีกับพี่หรือไม่”
หยวนเป่าหลินตอบ “ก็ดีนะ”
“จริงหรือ”
“จริงสิ”
หยวนถงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็สบายใจ”
กู้ฉังชิงไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง เพียงแต่เขาหูดี และดูแล้วเรื่องที่พวกเขาสามีภรรยากันใน แม้แต่หยวนเป่าหลินน้องสาวคนสนิทที่สุดก็ไม่บอก
ถนนฉังอันคึกคักไปด้วยผู้คน รถม้าที่มาถึงข้างถนนจึงไม่อาจแล่นต่อไปได้ ทุกคนต้องลงจากรถและเดินเท้า
หยวนเป่าหลินจูงมือน้องสาวเดินไปข้างหน้า กู้ฉังชิงเดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลัง
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ร้านค้าที่เรียงรายอยู่ก็เปิดไฟสว่างไสว แผงขายของสองข้างทางแขวนโคมไฟหลากสีสันอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เมื่อมองไปโดยรอบจะเห็นแสงไฟสว่างไสวราวกับมังกรยาวที่คดเคี้ยวในยามค่ำคืน
หยวนเป่าหลินหันหลังมองเป็นระยะๆ เมื่อเห็นเขา นางก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย จากนั้นก็เดินชมโคมไฟกับน้องสาวต่อ
ทั้งสามเดินไปสักพัก ก็มีคนชะโงกศีรษะออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของโรงเตี๊ยม ตะโกนเรียกกู้ฉังชิงด้วยความดีใจ “พี่ใหญ่”
กู้ฉังชิงหยุดเดินและเงยหน้ามอง
หยวนเป่าหลินและน้องสาวมองไปที่ชายผู้นั้นเช่นกัน
เมื่อหยวนถงเห็นว่าเป็นใคร นางก็เปลี่ยนสีหน้าทันทีและเอ่ย “เจ้าเองรึ”
กู้เฉิงเฟิงหน้าดำคร่ำเครียด “เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่”
……….