บทที่ 950 แฝดชายหญิง
……….
ข่าวราชเลขาได้ลูกแฝดชายหญิงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างลือกันว่าวันก่อนที่ท้องฟ้ามีแสงเรืองรองนั้นเป็นลางดี แถมยังคิดกันไปล่วงหน้าถึงขั้นว่าเมื่อพวกเขาเติบใหญ่ขึ้นจะต้องได้เป็นเจ้าเป็นนายคนแน่ๆ
ไม่มีทางที่พวกเขาจะโตไปเป็นเด็กไม่เอาไหนอย่างแน่นอน!
ด้วยความที่กู้เจียวไม่มีน้ำนม และไม่รู้ว่าเป็นเพราะกรรมพันธุ์หรืออะไร แต่เด็กๆ ไม่ยอมกินนมแม่เลย กล่องยาจึงต้องรับหน้าที่เป็นแม่ไปโดยปริยายด้วยการให้ขวดนมและนมผงมา
หลังจากดื่มนมเสร็จ พวกเด็กๆ ก็เริ่มผล็อยหลับลงข้างกายกู้เจียวอย่างเคลิบเคลิ้ม
ขณะที่เซียวเหิงยกถ้วยน้ำแกงตุ๋นเข้ามา ก็เห็นภรรยาของตัวเองกำลังจ้องตาลูกๆ ตาปริบๆ
สายตาของนางราวกับไม่อยากเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้าสองก้อนนี้
เซียวเหิงหัวเราะภรรยาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเข้าไปนั่งข้างๆ “แม่ข้าบอกให้พ่อครัวตุ๋นไก่ให้เจ้า”
“ใส่เกลือลงไปหรือยัง” กู้เจียวถาม
เมื่อเซียวเหิงได้ยินเช่นนั้นก็พ่นหัวเราะทันที “ใส่แล้วสิ ตอนนี้เจ้าไม่ต้องให้นมลูกแล้ว กินตามปกติได้เลย”
“อ้อ” กู้เจียวคว้าถ้วยไก่ตุ๋นแล้วกระดกดื่มจนหมดอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่ยื่นถ้วยคืนให้สามี ก็เผลอถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว
เซียวเหิงดูออกในทันทีว่าภรรยาของเขากำลังมีเรื่องค้างคาใจ
“มีอะไรหรือ คิดอะไรอยู่” เซียวเหิงเอ่ยถาม
“อืม… ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก” กู้เจียวส่ายหน้า
หลังจากผ่านเหตุการณ์ทุกอย่างมา อะไรที่ควรตกใจก็ตกใจไปแล้ว ส่วนอะไรที่ควรรับรู้ก็พอรู้มาบ้างแล้ว
เพียงแต่ว่าก็อดนึกเสียดายบางเรื่องไม่ได้
ไม่น่าเชื่อว่านางได้ข้ามมิติมาสามครั้ง ครั้งแรกในร่างของ ‘เจ้าแห่งเงาทมิฬ’ ส่วนอีกสองครั้งในดวงวิญญาณของจิ่งยินยิน และในตอนนี้
แต่นางแทบจะไม่มีความทรงจำจากสองครั้งแรกเลย น่าจะเป็นเพราะว่าได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กของกาลเวลาในขณะที่ข้ามมิติ ทำให้ความทรงจำสูญหายไป
กล่องยาสามารถพาคนข้ามมิติในร่างกายได้ และสามารถพาข้ามมิติในรูปแบบดวงวิญญาณได้ด้วย หากไม่มีร่างกาย ก็จะข้ามมิติได้เฉพาะในรูปแบบดวงวิญญาณ
ครั้งแรกที่นางมาที่นี่ ก็ได้ทิ้งพิกัดไว้ที่ตำหนักกั๋วซือ ซึ่งก็คือห้องผ่าตัดห้องนั้น
และเนื่องจากพิกัดนั้น เมื่อตอนที่นางเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก กล่องยาจึงสามารถพาร่างของนางและคลื่นสมองของนางมายังห้วงเวลานี้ได้
แต่หากไม่ได้พิษจากจื่อเฉ่า คลื่นสมองของนางก็จะไม่สามารถรวมเข้ากับร่างของคนอื่นได้ อาจารย์รู้เรื่องนี้จึงได้ปลูกจื่อเฉ่าไว้ที่เกาะอั้นเย่
แต่ก็เป็นปริศนาอีกอย่างเช่นกันว่าเหตุใดอาจารย์ถึงรู้เรื่องนี้ได้
“นี่เจ้าอย่าบอกนะว่า… คิดถึงอาจารย์ของเจ้าอีกแล้วน่ะ” เซียวเหิงเอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขาเริ่มรู้สึกอิจฉาอาจารย์ของนางเข้าแล้วสิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขารู้ว่าชายผู้นี้เสียสละเพื่อกู้เจียวมากมาย
กู้เจียวเอียงหัวมาทางสามี พร้อมทัก “หึงข้ารึ”
“คุณหนูเจ้าคะ! ท่านกั๋วกงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงของอวี้หยาเอ๋อร์ดังขึ้น
เซียวเหิงกระแอมเบาๆ พลางเอ่ย “ข้าเปล่าเสียหน่อย!”
