บทที่ 952 งานแต่งสุดยิ่งใหญ่
……….
กู้เสี่ยวเป่าไม่อาจเข้าใจความหมายของหลานชายกับหลานสาว ทว่าเมื่อกู้เจียวเรียกเขาว่าน้าเล็ก เขาก็เข้าใจในที่สุด และเข้าใจความหมายของคำนี้
“ข้าคือน้าเล็กรึ” เขาเอ่ยถาม
“ถูกต้อง” กู้เจียวตอบ
เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง “ได้”
เขาโตขึ้นอีกหนึ่งปี ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่แบมือตบหน้าอกแล้วโบกมือไปมา
สำหรับเขาแล้ว นั่นคือสิ่งที่เด็กทารกทำ
กู้เจียวประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงของเขา เด็กๆ เติบโตเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นไปเรียนแล้ว เหลือเพียงแม่นางเหยากับสาวใช้สองสามคน
แม่นางเหยายกถาดขนมที่นางทำเองมาที่ห้องตะวันออก นางรู้ว่าบุตรสาวไม่ชอบกินอาหารหวานมากนัก นางจึงใส่แต่น้ำตาลเพียงเล็กน้อย
“มาตั้งแต่เช้า คงหิวแล้วละสิ กินอะไรหน่อยเร็ว” แม่นางเหยาวางถาดขนมไว้หน้ากู้เจียว
กู้เจียวหยิบขนมซิ่งเหรินชิมหนึ่งคำ ยังคงเป็นรสชาติเดิม อร่อยยิ่งนัก
แม่นางเหยาวางถาดขนมลงบนเก้าอี้ หันมองเด็กน้อยทั้งสองคน
วันนี้อากาศร้อน กู้เจียวคลายผ้าอ้อมให้กับพวกเขา เซียวฉงยังคงเป็นเด็กชายรูปงามที่นิ่งเงียบ ในขณะที่เซียวเยียนมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นระยะ ยืดเส้นยืดสายอย่างน่ารัก
เด็กทั้งสองสุขภาพแข็งแรง เซียวเยียนอ้วนกว่าเล็กน้อย
แม่นางเหยามองดูพวกเขา พลันนึกถึงกู้เหยี่ยนและกู้เจียวในอดีต ความเสียใจที่ไม่ได้เลี้ยงดูบุตรสาวแท้ๆ ของนางเองก็ฝังลึกอยู่ในใจนางชั่วชีวิต
ความรู้สึกเจ็บปวดจากการพลาดโอกาสใช้เวลากับนางอย่างมีค่า ไม่อาจชดเชยด้วยวันที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ในใจของนางยังคงมีช่องว่างที่ไม่มีวันเติมเต็มได้
ทว่าการปรากฏตัวของเซียวฉงและเซียวเยียน เริ่มเติมเต็มช่องว่างนั้นทีละน้อย
นางรักเด็กทั้งสองมาก และรู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างสุดซึ้ง
“ท่านแม่ หลานชาย หลานสาวตัวเล็กนัก” กู้เสี่ยวเป่าแสดงความเห็นของตนอีกครั้ง
“ครั้นที่เจ้ายังเด็กก็ตัวเล็กเช่นนี้แหละ” แม่นางเหยาเอ่ย และจู่ๆ ก็มองเขาด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้จักคำว่าหลานชายและหลานสาวด้วย”
“พี่สาวบอก” กู้เสี่ยวเป่าเอ่ย “ข้าคือน้าเล็ก”
แม่นางเหยายิ้มแล้วลูบศีรษะเขาเบาๆ “เสี่ยวเป่าฉลาดยิ่งนัก”
น้าเล็กมีใจอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ดี แต่หลานชายและหลานสาวในวัยสี่สิบวัน นอกจากกินก็นอน ไม่อาจเล่นกับเขาได้เลย
เขาไปนั่งบนเตียงสักครู่ รู้สึกเบื่อหน่าย จึงออกไปหาเพื่อนเล่นในตรอก
ท่านโหวกู้มาถึงหน้าประตูจวนพร้อมกับเซียวเหิงพอดี เสิ่นเหอเพิ่งเลิกงาน พอดีกับเขา
ทั้งสองยังคงสวมชุดขุนนาง
ณ แคว้นเจา ขุนนางขั้นสามขึ้นไปถึงจะมีสิทธิ์สวมชุดสีม่วง ท่านโหวกู้คือรองเสนาบดีกรมโยธาการขั้นสี่ ชุดขุนนางจึงเป็นสีแดง
เขามองเซียวเหิงที่อายุน้อยกว่าและมีศักดิ์ต่ำกว่า แต่สวมชุดขุนนางสีม่วง จึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ย่างยิ่ง
พ่อตายิ่งมองลูกเขย ยิ่งโมโห
เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มยากจนที่เขาเคยดูถูกเหยียดหยามมาตลอด จะกลับกลายเป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาที่พลัดถิ่นมาอยู่ที่นี่!
ถึงว่าได้อันดับหนึ่งในการสอบจอหงวน
แม้เขาจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้หมอนี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความรู้ของท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจามิใช่ของปลอม
ช่างเถอะ เป็นพ่อตาของท่านโหวน้อยก็ไม่เลวเลย
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เขากระแอม วางมาดเป็นพ่อตาพลางเอ่ย “เจ้ามาแล้ว เจอหน้าก็ไม่เรียกพ่อตาสักหน่อยรึ”
เสี่ยวเหิงสะบัดแขนเสื้อกว้าง เอ่ยเสียงเรียบ “ข้าแต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลอันกั๋วคงแห่งแคว้นต้าเยี่ยน อันกั๋วกงต่างหากที่เป็นพ่อตาของข้า”
ท่านโหวกู้สีหน้าบึ้งตึง มุมปากกระตุก เดินเข้าไปด้านในด้วยความโกรธ!
เด็กแสบ เก็บสามีอะไรมา ไร้มารยาทสิ้นดี!
ประเดี๋ยวเขาเจอนาง ต้องสั่งสอนเสียให้เข็ด!
เขาก้าวยาวข้ามธรณีประตูอย่างแรง เท้าสะดุด แล้วเปล่งเสียงอ้ากออกมา ล้มหน้าคว่ำกับพื้น!
กู้เจียวเดินออกมาจากห้องตะวันออก มองเขาด้วยใบหน้างุนงง ผ่านไปชั่วครู่ ถึงเลิกคิ้วเอ่ย “อ้อ ลุกขึ้นได้”
ท่านโหวกู้ “…”
…
ท่านโหวกู้มุ่งหน้าไปฟ้องแม่นางเหยาด้วยสภาพใบหน้าบวมช้ำ เพิ่งก้าวเข้าห้อง ยังไม่ทันเอ่ยปากก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นทารกแฝดชายหญิงนอนเคียงข้างกันบนเตียง
ท่านโหวกู้หยุดเดินไปชั่วขณะ
การมีแฝดนั้นพบยากยิ่ง และการมีทารกแฝดชายหญิงยิ่งพบยากขึ้นไปอีก ครั้งล่าสุดที่เขาเห็นทารกแฝดชายหญิงที่ตัวเล็กเช่นนี้ก็คือยามที่กู้เหยี่ยนกับกู้จิ่นอวี๋ยังเด็ก
ท่านโหวกู้ยังจำภาพที่ทารกทั้งสองนอนอยู่ในเปลได้ดี เพียงแต่แตกต่างจากยามนี้ตรงที่กู้เหยี่ยนป่วยเป็นโรคหัวใจและไม่ยอมนอนกับกู้จิ่นอวี๋ จึงร้องไห้งอแงอยู่เสมอ บรรยากาศจึงไม่สู้ดีนัก
เด็กน้อยทั้งสองคนตรงหน้าแม้จะนอนห่างกัน แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายใยแห่งความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน
ความคิดหนึ่งแวบผ่านในสมองของท่านโหวกู้ ที่แท้ทารกแฝดชายหญิงที่แท้จริงเป็นเช่นนี้นี่เอง
“ท่านโหว” แม่นางเหยาวันนี้อารมณ์ดี จึงเผยรอยยิ้มอันหายากให้กับท่านโหวกู้
ท่านโหวกู้เดินเข้าไปมองพวกเขาด้วยความตกตะลึง “พวกเขา…”
แม่นางเหยาเมินเฉยกับรอยช้ำบนใบหน้าของท่านโหวกู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดูทารกแฝด “ทารกแฝดชายหญิงของอาเหิงกับเจียวเจียว ฉงเอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์”
ท่านโหวกู้อ้าปากค้าง
แม่เด็กนั่นเป็นคนให้กำเนิดหรือเนี่ย…
แม่นางเหยายิ้มเอ่ย “น่ารักมากเลยใช่หรือไม่”