เอ่ยจบ เขาก็เดินออกไปแล้วช่วยเข็นรถเข็นของกั๋วกงอันเข้ามาข้างใน
กั๋วกงเดินทางมาที่นี่เพื่อเยี่ยมลูกสาวและหลานชายหลานสาวของเขา เขาเป็นห่วงที่กู้เจียวต้องเผชิญกับความยากลำบากในการให้กำเนิดลูก แต่ก็ดีใจที่เด็กทั้งสองปลอดภัย
อีกทั้งพวกเขายังน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่โต แต่ใบหน้าของพวกเขาก็คล้ายกับพ่อแม่ของพวกเขามาก ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นหรอกจริงไหม
ของที่กั๋วซือฝากให้เย่ชิงนำไปให้กู้เจียว มีจดหมายลายมืออยู่หลายฉบับ หนึ่งในนั้นเขียนว่าเขาได้เคยบอกกับกั๋วกงแล้วว่าแท้จริงแล้วกู้เจียวก็คือจิ่งยินยิน
“ท่านพ่อ” กู้เจียวเอ่ยเรียกกั๋วกง
มือที่กำลังอุ้มหลานอยู่ของกั๋วกงก็เกิดชะงักทันที ก่อนจะหันมามองกู้เจียวด้วยสายตาประหลาดใจ
แม้กู้เจียวจะไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่มีหรือที่คนฉลาดอย่างกั๋วกงจะไม่รู้ว่ากู้เจียวกำลังหมายถึงเรื่องใด
เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้ยินคำนี้อีกครั้ง เขาคิดว่าไม่น่ามีใครที่คิดจะเปิดเผยความลับนี้
แต่ต่อให้ทุกอย่างจะยังเป็นความลับ แล้วอย่างไรเล่า ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ ลูกสาวของเขา แค่นี้ก็ดีเกินพอแล้ว
ทันใดนั้น เจ้าตัวเล็กที่อยู่บนเตียงจู่ๆ ก็ทำเสียงไม่พอใจราวกับกำลังบ่นท่านปู่ว่าเอาแต่อุ้มน้องชายอยู่ได้ ไม่เห็นจะมาอุ้มนางบ้าง
ในใจของอันกั๋วกงเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ล้นเอ่อขณะที่หันไปมองลูกสาวสลับกับมองหลานๆ ทั้งสอง
“ช่วยพูด… อีกครั้ง ได้ไหม” เขาถามอย่างกังวลและคาดหวัง
กู้เจียวตอบไปอย่างไม่ลังเล “ท่านพ่อ!”
กั๋วกงอันคลี่ยิ้มด้วยความปีติ
…
นับวันเจ้าหนูแฝดยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตอนแรกตัวยังเล็กๆ อยู่ แต่พอผ่านไปแค่เดือนเดียวเท่านั้น พวกเขาก็ได้กลายเป็นเจ้าก้อนกลมสองก้อนไปในพริบตา
ทั้งองค์หญิงซิ่นหยางและซ่างกวานเยี่ยนได้ตั้งชื่อให้พวกเขาทั้งสอง แฝดหญิงชื่อว่าเซียวเยียน ส่วนแฝดชายชื่อเซียวฉง
เซียวฉงเป็นรองเซียวเยียนตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพราะเซียวเยียนนั้นกินเก่งกว่า ตัวใหญ่กว่า แถมยังแรงเยอะกว่า
กู้เจียวสังเกตถึงความผิดปกติได้ในทันที
หลังจากเซียวเหิงกลับจากราชสำนัก ก็เห็นว่าภรรยาของเขากำลังทำท่าครุ่นคิดพร้อมกับจ้องไปที่ลูกๆ
“ไยเจ้าถึงมองลูกของเราแบบนั้นล่ะ” เซียวเหิงถาม
กู้เจียวทำหน้ามึนงง พร้อมถาม “ข้าก็ให้พวกเขากินเท่าๆ กันนะ แต่ทำไมเซียวเยียนถึงได้ตัวโตกว่า”
เซียวเหิงพยายามหาเหตุผล “อาจเป็นเพราะ… เซียวเยียน ดูดซึมสารอาหารได้ดีกว่า”
กู้เจียวเอามือลูบคาง “จะใช่รึ”
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะแบบนั้น
ที่เซียวเยียนตัวโตแซงแฝดน้อง นั่นก็เพราะว่า ทุกๆ คืนมีใครบางคนแอบย่องเข้ามาเอาอาหารมาให้เซียวเยียน
ในคืนที่มืดมนและมีลมแรง ร่างที่น่ากลัวก็แวบเข้ามาในห้องโดยถือขวดนมไว้
เซียวเหิงและกู้เจียวกำลังนอนหลับสนิท
เด็กน้อยทั้งสองนอนหลับอยู่ในเปล
เจ้าของเงาร่างใหญ่เดินมาที่ข้างเปลของเซียวเยียนอย่างไม่สนใจใคร จากนั้นก็ยัดจุกนมเข้าปากอย่างรวดเร็ว
หนูน้อยเซียวเยียนเมื่อได้สัมผัสกับรสชาติของนม ก็รีบดูดจ๊วบๆ ทันที
ทันใดนั้น กู้เจียวรีบเปิดม่านออก แล้วเดินเข้ามาทางเปลลูกน้อยพร้อมกับเอ็ดใส่เจ้าของเงาปริศนา “หลงอี!”