ท่านโหวกู้อยากโต้เถียง แต่หาข้อโต้แย้งมิได้เลย
เด็กทั้งสอง ก็ดูน่ารักจริงๆ
เขาอดนึกถึงกู้จิ่นอวี๋ที่ออกเรือนไปไกลถึงจวนชางผิงโหวมิได้ จิ่นอวี๋แต่งงานวันเดียวกับเด็กน้อยนั่น เด็กน้อยมีลูกแฝดแล้ว จิ่นอวี๋ก็น่าจะมีลูกแล้วกระมัง
…
เมืองเฟิงเป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันออกสุดของแคว้น จวนชางผิงโหวตั้งอยู่บนถนนร่ำรวยที่สุดของเมืองเฟิง และรายล้อมไปด้วยขุนนางท้องถิ่นผู้ทรงอำนาจ
เมื่อเทียบกับจวนชางผิงโหวที่ตั้งอยู่บนทำเลทอง เรือนในจวนที่กู้จิ่นอวี๋แบ่งได้กลับไม่น่าพึงพอใจนัก
เรือนลั่วสุ่ยเป็นเพียงลานบ้านที่ถูกจัดเตรียมอย่างเร่งรีบ
กู้จิ่นอวี๋แต่งเข้าจวนชางผิงโหวมานานกว่าครึ่งปีแล้ว แต่นางยังคงบริสุทธิ์อยู่
ในช่วงแรกนางอึดอัดใจกับเรื่องนี้ ต่อมาเมื่อฮูหยินชางผิงโหวเร่งรัดให้นางรีบมีบุตรชายคนโตให้กับท่านชายสาม นางก็สารภาพความจริงกับแม่สามี
แม่สามีพยายามแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกเขา ซึ่งได้ผลบ้าง นับตั้งแต่นั้นมา ท่านชายสามก็มาหานางที่ห้องวันขึ้นหนึ่งค่ำและสิบห้าค่ำของทุกเดือน
แต่ก็เพียงนอนบนเตียงเดียวกัน ท่านชายสามมิได้แตะต้องนางเลยแม้แต่น้อย!
นางเคยสงสัยว่านางเองไม่ดึงดูดใจท่านชายสามมากพอ หรือนางอาจทำอะไรบางอย่างโดยไม่ตั้งใจจนท่านชายสามรังเกียจนาง จนกระทั่งวันหนึ่ง นางลงมือทำน้ำแกง ใช้เวลาทั้งบ่ายเคี่ยวข้าวต้มเมล็ดบัวเพื่อนำไปให้กับท่านชายสาม
แต่พอนางมาถึงห้องหนังสือ ก็ได้ยินเสียงอันน่าอับอาย
นางคิดว่าสาวใช้คนไหนที่กำลังยั่วยวนท่านท่านสามตอนกลางวันแสกๆ ด้วยความโมโห นางจึงผลักประตูเข้าไป แต่สิ่งที่นางเห็นทำให้จดจำไปชั่วชีวิต
ท่านชายสามกำลังนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะทำงาน ถูกชายหนุ่มผู้หนึ่ง…
นางรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางแจ้ง รู้สึกมึนงงไปหมด
ท่านชายสามโกรธจัดและไล่นางออกไป นางโมโหจนเถียงกับท่านสามไปหลายประโยค พูดจารุนแรงใส่กัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันอย่างรุนแรง
สุดท้าย นางจึงย้ายออกจากเรือนของท่านชายสาม พาชุนหลิ่วและเหล่าสาวใช้ที่ติดตามออกเรือนย้ายเข้าเรือนลั่วสุ่ยที่อยู่ลับตาคน
นี่คือเหตุผลที่นางตัดสินใจแตกหักกับแม่นางเหยาเพื่อรักษาชีวิตคู่ไว้ นี่คือบุตรชายคนโตแห่งจวนโหวที่นางตั้งใจจะแต่งงานด้วย
ช่างน่าขันเหลือเกิน
เหล่าฮูหยินกู้คงรู้อยู่แก่ใจละสิ! จงใจให้นางกระโจนเข้ากองไฟ เพียงเพื่อต้องการดึงจวนชางผิงโหวมาเป็นพวก โดยไม่สนว่าหลานสาวจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร!