“ไม่ใช่ข้านะ!” ร่างของหลงอีแข็งทื่อ ก่อนจะรีบปฏิเสธทันควัน
กู้เจียว “…”
หลังจากที่หลงอีถูกจับได้ กู้เจียวก็ยึดขวดนมของเขา แล้วพาเขามาที่นอกห้อง “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อย่าแอบมาให้นมแบบนี้อีก”
ทว่าสิ่งที่หลงอีได้ยินคือ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แอบมาให้นมอีก
หลายวันผ่านไป กู้เจียวพบว่าเซียวเยียนตัวโตขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก
เดิมทีหลังจากอยู่เดือนครบแล้วก็ตั้งใจจะพาเจ้าตัวเล็กเข้าวังไปเยี่ยมท่านย่า ตามด้วยกลับไปที่ตรอกปี้สุ่ยเพื่อเยี่ยมแม่นางเหยา แต่ฝนตกติดต่อกันหลายวัน กว่าจะมีแดดออกก็ปาเข้าไปปลายเดือนสามแล้ว
กู้เจียวพาลูกแฝดไปที่กั๋วจื่อเจียนเพื่อรับจิ้งคง
จิ้งคงออกมาจากกั๋วจื่อเจียนด้วยสภาพเหงื่อซก เป็นเพราะเขาเพิ่งเรียนวิชาขี่ม้าและยิงธนูเสร็จไปหมาดๆ
ปีนี้เขาอายุแปดขวบตามปฏิทินจันทรคติ แต่ก่อนเขาดูเด็กกว่าอายุจริงเสมอ ทว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขาเริ่มตัวสูงขึ้นแล้ว
อีกทั้งพละกำลังของเขาก็เพิ่มขึ้นด้วย อาจารย์บอกว่าเขาเป็นคนเดียวในชั้นเรียนที่สามารถใช้คันธนูของผู้ใหญ่ได้
นอกจากนี้ ที่น่าสังเกตก็คือสายตาของเขา แววตาไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยคู่นั้นเริ่มหายไป แทนที่ด้วยความกล้าหาญและความมุ่งมั่น
“สวัสดีเจียวเจียว สวัสดีเซียวเยียน สวัสดีเซียวฉง!”
เขาขึ้นไปบนรถม้าและทักทายทั้งสามคนอย่างสุภาพ แม้ว่าเซียวเยียนและเซียวฉงจะยังไม่สามารถตอบเขาได้ก็ตาม
“เหตุใดถึงได้เหงื่อออกเยอะขนาดนี้ล่ะ” กู้เจียวเช็ดหน้าให้เขาพร้อมถามไถ่
แม้จะยังไม่ถึงเดือนสี่ แต่อากาศก็เริ่มร้อนแล้ว
จิ้งคงเพลิดเพลินกับการที่กู้เจียวเช็ดเหงื่อให้ ในขณะเดียวกันก็ตอบอย่างจริงจังว่า “วันนี้ข้าเรียนวิชาขี่ม้ายิงธนูมาด้วยละเจียวเจียว แล้วข้าก็ได้ที่หนึ่งอีกแล้ว!”
กู้เจียวเอ่ยปากชมเขาทันที “จิ้งคงนี่เก่งจริงๆ”
จิ้งคงโยกหัวไปมาด้วยความดีใจ
ตอนอยู่ที่กั๋วจื่อเจียน จิ้งคงต้องวางตัวเป็นเด็กเรียบร้อย แต่พออยู่ต่อหน้ากู้เจียว ก็กลายเป็นเจ้าตัวเล็กจอมซนไปโดยปริยาย!
“เจียวเจียว ข้าขอขี่ม้าเองได้ไหม” จิ้งคงถาม
วันนี้ท่านอาจารย์เอาแต่ให้เขาขี่ม้าตัวเล็ก ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน
กู้เจียวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ได้สิ”
เดิมทีนางก็กะจะให้เขาฝึกอยู่แล้ว
จิ้งคงเหยียบม้านั่งไม้ขึ้นไปบนหลังม้าของเจ้าม้าสืออี
เขากระชับบังเหียนในมือ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นราวกับกำลังเตรียมจะไปออกรบ “เสี่ยวสืออี ออกเดินทาง!”
……….