ท่านย่าที่แสนดีของนาง ช่างหวังดีกับหลานๆ เหลือเกิน!
ทว่าทุกอย่างล้วนเป็นความปรารถนาเพียงฝ่ายเดียวของเหล่าฮูหยินกู้เท่านั้น จวนติ้งอันโหวมีทหารตระกูลกู้นับแสนนาย ยังต้องดึงตระกูลเฉวียนมาเป็นพวกอีกหรือ
แม่เฒ่าผู้มีสายตาสั้นอยู่หลังเรือน ถูกนางขายทิ้งไปเสียแล้ว!
“คุณหนูเจ้าคะ”
ชุนหลิ่วถือข้าวต้มที่เคี่ยวเสร็จแล้วมาที่ข้างหน้าต่าง และยื่นให้กู้จิ่นอวี๋อย่างระมัดระวัง “ใกล้เย็นแล้ว รีบกินตอนร้อนๆ เถิดเจ้าค่ะ
กู้จิ่นอวี๋เย็นชา “ข้าไม่หิว”
ชุนหลิ่วเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ท่านไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้วนะเจ้าคะ”
กู้จิ่นอวี๋ยังคงไม่อยากกิน
นับตั้งแต่นางย้ายมาที่นี่ นางก็ตัดขาดการติดต่อกับเมืองหลวง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้นางถึงพลั้งปากถามขึ้นมา “มีข่าวอะไรจากเมืองหลวงบ้างหรือไม่”
ชุนหลิ่วเม้มริมฝีปาก ก้มศีรษะลง
กู้จิ่นอวี๋เหลือบมองนางพลางเอ่ยเสียงเรียบ “พูดมาเถอะ”
ชุนหลิ่วกัดริมฝีปาก เอ่ยเสียงเบา “ได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่คลอดแฝดชายหญิงให้กับท่านโหวน้อย”
“แต่งงานยังไม่ถึงปี กลับมีทายาทให้ตระกูลเซียวได้แล้ว…แฝดชายหญิง… ฮ่าๆๆ… ฮ่าๆ …” กู้จิ่นอวี๋บีบหน้าอกที่เจ็บเสียดราวกับโดนมีดทิ่งแทง หัวเราะเยาะตนเองจนไหลน้ำตาไหลหยดออกมา “เยี่ยม…เยี่ยม…เยี่ยมจริงๆ !”
…
ณ เมืองหลวง
เดิมทีงานแต่งงานของกู้ฉังชิงกับหยวนเป่าหลินถูกกำหนดไว้ในช่วงเดือนสิบสอง แต่เนื่องจากราชเลขาหยวนล้มป่วยอย่างกะทันหัน งานแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไปอีก จนกระทั่งเดือนมีนาคม สุขภาพของราชเลขาหยวนเริ่มดีขึ้น ในที่สุดงานแต่งของทั้งคู่ก็จัดขึ้นในเดือนเมษายน
กู้เจียวเลื่อนการเดินทางไปยังเกาะราตรีมืดออกไประยะหนึ่งเพื่อเข้าร่วมงานแต่งของกู้ฉังชิง
เซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินนำเฮยเฟิงและหน่วยเงามืดกลับมายังแคว้นเยี่ยน
เหลี่ยวเฉินยังคงเป็นหัวหน้าเงาทมิฬ และกู้เจียวก็ยังคงเป็นผู้บัญชาการน้อยแห่งกองทหารม้าเฮยเฟิง แม้นางจะไม่อยู่ในแคว้นเยี่ยน แต่ก็มีตำนานของนางอยู่ในแคว้นเยี่ยนทุกแห่งหน
ส่วนเรื่องการฝึกทหาร จอมพลเซวียนหยวนฉีเป็นผู้รับผิดชอบชั่วคราว
วันที่สิบสองเดือนสี่ ยามเฉิน ขบวนขันหมากของกู้ฉังชิงออกเดินทางจากจวนติ้งอันโหวอย่างองอาจ
……….